ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 437 อสูรสมุทรบรรพกาลแปรสู่วิถีสวรรค์!
บทที่ 437 อสูรสมุทรบรรพกาลแปรสู่วิถีสวรรค์!
สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็ไม่ลังเล เข้าสู่โลกใบเล็กอีกครั้งทันที นั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาไฟในเขตสิบสามตะวันออก
เงยหน้ามองท้องฟ้า จดจ้องอยู่นานถึงหลับตาทั้งสองลง สัมผัสถึงดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล
ภายใต้การชักจูงพลังชีวิต ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลก็จำแลงในจิตเทพ จับจ้องมาทางสวี่ชิงเช่นกัน
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลนี้ คือสิ่งที่แปรมาจากคัมภีร์แปรสมุทรระดับแปดตอนที่สวี่ชิงอยู่ระดับรวมปราณ ตอนนั้นมีชื่อว่าวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม ต่อมาเขาก็สัมผัสรับรู้สิ่งมีชีวิตในทะเลต้องห้ามหลายครั้ง จึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ท้ายสุดก็กลายร่างมาเป็นอสูรสมุทรบรรพกาล
ต่อมาตอนเขาอยู่ระดับสร้างฐานก็ใช้สิ่งนี้แปรเป็นช่องเวทดวงชีพของตน จนกระทั่งมาถึงวังสวรรค์ เนื่องจากลูกกลอนพิษต้องห้าม อสูรสมุทรบรรพกาลจึงต้องหลีกทางให้ก่อน และเนื่องจากพระจันทร์ม่วงปรากฏขึ้น อสูรสมุทรบรรพกาลก็ต้องหลีกทางอีกครั้ง ต่อมาตอนวิชาระดับจักรพรรดิผสานเข้าวังสวรรค์ยังต้องหลีกทางอีกรอบ
จนถึงวันนี้…
“เช่นนั้น ก็ใช้ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลแบกรับกฎเกณฑ์ตัดวิถีนี้แล้วกัน”
สวี่ชิงสีหน้าเด็ดขาด ยกมือขวาขึ้นพลันโบกลง ทันใดนั้นบนยอดเขาก็ส่งเสียงครืนครัน นักโทษต่างเผ่าคนหนึ่งถูกเขาคว้าข้ามมิติมา
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างสุดท้ายที่เขาแลกเปลี่ยนกับนักโทษคนอื่นๆ ถ้ามากกว่านี้…พัสดีคนอื่นก็จะไม่ยอมแลกเปลี่ยนอีกแล้ว
‘น่าจะพอแล้ว’ สวี่ชิงมองมองนักโทษต่างเผ่าตรงหน้าคนนี้ พึมพำในใจ
นักโทษคนนี้มองสวี่ชิงด้วยร่างสั่นเทา ดวงตาเผยแววสิ้นหวัง เขารู้ชะตากรรมของตนเอง จึงเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้า ข้ายอมชักจูงดาบแห่งทัณฑ์สวรรค์มาให้ท่าน ข้ามีโทษหนักรู้ตัวดีว่าไม่มีทางถูกปล่อยไป เพียงหวังว่าหลังจากที่ใต้เท้าได้ประโยชน์แล้ว จะจัดการข้าทิ้ง ให้ข้าหลุดพ้นจากความทรมานจากการลืมความทรงจำเถิดขอรับ”
ต่างเผ่ามีส่งสายตาเว้าวอน
สวี่ชิงไม่พูด ปล่อยเขาลง โยนยาลูกกลอนออก
นักโทษต่างเผ่าคนนี้กัดฟันแน่น หยิบยาลูกกลอนแล้วทะยานออกไปไกล ดวงตาเผยความเด็ดขาดแน่วแน่ หลังจากกลืนลงไปก็กระตุ้นพลังบำเพ็ญสุดกำลัง คิดจะทะลวงขั้น
พริบตาต่อมา บนท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนครัน เมฆหมอกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สายอัสนีมหาศาลแล่นแปลบปลาบ แต่เพียงไม่นานดาบสวรรค์ตัดวิถีที่ดูเหมือนก่อตัวขึ้นจากสายอัสนีนับไม่ถ้วนแต่อันที่จริงแปรมาจากกฎเกณฑ์เล่มนั้น ก็ปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง
จากแสงดาบที่เจิดจ้า สะท้อนเข้ามาในจิตเทพสวี่ชิง สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มประทับลงไป
