ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 432 คนที่กล้าใช้ชื่อเด็กน้อย ต้องตาย!
บทที่ 432 คนที่กล้าใช้ชื่อเด็กน้อย ต้องตาย!
สวี่ชิงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ถังหูลู่อร่อยมาก รสชาติที่คุ้นเคยใกล้เคียง แฝงความทรงจำของเขาในเมืองเป็นเอกไว้ ตลอดทางนี้เขาจึงค่อยๆ ลิ้มรส ละเมียดเคี้ยวทุกคำ
แต่พิษตามลมวูบนั้น ทำให้ถังหูลู่เปลี่ยนเป็นสีดำส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา
เมื่อสังหารเสร็จ สวี่ชิงก็มองชิงชิวที่เดินมาอย่างเย็นชา ถึงแม้ในใจเขาจะไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับหญิงสาวคนนี้นัก แต่อย่างไรอีกฝ่ายก็กำลังทำภารกิจ จึงเอ่ยเสียงเย็นชา
“ข้าไม่แย่งแต้มกองทัพของเจ้าหรอก”
ระหว่างที่พูด สวี่ชิงก็หันหลังเดินจากไป และเสียงของชิงชิวก็ดังมาอย่างเย็นชาทันที
“ใครสนใจแต้มกองทัพกัน!”
ชิงชิวสาวเท้าเดินมาพร้อมเสียงที่ดังก้อง ไม่สนใจสวี่ชิง นางเดินไม่กี่ก้าวก็มาอยู่เบื้องหน้าคนชุดดำ
ไม่ได้หยิบถุงเก็บของเป็นลำดับแรก แต่ใช้เท้าเหยียบศีรษะของศพก่อน
ไม้ไผ่ไม่ได้เพียงทะลุแทงศีรษะเท่านั้น แต่มีเสียงศีรษะที่ถูกเหยียบจนแตกดังโพละใต้เท้าของชิงชิว
เสียงดังออกมา สวี่ชิงที่เดินไปไกลแล้วยังได้ยิน หันหน้ามามองผาดหนึ่ง
ชิงชิวที่ยืนอยู่ใกล้ศพเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ ยกเท้าขึ้นเหยียบต่อจนเละเทะ
ภาพที่โหดร้ายนี้ สวี่ชิงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ เดาว่าคนผู้นี้น่าจะไปผิดใจอะไรกับชิงชิว และจะต้องฝังลึกมาก จึงถอนสายตากลับมา ออกจากเมืองหลวงเขตปกครอง ไปยังหอกระบี่
ชิงชิวไม่หันไปมองสวี่ชิงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่เหยียบศพคนชุดดำจนเละ นางก็หยิบถุงเก็บของจากกองเลือดเนื้อขึ้นมา จ้องเศษเนื้อเละๆ บนพื้นเขม็ง ดวงตาเผยความรังเกียจออกมา
‘อย่างเจ้าน่ะคู่ควรกับชื่อเด็กน้อยหรือ กล้ามาทำให้คำนี้แปดเปื้อน ข้าจะทำให้เจ้าตายไม่เหลือซากเลย!’ ชิงชิวแค่นเสียงเย็นชาในใจ
คนร้ายประกาศจับคนนี้ เดิมไม่ใช่เป้าหมายภารกิจของนาง แต่หลังจากที่นางเห็นรายชื่อประกาศจับที่อีกฝ่ายใช้ชื่อว่าเด็กน้อย นางก็จับจ้องมาที่คนผู้นี้ คิดจะจัดการเขาทิ้งเสีย
ชื่อเด็กน้อยนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมากในใจชิงชิว เป็นตัวแทนของความดีงาม นางจึงไม่อนุญาตให้ใครทำให้แปดเปื้อน
‘ใช่เลยๆ เล่นงานเขาให้ตายเสีย ตายตกตามเขาไปเลย!’ หลังจากที่ผีร้ายไม่เห็นเงาของสวี่ชิงแล้ว ถึงกล้าพูดออกมา ร้องเอะอะในสมองชิงชิว
‘เอาล่ะ เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบ ได้เรื่องหรือยัง!’ ชิงชิวเอ่ยเย็นชาในจิตเทพ
‘ได้เรื่องแล้ว อีกสี่เดือน เป็นไปได้มากว่าขบวนสินค้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่มาซื้อหินเมฆมารดรจะกลับเผ่าของพวกเขาผ่านหุบเขานภาจันทรา แต่ตำแหน่งนั้นไม่เหมาะกับการซุ่มดักปล้น เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำ’
