ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 434 ข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก
บทที่ 434 ข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก
“เอ๋” นายกองตะลึง ไม่เข้าใจนัยยะที่จู่ๆ สวี่ชิงก็พูดออกมาเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เกี่ยวอะไรกับข้า มีอะไร อาชิงน้อย โอ้อวดกับข้าหรือ หากไม่ใช่จดหมายฉบับนั้นของข้า…”
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง
นายกองกระแอม
“หากไม่ใช่จดหมายฉบับนั้นของเจ้า…”
จากนั้นสีหน้าก็จริงจัง พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าต้องตำหนิเจ้าสักหน่อย ความจริงข้าก็บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่า พวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญต้องอยู่ตัวคนเดียว มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมีเจตจำนงมุ่งมั่นดุจเหล็กกล้า ถึงจะทำให้ความคิดของตัวเองสมบูรณ์ ถึงจะทำให้เผชิญกับปัญหาทุกอย่างได้อย่างสุขุม!
“ผู้หญิง เหอะ อร่อยได้เท่าผิงกั่วหรือ” นายกองกัดผิงกั่วเต็มคำ สีหน้าฉายความไม่แยแส
“นั่นคือขุนเขาและหินยักษ์ที่ขัดขวางการบำเพ็ญ เป็นพันธนาการและนรกที่ส่งผลกระทบต่อการชักกระบี่ของพวกเรา เรื่องนี้เจ้าต้องระมัดระวังรอบคอบ อย่าได้เลียนแบบเจ้าสาม ก่อนหน้านี้ข้าโน้มน้าวให้เจ้ายอมตกเป็นของจอมเซียนจื่อเสวียน ก็มีความหมายในเชิงล้อเล่นเสียมากกว่า”
สวี่ชิงได้ยินก็คล้อยตาม ขบคิดอย่างละเอียด เขารู้สึกว่าที่นายกองพูดมามีเหตุผล ขณะครุ่นคิดก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง เช่นนั้นข้าก็ไม่แนะนำสหายสนิทของจอมเซียนจื่อเสวียนให้ท่านแล้ว”
นายกองอึ้งตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง ผิงกั่วก็ไม่กินมันแล้ว
“เจ้าว่าอะไรนะ แนะนำให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงพยักหน้า สีหน้ามีความละอายเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว เดิมผู้อาวุโสหลี่ หลี่ซือเถาแห่งวังพิธีการคนนั้นให้ข้าแนะนำสหายข้างกายที่รู้จักกับนาง เป็นข้าที่สายตาคับแคบ นี่จะส่งผลกระทบต่อเจตจำนงและความเชื่อของศิษย์พี่ใหญ่”
“หลี่ซือเถาหรือ ฟังชื่อแล้วเหมือนว่าจะไม่เลว เอ่อ…สวยหรือไม่” จู่ๆ นายกองก็เอ่ยขึ้นมา
“พอใช้ได้” สวี่ชิงแปลกใจ พยักหน้าหงึกๆ
นายกองตื่นเต้น แต่กลับพยายามสะกดเอาไว้ ลุกขึ้น เอามือไพล่หลัง ถอนหายใจยาว เต็มไปด้วยความสะท้อนใจ
“ศิษย์น้องเล็ก…ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ อยู่ตัวคนเดียวมายี่สิบหกปีแล้ว ค่อนข้างจะนานไปสักหน่อย”
นายกองหันไปมองทางสวี่ชิง
“พวกเราผู้บำเพ็ญต้องตัวคนเดียว” สวี่ชิงลังเล