ครั้งนี้เขาไม่เอาดาบที่มองเห็นประทับลงไปในจิตเทพ แต่สลักลงไปที่ร่างดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลแทน ฉับพลันก็มีเสียงคำรามดังลอดออกมาจากร่างสวี่ชิง ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลจำแลงออกมาด้านนอกในพริบตา
สวี่ชิงไม่วอกแวก ยกมือขวาบรรจงวาดอย่างรวดเร็ว
ใช้อสูรสมุทรบรรพกาลเป็นกระดานวาดภาพ ใช้ความทรงจำของตนเป็นสีสัน ใช้สัมผัสของตนเองเป็นพู่กัน วาดดาบตัดวิถีบนตัวอสูรสมุทรบรรพกาลทีละขีดทีละเส้น
เวลาไหลผ่านไป ดาบตัดวิถีฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า นักโทษต่างเผ่าคนนั้นยิ้มขื่น พลังบำเพ็ญสลายหายไป ร่างร่วงลงสู่พื้นดิน หายใจรวยริน
และสวี่ชิงยังวาดไม่เสร็จสิ้น เขายังคงวาด
เพียงแต่…ในฐานะที่ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลเป็นกระดานวาด หลังจากแบกรับการคัดลอกและการสลักกฎเกณฑ์ของสวี่ชิงทีละขีดทีละเส้น ร่างก็ค่อยๆ รับไม่ไหว ทำท่าจะแตกสลาย เกิดรอยปริแตกหลายทางขึ้น แผ่ลามไปทั้งร่าง เหมือนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
มันส่งเสียงครางอื้ออึง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล เขารู้ว่านี่เป็นเพราะระดับของอสูรสมุทรบรรพกาลยังไม่เพียง แต่จะเปลี่ยนไปใช้สิ่งอื่น ก็ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สวี่ชิงคิด
หลังจากครุ่นคิด ตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงในร่างสวี่ชิงก็กางฉัตรออกมาทันที คลุมดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลเอาไว้ สะกดลงมาอย่างรุนแรง
ทั้งร่างดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลสั่นเทา ขณะที่มีตะเกียงแห่งชีวิตปกปักรักษา ก็พอฝืนสงบลงได้บ้าง
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
สวี่ชิงครุ่นคิด วังสวรรค์วังที่สามก็สั่นคลอน ลูกกลอนพิษต้องห้ามแผ่ไอพลังประหลาดออกมาสนับสนุนดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล
สวี่ชิงควบคุมไอพลังประหลาดนี้ไว้ ไม่ให้มันร้ายอสูรสมุทรบรรพกาล
หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไปเช่นนี้…
พลังกฎเกณฑ์ที่ร่างของเขาแบกรับไม่ได้บดขยี้ร่างกายของเขาจนแตกดับ เป็นเพราะ…การสลักแต่ละครั้งจะประทับระเบียบและกฎเกณฑ์ไปที่ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลช่วยแบ่งเบาภาระ
ขณะเดียวกันสิ่งที่ได้รับจากความล้มเหลวในสองเดือนนี้ก็กำลังสำแดงออกมาในวินาทีนี้
เหมือนกับสารอาหาร ทำให้สวี่ชิงยิ่งชำชองการประทับดาบตัดวิถีนี้ยิ่งขึ้น
ช่วงนี้อสูรสมุทรบรรพกาลก็เริ่มรับไม่ไหวขึ้นอีกครั้ง เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของสวี่ชิงจึงช่วยสนับสนุน
เจ็ดวัน สิบวัน…
อสูรสมุทรบรรพกาลคร่ำครวญ ร่างยิ่งสั่นสะท้าน ทุกครั้งที่สวี่ชิงสลักลงไปทำให้มันเลือนรางลง ต่อให้จะมีการสนับสนุนมากมาย แต่ก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
และสวี่ชิงก็รู้ดีว่าหากดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลสลายไป ตนก็จะได้รับผลพวงไปด้วย
แต่ด้วยนิสัยเหี้ยมโหดของสวี่ชิง ตอนนี้ดวงตาวาวโรจน์ วังสวรรค์วังที่สี่คลอนไหว พลังพระจันทร์สีม่วงแผ่ซ่าน และใช้พลังเทพเจ้านี้ผสานเข้าไปสนับสนุนอสูรสมุทรบรรพกาลอีกครั้ง