ผีร้ายเอ่ยรวดเร็ว
ชิงชิวไม่พูดจา หันหลังเดินจากไปไกลใต้แสงจันทร์
‘ถ้าเจ้าจะทำจริงๆ ข้าคิดว่าเราต้องเตรียมพร้อมที่จะตายตกตามพวกเขาไป ถึงแม้ว่าข้าจะรอวันนี้มานาน แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะต้องพิจารณานานกว่านี้สักหน่อย’
ผีร้ายค่อนข้างลังเล
‘ข้าต้องการแต้มกองทัพเพียงพอที่จะลดเวลาทำหน้าที่ได้ ต้องไปแย่งของของพวกเขาเพื่อมาแลกแต้มกองทัพ!’ ชิงชิวส่งเสียงในใจอย่างเรียบนิ่ง
‘คุ้มค่าหรือ ไม่ใช่ว่าแค่สามปีหรือไร ตอนนี้ผ่านไปครึ่งปีแล้ว” ผีร้ายถอนหายใจ มันคิดจะตายตกตามกัน แต่กลับไม่อยากตายพร้อมกับพวกสามัญ
‘อันที่จริงๆ ที่เหมาะจะตายตกตามไปคือเจ้าหมาบ้านั่น…’
ชิงชิวมองข้ามคำพูดเหล่านั้นของผีร้าย เอ่ยเสียงราบเรียบ
‘ข้ารอถึงสามปีไม่ไหว ในหนึ่งปีข้าจะไปทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ’
‘ไม่เช่นนั้นเจ้าน่าก็ครุ่นคิดอีกหน่อยเถอะ อันที่สามปีก็สามปีสิ นานถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ต่างกับสามปีหรอก’ ผีร้ายยังไม่ยอมแพ้ เอ่ยแนะนำต่อ
‘ไม่ได้!
‘ช่วงนี้ข้าใจโหวงบ่อยๆ รู้สึกว่าพี่เด็กน้อยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเป็นตายอยู่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ข้ารอไม่ไหว
‘ตอนนี้ข้าปกป้องเขาได้แล้ว ข้าจะไปหาเขา ข้าติดค้างหนี้ชีวิตเขา!’
ส่วนสวี่ชิงตอนนี้กลับมาถึงหอกระบี่แล้ว
หลังจากนั่งลงขัดสมาธิเขาก็หยิบแผ่นหยกของปลัดเขตปกครองออกมาศึกษาอย่างละเอียด
เวลาไหลผ่านไป ตอนที่ฟ้าเกือบจะสว่าง สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเผยแววครุ่นคิด
‘หุ่นเชิดเซียนต้องหลอมคนที่มีชีวิต อีกทั้งต้องยินยอมพร้อมใจด้วย…’
เขาอ่านเนื้อหาด้านในแผ่นหยกไปแล้วหลายรอบ และศึกษาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เข้าใจการสร้างหุ่นเชิดเซียนของเผ่าเคียงเซียนมากขึ้น
เพียงแต่อย่างไรนี่ก็เป็นความลับสุดยอดของเผ่าเคียงเซียน ปลัดเขตปกครองจึงไม่อาจศึกษาแก่นที่แท้จริงได้
แต่เนื้อหาที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก ก็เพียงพอสำหรับสวี่ชิงแล้ว
‘ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาลับ หรือวิธีการแปรสภาพ รวมถึงเก้าหลอมเคียงเซียนที่พูดถึงในนั้น ที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญ…ที่สำคัญคือเผ่าเคียงเซียนเลือกคนในเผ่ามาเป็นวัตถุดิบได้อย่างไร’
สวี่ชิงหรี่ตา ในหัวสมองปรากฏภาพเผ่าเคียงเซียนในคุกเหล่านั้นขึ้นมา
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าพันธสัญญาส่งตัวนักโทษเมื่อครบสิบปีของทั้งสามเผ่า สำหรับเผ่าเคียงเซียนแล้วยังมีจุดประสงค์และเจตนาอื่นอีก เช่น…
‘นำนักโทษที่ส่งกลับไปหลอมเป็นหุ่นเชิดเซียน?