“พวกเราผู้บำเพ็ญ คู่ฝึก วิชา ทรัพย์ ที่ดิน คู่ฝึกสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง!” นายกองเอ่ยอย่างจริงจัง
“ขุนเขาและหินยักษ์ที่ขัดขวางการบำเพ็ญ” สวี่ชิงลังเล
“ไม่เข้าใจขุนเขาลูกนี้จะข้ามอุปสรรคในท้ายที่สุดไปได้อย่างไร!” นายกองเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังมีเหตุผล
“พันธนาการและนรกที่ส่งผลกระทบต่อการชักกระบี่เล่าขอรับ” สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
สีหน้าของนายกองสะท้อนใจ มองโลกนอกหน้าต่างหอกระบี่ ถอนหายใจเบาๆ
“ข้าไม่ลงนรกแล้วใครผู้ใดจะลงกันเล่า”
สวี่ชิงมองนายกองเงียบๆ นายกองไม่กระอักกระอ่วนใดๆ ทั้งสิ้น มองสวี่ชิงอย่างหน้าด้าน
หลังจากนั้น สวี่ชิงก็ถอนหายใจ พยักหน้าหงึกๆ
“นายกอง ครั้งหน้ากินส้มโอให้มากอีกสักหน่อยเถิด”
นายกองตื่นเต้นเป็นที่สุด ไม่สนใจเรื่องที่สวี่ชิงพูดถึงส้มโอ วิ่งมาข้างสวี่ชิง ยกมือขวาเอาผิวกั่วลูกใหญ่ออกมาสามลูก ยื่นให้สวี่ชิงด้วยสีหน้าระรื่น
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่เสียทีที่ศิษย์พี่รักและเอ็นดูเจ้า อะแฮ่ม จะรอข่าวดีของเจ้านะ” นายกองพูดพลางจากไปอย่างเบิกบาน
มองเงาแผ่นหลังของศิษย์พี่ใหญ่จากไป ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด แม้คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่จะกลับไปกลับมา แต่สวี่ชิงก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
“ใจสงบจึงจะเกิดความมุ่งมั่น” สวี่ชิงพึมพำ หลับตาทั้งสองข้างลง ใจสงบไม่วอกแวก ตั้งจิตนั่งสมาธิ
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสี่วัน
ในสี่วันนี้สวี่ชิงกำจัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างทั้งหมดไป สงบระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นในใจ ฟื้นฟูสภาวะจิตอย่างตอนแรกที่มณฑลรับเสด็จราชันในตอนนั้น ทั้งร่างกายและจิตใจจมดิ่งอยู่ในการปรับให้เข้ากับการประทับลงมาของกฎเกณฑ์ในโลกใบเล็ก
ในที่สุด กลางดึกวันที่สี่วันนี้ เขาก็ฝึกฝนทำความเคยชินได้ถึงสองพันอึดใจสำเร็จ
“ไปลองดูได้แล้ว”
หลังจากพักในเวลาสั้นๆ ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววับ ไม่ได้เลิกเวรในทันที แต่อยู่ในชั้นที่เก้าสิบนี้ เข้าไปในโลกภาพวาดฝาผนังอีกครั้ง
เดินอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า สวี่ชิงเดินมาถึงนอกม่านแสงที่เหมือนเปลือกไข่อย่างชำนาญ พุ่งทะลุลงไปข้างหน้า มาปรากฏยังเหนือโลกใบเล็กแห่งนั้น ท่ามกลางเมฆหมอก
พลังกดดันมหาศาลกดอัดลงมา เหมือนหมู่ขุนเขาทับลงมา ความรู้สึกเหมือนพันธนาการพันรัดเกิดขึ้นมาทันที
สวี่ชิงทั้งร่างสะท้านเฮือก ร่างส่งเสียงกร๊อบๆ ออกมา แต่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาฝึกฝนในยามปกติ
และการประทับลงมาของกฎเกณฑ์ประเภทนี้ ความรู้สึกเหมือนหมู่ขุนเขากดอัด เขาคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี
ที่ผ่านมาเขาล้วนหยุุดอยู่ที่นี่ แต่วันนี้เขาไม่หยุดยั้งลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
แบกขุนเขาเดินไปข้างหน้า
ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงมา ฟ้าดินล้วนมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมา เหมือนหินภูเขาร่วงลงมา สนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่ว ฟ้าดินยิ่งเปลี่ยนสี ลมกรรโชกเมฆโหมทะลัก
ภาพนี้ดูเหมือนน่าตื่นตะลึง แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะสวี่ชิงไม่อาจทำได้อย่างสบายๆ เขาแบกรับกฎของโลกใบหนึ่งเอาไว้ ดังนั้นทุกก้าวที่ย่างก้าวออกไปล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฟ้าดิน
ทุกที่ที่ผ่าน สายฟ้าฟาดผ่า เมฆหมอกรอบๆ ซัดโหม ดูแล้วน่าพรั่นพรึงนัก
จากการเดินไปของสวี่ชิง ต่างเผ่าที่ซ่อนตัวบนพื้นดินเหล่านั้น เมื่อมองเห็นสวี่ชิงก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี
แม้รู้ว่าสวี่ชิงยังไม่ถึงขั้นที่ทำได้อย่างสบายๆ ขั้นนั้น แต่พวกเขาก็รู้ดี ยิ่งเป็นแบบนี้ก็หมายถึงว่ายิ่งอันตราย
เพราะไม่สามารถควบคุมกฎที่แบกรับเอาไว้ได้ เช่นนั้นก็จะแผ่ไปข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้…
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ร่างของสวี่ชิงเพิ่งจะมาถึงกลางอากาศ รอบๆ เขาก็เกิดสภาพอากาศเจ็ดแปดแบบ ประเดี๋ยวก็เกิดฝนกรด ประเดี๋ยวก็เกิดพายุสายฟ้า ประเดี๋ยวก็เกิดลมพายุ…
พื้นที่ใต้เท้าก็ได้รับอิทธิพลเช่นกัน ที่ราบเปลี่ยนกลายเป็นหมู่ขุนเขา หมู่ขุนเขาเปลี่ยนเป็นทะเลสาบ เปลี่ยนไปไม่หยุด ไม่อาจเสถียรได้ มีเพียงหลังจากเขาจากไปแล้วเท่านั้นถึงจะหยุดเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด
และท่ามกลางเหตุการนี้ นักโทษที่อยู่ในนั้น…ซวยสุดๆ
ดังนั้น ในยามที่สวี่ชิงก้มหน้าลง สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือนักโทษจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากที่ซ่อนในแต่ละแห่งๆ บนพื้น แต่ละคนหนีแตกตื่นลนลานด้วยสีหน้าหวาดกลัว
แน่นอน ก็มีนักโทษที่ตายไปหลายครั้ง ใกล้จะสูญเสียความทรงจำไปโดยสมบูรณ์บางคน ในดวงตากลับแฝงด้วยประกาย พุ่งตรงมาหาสวี่ชิง คิดจะอาศัยการแผ่ออกมาข้างนอกจากกฎเกณฑ์ของเขาฆ่าตัวตาย
หลังจากฆ่าตัวตายแล้ว พวกเขาก็จะไม่คืนสภาพอีก นับว่าเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่งเช่นกัน
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มือขวายกขึ้นกดลงไปข้างล่าง ปากเอ่ยอย่างเรียบนิ่งออกมา
“โลกใบนี้รอบๆ ข้า จงห้ามบิน ห้ามเข้าใกล้!”