อสูรสมุทรบรรพกาลสั่นไปทั้งร่าง สวี่ชิงก็ลงมือวาดอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ตอนที่อสูรสมุทรบรรพกาลแบกรับมาถึงขีดจำกัด ในที่สุดสวี่ชิงก็ลงเส้นสุดท้ายเสร็จ
สวี่ชิงก็กระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่จากการจรดเส้นสุดท้าย หยดลงมาบนร่างอสูรสมุทรบรรพกาล ราวกับวาดมังกรแต้มนัยน์ตา[1] ทำให้อสูรสมุทรบรรพกาลสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เปล่งแสงสีเลือดออกมา ราวกับได้รับการประทานจิตวิญญาณให้
เวลานี้สวี่ชิงหมดเรี่ยวหมดแรง แสดงความอ่อนล้าออกมา
ครึ่งเดือนนี้ เขาไม่เคยใช้พลังจิตมหาศาลเช่นนี้มาก่อน แต่เวลานี้ดวงตาเขากลับเปล่งประกายอย่างยิ่ง
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลตรงหน้า ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ร่างของมันมีเส้นแสงเจิดจ้าออกมาหลายสาย เส้นแสงเหล่านี้แผ่ลามไปทั่วร่าง ระหว่างที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็แฝงกฎเกณฑ์บางอย่างไว้ด้วย
ทุกชั่วขณะชั่วอึดใจ จำนวนเส้นแสงที่หยุดนิ่งกะพริบพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังมีอักขระตราประทับนับไม่ถ้วนแผ่กลิ่นอายบรรพกาลออกมาจากร่างอสูรสมุทรบรรพกาล
ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด รูปร่างแตกต่างกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้อสูรสมุทรบรรพกาลตอนนี้ ในที่สุด…กลิ่นอายที่มีอยู่ของวิถีสวรรค์ทั้งสี่ดั้งเดิมที่สวี่ชิงเห็นด้านนอกโลกใบเล็กเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตื่นตะลึง
‘ในที่สุดก็สำเร็จเสียที!’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก กฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ในดาบตัดวิถีนั่นมากเกินไป ต่อให้ตัวเขามีการสัมผัสรับรู้ที่น่าตกตะลึง แต่ถึงอย่างไรพลังบำเพ็ญก็มีขีดจำกัด จึงประทับดาบได้เพียงหนึ่งส่วน
แม้จะแค่หนึ่งส่วน แต่พลานุภาพก็ยังมากกว่าเคล็ดวิชาและพลังวิเศษทั้งหมดที่สวี่ชิงครอบครอง เพราะนี่คือสิ่งที่แปรมาจากกฎเกณฑ์
“นี่คือดาบสะบั้นไพศาลเล่มที่สามของข้า และเป็นดาบสวรรค์ตัดวิถีของข้า!” สวี่ชิงค้ำหินข้างตัวลุกขึ้นยืน ชี้ไปที่ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลตรงหน้า
ทันใดนั้นอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนี้ก็เงยหน้าคำราม ร่างทะยานเหินเหาะสู่ท้องนภา จุดที่เคลื่อนผ่านมีสายอัสนีนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบไปรอบด้าน ขณะที่เดียวกัน เจตจำนงกฎเกณฑ์บนตัวมันก็ยิ่งชัดเจน
กระทั่งฟ้าดินตอนนี้ยังแปรผัน เหมือนตะวันจันทราปรากฏพร้อมกันบนฟากฟ้า
นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการรวมสายตาของวิถีสวรรค์ดั้งเดิมทั้งสี่ที่อยู่ด้านนอกโลกใบเล็ก
พวกมัน กำลังจ้องมองอสูรสมุทรบรรพกาล
เหมือนคนเถ้าคนแก่จ้องมองทารกแรกเกิด
อสูรสมุทรบรรพกาลก็เหมือนสัมผัสได้ เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างไกล ส่งเสียงก้องกังวานผ่านชั้นเมฆ
โลกสั่นสะเทือน
เมฆมงคลลอยละล่องบนท้องฟ้า แสงสนทยาสาดส่องไร้สิ้นสุด
ท้องฟ้าโลกใบเล็กทั้งหมด ตอนนี้ทอด้วยแสงสีแดง จนทำให้พัสดีทั้งหมดรวมถึงนักโทษที่เห็นภาพนี้สั่นสะท้าน
“นิมิตหมายมงคล!”