คำพูดเขาเพียงออกมา กฎไร้รูปร่างของโลกใบนี้ที่เขาแบกอยู่ก็พลันสั่นสะเทือน เสี้ยวพริบตาต่อมาฟ้าดินมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมา เส้นไหมไร้รูปร่างแต่ละทางๆ ลอยออกมาจากสรรพชีวิตทั้งหลาย ยืดออกมาจากทุกอย่างในฟ้าดิน สุดท้ายก็หลอมมารอบกายสวี่ชิง
กฎใหม่ถูกสร้างขึ้น
นักโทษที่คิดอยากฆ่าตัวตายพวกนั้น ร่างเพิ่งเข้าใกล้ก็ถูกผลักออกไปทันที ยากที่จะเข้าใกล้แม้เพียงเล็กน้อย ยิ่งไม่อาจบินได้
รอเมื่อสวี่ชิงจากไป ทุกอย่างก็กลับคืนเป็นปกติ
ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงคำนวณเวลา รู้ว่าจะเสียเวลาไปมากไม่ได้ จึงกัดฟันยกเท้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ตลอดทาง ร่างของเขาส่งเสียงกร๊อบๆ ไม่หยุด ยิ่งโคจรกฎเกณฑ์ ทำให้ผืนดินใต้เท้าหดเล็ก แลกมาซึ่งความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าเดิม
สุดท้ายเขาก็กลับมายังที่ราบที่นักโทษเผ่าเคียงเซียนพวกนั้นอยู่
นี่เป็นเรื่องแรกที่เขาจะทำของการมาเยือนครั้งนี้
หลังจากที่มาถึง เขาก็เปลี่ยนกฎทันที มือขวายกขึ้นคว้า ทันใดนั้นก็มีนักโทษเผ่าเคียงเซียนสองคนลอยขึ้นมากลางอากาศ ถูกสวี่ชิงหอบม้วนเอาตัวจากไปไกลในทันที
มาถึงยังที่ที่ไม่มีคน เขาทำตามวิธีที่ใช้กับนักโทษเผ่าเคียงเซียนเขตติง ทำกับเผ่าเคียงเซียนพลังบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดสองคนนี้ หลังจากปลูกเมล็ดพันธุ์ไอพลังประหลาดสำเร็จ ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววครุ่นคิด
‘หากความทรงจำของพวกมันไม่ได้ถูกลบไป เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นหุ่นเชิดเซียนก็จะลดลง…แต่เผ่าเคียงเซียนก็ไม่โง่ สามร้อยปีจู่ๆ มีนักโทษเผ่าเคียงเซียนที่ความทรงจำถูกลบไปก็จะต้องสงสัยอย่างแน่นอน ดังนั้นจะทำล้ำเส้นไม่ได้ และจะทำสุดโต่งไม่ได้เหมือนกัน’
สวี่ชิงขบคิด จัดการส่งเผ่าเคียงเซียนที่สลบไสลสองตนนี้ตนหนึ่งกลับไปที่เดิม ส่วนอีกคนโยนไว้ข้างนอก
‘ช่วงนี้ข้าจะมาสังเกตบ่อยๆ ก่อนที่เผ่าเคียงเซียนข้างนอกตนนี้จะสูญเสียความทรงจำโดยสิ้นเชิง ก็ส่งมันกลับไป ให้ความทรงจำของมันถูกลบไปแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น’
สวี่ชิงเพิ่งทำเสร็จ ก็โยนเผ่าเคียงเซียนตนนั้นไปในที่รกร้าง กำลังจะลงมือทำเรื่องที่สอง แต่ตอนนี้เอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยน พลันหันไปมอง
ข้างหลังเขาห้าร้อยจั้งมีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้!
คนคนนี้สวมชุดนักพรตพัศดีเช่นกัน เป็นหนึ่งในพลทหารเขตปิ่ง เขากำลังจ้องสวี่ชิงอย่างเย็นชา แล้วมองไปยังเผ่าเคียงเซียนที่อยู่บนที่รกร้าง ในดวงตาฉายประกายเย็นเยือก
“เจ้ากำลังทำอะไร”
สวี่ชิงมองพัศดีเขตปิ่งที่ปรากฏตัวคนนี้ สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่าย
เขาเคยเห็นอีกฝ่าย แต่ไม่เคยได้พูดคุยกัน
เผชิญหน้ากับคำถามของคนคนนี้ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองๆ พื้นที่บริเวณนี้ สีหน้าฉายแววขอโทษ
“ข้ากำลังทำการทดลอง”
พัศดีคนนั้นมองสวี่ชิงอย่างเย็นชา แล้วกวาดตามมองไปยังเผ่าเคียงเซียนตนนั้นที่ตอนนี้จะฟื้นขึ้นมาแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกว่า
“ที่นี่เป็นเขตการดูแลของข้า เจ้าควรบอกกับข้าก่อน อีกทั้งท่านเจ้าเขตปกครองมีคำสั่ง ให้ละเว้นการทรมานสูญเสียความทรงจำของนักโทษเผ่าเคียงเซียน…เรื่องในวันนี้ อนุโลมให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
พูดจบเขาก็หันหลัง ร่างเพียงไหววูบ จากไปจากที่นี่ ไม่ได้ทำการขัดขวาง
จะอย่างไรทุกคนต่างก็เป็นพัศดี แม้สวี่ชิงพลังบำเพ็ญจะไม่ใช่ปราณก่อกำเนิด แต่อำนาจในการจัดการนักโทษก็มีเช่นกัน ต่อให้เรื่องนี้ขัดกับกฎเล็กน้อย แต่ระหว่างทั้งสองก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน อีกฝ่ายก็แสดงความขอโทษแล้ว เขาก็ขี้เกียจจะถือสาหาความ
สวี่ชิงก็รู้ว่าตัวเองคิดไม่รอบคอบ วิธีทำไม่เหมาะสม ความคิดยังไม่ชัดเจน
ความจริงเดิมทีเขาไม่มีทางทำความผิดพลาดแบบนี้ อย่างไรเสีย ในเขตติงเขาก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน
แต่วันนี้เขาเพิ่งลองลาดตระเวน ยังไม่ได้รับการแบ่งเขตและเวลา จึงไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบเขตนี้ จึงผิดพลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขออภัย” สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดโค้งคารวะพัศดีคนนั้นที่จากไปไกล
พัศดีที่จากไปไกลคนนั้นโบกมือให้สวี่ชิง ความไม่พอใจเล็กๆ หายไปกว่าครึ่ง
จวบจนเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไป สวี่ชิงหันหลังจากไป เดิมเขายังมีเรื่องที่สองที่ต้องทำ นั่นก็คือหาเผ่าฟ้าทมิฬสามตนนั้น ไปสังเกตสัญลักษณ์ที่ทิ้งเอาไว้ในตัวพวกมัน
แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว ไม่ไปตามหา แต่ร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางฟ้าดินที่ส่งเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด ไปจากโลกใบเล็กใบนี้
จากความรู้สึกที่ประทับลงมาของกฎเกณฑ์บนร่างหายไป สวี่ชิงถอนหายใจยาว เดินกลับเข้ามาในกรมราชทัณฑ์
หลังจากปรากฏตัวขึ้นในกรมราชทัณฑ์ สวี่ชิงก็หามือผีทันที แจ้งเรื่องที่ตนสามารถแบกรับกฎเกณฑ์ ลาดตระเวณเพียงลำพังได้แล้ว
ในมุมของชั้นที่เก้าสิบ มือผีที่นอนอยู่บนเก้าอี้โยกกำลังดื่มเหล้าอยู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองประเมินสวี่ชิงเล็กน้อย
“เร็วขนาดนี้เชียว” มือผีสีหน้าฉายแววแปลกประหลาด ประสานางมือชี้ไปยังภาพวาดฝาผนัง ทันใดนั้น ในภาพก็แผ่ประกายแสงอ่อนโยนออกมาทันที ภาพที่แต่เดิมรางเลือนในนั้น เกิดเป็นภาพใหม่ขึ้นมา