“นี่คือสิ่งที่เกิดจากการผันแปรของกฎเกณฑ์!”
“เกิดอะไรขึ้น!”
ที่ที่สวี่ชิงอยู่ นักโทษต่างเผ่าที่สูญเสียพลังบำเพ็ญคนนั้นเห็นภาพนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็รู้สึกพรั่นพรึงถึงขีดสุดตั้งนานแล้ว โหมลมพายุคลั่งโถมฟ้า ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ
เขามองอสูรสมุทรบรรพกาล จากนั้นก็มองสวี่ชิง เหมือนทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าลงกลางใจ กลายเป็นคลื่นโหมสาดซัดอย่างคลุ้มคลั่ง
“พลังบำเพ็ญแก่นลมปราณ…แต่หล่อหลอมวิถีสวรรค์จำลองออกมาได้รึ?! ถึงจะเพียงเสี้ยวเล็กๆ แต่ก็เป็นวิถีสวรรค์จำลองนะ!!”
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น พัสดีทั้งหมดของที่นี่ ในใจก็ล้วนเกิดระลอกคลื่นลูกยักษ์ พุ่งหวีดหวิวมาจากทั้งสี่ทิศแปดทาง อยากจะตรวจสอบสาเหตุ
กระทั่งด้านนอกโลกใบเล็ก มือผีที่กำลังดื่มสุราในชั้นเก้าสิบกรมราชทัณฑ์ เวลานี้ก็เกือบกลืนไม่ลง ถลึงตาโต มองไปทางโลกใบเล็กอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ข้าให้เขาไปที่เขตตะวันออกสิบสาม ก็เพราะที่นั่นจะมีดาบทัณฑ์สวรรค์ ให้เขาไปสัมผัสรับรู้ดาบที่นั่น จากนั้นก็สัมผัสรับรู้ดาบสวรรค์สะบั้นกายวิญญาณออกมา แต่เขา…แต่เขา…”
มือผีทำหน้าเหมือนเห็นผี ไม่สนใจสุราในมือแล้ว
“คิดไม่ถึงเขาสร้างวิถีสวรรค์จำลองออกมา!!
“เป็นไปได้อย่างไร พลังบำเพ็ญแก่นลมปราณ แต่กลับครอบครองวิถีสวรรค์จำลอง? แล้วอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนั้นนั่นมันอะไรกัน!!”
เขตตะวันออกที่สิบสามในโลกใบเล็ก ขณะที่ผู้คนตรงเข้ามาเพราะบนฟ้ามีเมฆมงคลและแสงสนทยาไร้สิ้นสุดเกิดขึ้น สวี่ชิงก็รู้สึกหวาดระแวง โบกมือเก็บอสูรสมุทรบรรพกาลนั่นกลับมา
เมื่ออสูรสมุทรบรรพกาลหายไป ฟ้าดินก็กลับมาเป็นปกติ
จากนั้นสวี่ชิงก็มองไปทางนักโทษใกล้ๆ คนนั้น นักโทษคนนี้เห็นภาพทั้งหมดก็รู้อยู่แก่ใจ ดวงตาฉายแววอ้อนวอน ไม่ใช่ขอชีวิต แต่เป็นการร้องขอความตาย
สวี่ชิงพยักหน้า เมื่อโบกมือกฎเกณฑ์ก็ทำงาน สังหารนักโทษทิ้งเพื่อปลดปล่อยเขา
หลังจากนั้นเขาก็ไปยังจุดที่เผ่าฟ้าทมิฬสามคนนั้นอยู่อย่างรวดเร็ว เก็บเนตรเงากับแผ่นหยกบันทึกภาพกลับมา หันหลังทะยานไปบนท้องฟ้าออกจากโลกใบเล็กนี้ทันที กลับมาที่กรมราชทัณฑ์
วันนี้มือผีไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก แต่นั่งอยู่หน้าภาพวาดฝาผนัง ราวกับกำลังตั้งตารอสวี่ชิงอยู่
“ด้านในเกิดอะไรขึ้นหรือ” มือผีสะกดความตกตะลึงในใจ พยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุด ยิ้มตาหยีมองสวี่ชิง
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ แม้จะไม่จำเป็นต้องปิดบัง แต่เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งไม่แน่ไม่นอน บางเรื่อง…ต่อให้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องแสร้งตีมึน
เขาจึงทำหน้างุนงง ส่ายหัว
มือผีมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม จากนั้นครู่หนึ่งก็ก่นด่าด้วยยิ้ม