ในนั้นเป็นภาพที่สวี่ชิงลาดตระเวน แต่ฉายเพียงเงาร่างที่เพิ่งมาเยือนเท่านั้น ไม่ได้ฉายเรื่องที่เขาจัดการเผ่าเคียงเซียนในภายหลัง
“ไอ้หนูเจ้าไม่เลวเลยนี่ ทำได้นี่นา” มือผีไม่ได้ดูนาน สะบัดมือสลายภาพฉาย โยนป้ายแผ่นหนึ่งให้สวี่ชิง
“เจ้ารับผิดชอบดูแลเขตสิบสามตะวันออก”
สวี่ชิงรับป้ายมา ตอบรับอย่างจริงจัง จากนั้นคิดๆ ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงเบา
“ข้าน้อยปล่อยเผ่าเคียงเซียนตนหนึ่งออกมาจากในโลกใบเล็ก เตรียมจะทำการทดลอง…”
“เรื่องเล็ก” มือผีหัวเราะหึๆ เรื่องนี้เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพัศดี เรื่องในแดนคุกเขากระจ่างเป็นอย่างดี ยิ่งรู้ดีว่าพัศดีใต้บัญชาการตัวเองพวกนั้นล้วนไม่ได้ตรงไปตรงมากันทุกคน ทำเรื่องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวต่างๆ มีให้เห็นมากมาย
แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนเป็นผู้ครองกระบี่ ไม่ได้มีจิตคิดร้าย อย่างมากก็แค่เพื่อความสุขสบายของตัวเองเท่านั้น
เรื่องเช่นนี้เขาก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง
ต่อให้เป็นเขา บางครั้งก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน
และสวี่ชิงเป็นฝ่ายพูดเองเช่นนี้ จุดนี้ทำให้เขาดีใจนัก
สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้นั้นถูกต้องแล้ว
เรื่องบางเรื่อง หลบๆ ซ่อนๆ ไปไม่มีประโยชน์ กลับจะยิ่งทำให้เกิดการคาดเดาอันไม่จำเป็นบางอย่าง ดังนั้น หลังจากเขาขบคิดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส ข้าอยากไปดูเผ่าฟ้าทมิฬสองสามคนนั้น”
มือผีหัวเราะฮ่าๆ ชี้ไปที่แผ่นหยกในมือสวี่ชิง
“ครั้งที่แล้วตอนอธิบายให้เจ้าฟัง ก็ดูออกว่าเจ้าสนใจไม่น้อย ที่ที่เจ้าดูแลเอง เจ้าไปดูเองก็ได้แล้ว”
สวี่ชิงได้ฟังก็อึ้งตะลึง โค้งคารวะมือผีสุดตัว ก่อนจะหันหลังจากไป
มองสวี่ชิงที่จากไปไกล มือผีดื่มเหล้า ดวงตาฉายแววชื่นชม
เขาชื่นชมสวี่ชิงมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีวางยาพิษผีขี้โรคล้มคว่ำตั้งแต่ในตอนแรก หรือจะเป็นความสามารถในด้านการเรียนรู้ในภายหลัง อีกทั้งรักษามารยาทอยู่ตลอดเวลา นี่หาได้ยากนัก
ตอนนี้พลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ ทั้งยังสามารถลาดตระเวนเพียงลำพังได้ เรื่องทุกเรื่องล้วนบอกถึงความไม่ธรรมดาของสวี่ชิง
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือประกายแสงหมื่นจั้งของอีกฝ่ายและถูกจัดให้สยบเขตติงหนึ่งสามสอง เรื่องหลัง…เขารู้ถึงความหมายในนั้นเป็นอย่างดี
เขาจึงจัดให้เผ่าฟ้าทมิฬพวกนั้นอยู่ในพื้นที่ที่สวี่ชิงดูแล เพราะให้พัศดีหน้าเก่าคนใด ล้วนแต่มีความคิดในใจกันทั้งนั้น ในเมื่อเผ่าฟ้าทมิฬนั้นพบเห็นน้อยมาก ไม่ว่าใครก็มีความสนใจมากกันทั้งนั้น
แต่ให้คนหน้าใหม่ที่หยั่งใจได้ประกายแสงหมื่นจั้ง ทุกคนก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว อีกทั้งนี่ก็มีประโยชน์กับการที่สวี่ชิงจะคุ้นเคยกับสหายร่วมงานคนอื่นๆ ด้วย
“เจ้าหนู เจ้าต้องพยายามเข้า เขตสิบสามตะวันออกนั้น ตอนนี้เป็นวาสนาไม่เล็กเชียวนะ” มือผีดื่มเหล้าอึกใหญ่ นอนอยู่บนเก้าอี้โยก ฮัมเพลงขึ้นมา