“ไอ้เด็กนี่ ใช้ได้ ระวังตัวไม่เลว”
พูดจบ มือผีก็หยิบกาสุราออกมาดื่มอึกใหญ่ ร้องเพลงในลำคอเดินไปที่เก้าอี้โยก อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้โยก เขาก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“แต่เช่นนี้ก็จอมปลอมเกินไป จำไว้ว่าหลังจากนี้หากเจอเรื่องทำนองนี้ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ต้องโกหกออกมา เช่นหากคนอื่นถาม เจ้าก็ต้องบอกว่าสัมผัสรับรู้ดาบ แต่ดันสะบั้นกายวิญญาณ”
สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสมือผีพูดมีเหตุผล จึงจดจำคำพูดนี้ไว้ในใจ หลังจากคารวะอย่างตั้งใจกับอีกฝ่ายแล้ว ก็หันหลังเดินจากไป
เดินออกจากกรมราชทัณฑ์ เขาก็ส่งสื่อเสียงหานายกอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ บันทึกภาพของเผ่าฟ้าทมิฬครบแล้ว ช่วงนี้ข้ามีเวลาว่าง…พวกเราจะออกเดินทางเมื่อใด”
“ในที่สุดเจ้าก็ตอบข้าเสียที อาชิงน้อย ผ่านไปสองเดือนแล้ว เถาเถาของข้าล่ะ” ในแผ่นหยก มีเสียงถอนใจของนายกองดังออกมา
“เถาเถาหรือขอรับ” สวี่ชิงงุนงง
“ใช่สิ เจ้าบอกว่าจะแนะนำหลี่เถาเถาให้ข้ารู้จักไม่ใช่หรือ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายชื่อว่าหลี่ซือเถา…
“เจ้านี่รู้จักทำนิสัยแย่ๆ เสียแล้ว วาดฝันให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า แล้วปล่อยให้ข้ารออย่างข่มขื่นมาสองเดือน” นายกองถอนหายใจ
“ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง…”
ฟังความขมขื่นของนายกองออก สวี่ชิงก็เพิ่งนึกเรื่องที่จะแนะนำพวกเขาให้รู้จักกันขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ลืมเรื่องนี้เสียสนิท
“อาชิงน้อย ความสุขทั้งชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในมือเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็แอบไปดูเถาเถาของข้าที่วังพิธีการมาแล้วด้วย ไม่เลวเหมือนกัน”
นายกองกระแอมไอ
สวี่ชิงทดเรื่องนี้วางไว้ในใจ จากนั้นก็เอ่ยว่า
“ขอรับ รอให้การใหญ่เสร็จสิ้นก่อน ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก ศิษย์พี่ใหญ่ก็มารับบันทึกภาพของเผ่าฟ้าทมิฬได้แล้ว”
เมื่อได้ยินสวี่ชิงรับรอง นายกองก็เฝ้ารอด้วยใจยุบยิบ แต่ก็รู้ว่าการใหญ่สำคัญ เขาจึงรีบร้อนมาในคืนนั้น หลังจากรับแผ่นหยกบันทึกภาพเผ่าฟ้าทมิฬไป ก็ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ด้วย
“อาชิงน้อย การเตรียมการทั้งหมดขาดเพียงสิ่งนี้เท่านั้น รอข้าสามวัน หลังจากนี้สามวันข้าจะมาหาเจ้า แล้วจะบอกแผนการกับเจ้าอย่างละเอียด!”
[1] วาดมังกรแต้มนัยน์ตา (画龙点睛) เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับจิตรกรท่านหนึ่งวาดมังกร แต่ไม่วาดดวงตา เนื่องจากหากวาดดวงตาจะให้มังกรในภาพมีชีวิตและพุ่งทะยานหนีไป ปัจจุบันสำนวนนี้เป็นการอุปมาถึงงานเขียนหรือการพูดว่าหากเพิ่มคำคมกินใจเล็กน้อยหรือเกลาสำนวนในงานจะทำให้น่าอ่านและมีชีวิตชีวา