‘และปกตินักโทษจะผ่านการตายหลายครั้งในคุกจนสูญเสียความทรงจำทั้งหมด เช่นนี้ในบางระดับ ก็ถือว่าเติมเต็มเงื่อนไขเรื่องยินยอมพร้อมใจด้วย’
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งแสงวาบ เขานึกถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสมือผีพูดถึงคำสั่งเมื่อสามร้อยปีก่อนของเจ้าเขตปกครอง
“เพื่อที่จะไม่ให้ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเคียงเซียง จึงออกคำสั่งว่าไม่ลบความทรงจำของนักโทษเผ่าเคียงเซียนอีกต่อไปเช่นนั้นหรือ เรื่องนี้…”
สวี่ชิงครุ่นคิด เรื่องนี้ดูเหมือนเจ้าเขตปกครองจะมีเมตตา แต่จากข้อมูลที่สวี่ชิงรู้ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเขตปกครองรู้กระบวนการการสร้างหุ่นเชิดเซียน จึงมีคำสั่งนี้ออกมา
เพียงกล่าวให้นุ่มนวล ทั้งหมดก็เพื่อมิตรภาพของทั้งสองเผ่า เรื่องนี้ทำให้เผ่าเคียงเซียนต้องยอมรับโดยปริยาย
‘เรื่องใดก็ตามล้วนห้ามมองเพียงแค่ผิวเผิน’
สวี่ชิงทอดถอนใจ ตอนอยู่ในเจ็ดเนตรโลหิตเขาก็สัมผัสได้บ้างแล้ว ตอนอยู่พันธมิตรแปดสำนักดีกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อมาเมืองหลวงเขตปกครอง ความรู้สึกนี้ก็รุนแรงขึ้น
‘เช่นนี้ ข้าสามารถคิดหาวิธีที่จะทิ้งบางอย่างเอาไว้ที่ตัวนักโทษเผ่าเคียงเซียนที่กำลังจะถูกส่งตัวกลับไปได้…’
สวี่ชิงคิดว่าทำเรื่องนี้ได้
ส่วนท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างแล้ว ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายหม่น ลุกขึ้นตรงไปยังกรมราชทัณฑ์ แต่ไม่ได้ไปที่เขตติงหนึ่งสามสอง และไม่ได้ไปที่เขตปิ่ง แต่ไปที่ชั้นเก้าก่อน
ที่นั่นใช้สถานะและอำนาจพัศดีเขตปิ่งของตน ตรวจสอบข้อมูลนักโทษทั้งหมดของเขตติง ในที่สุดก็หาเบาะแสจากในนี้เจอ
เผ่าเคียงเซียนทั้งหมดไม่ได้ถูกขังอยู่แค่ในเขตปิ่ง
ในเขตติงก็มีนักโทษเผ่าเคียงเซียนด้วยเช่นกัน จำนวนอยู่ที่ประมาณสามร้อย
และในนั้นมีสิบเจ็ดคนที่ใกล้จะครบกำหนดสิบปีแล้ว ไม่นานหลังจากนี้จะถูกส่งกลับไปที่เผ่าเคียงเซียน
‘และในสี่สิบกว่าคนของเขตปิ่ง จะต้องมีด้วยแน่นอน
‘แม้จะบอกว่าการสร้างหุ่นเชิดเซียนต้องใช้ระดับพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดถึงจะได้ พวกที่ถูกขังอยู่ในเขตติงพลังบำเพ็ญยังไม่เพียงพอ แต่สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ยังบอกไม่ได้’
หลังจากตรวจสอบข้อมูลนักโทษ สายตาสวี่ชิงก็ฉายแววครุ่นคิด หันหลังเดินออกไปที่เขตติงชั้นที่ยี่สิบเจ็ด เขาหาตัวพัศดีเจอแล้วทักทาย ขอเบิกตัวนักโทษ
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของพัศดีเขตปิ่งหรือชื่อเสียงในเขตติงของสวี่ชิง ล้วนทำให้การเบิกตัวนักโทษครั้งนี้ราบรื่นมาก
สวี่ชิงจึงได้เจอกับเผ่าเคียงเซียนที่อยากเจอในห้องขังแห่งหนึ่งของเขตยี่สิบเจ็ดด้วยการนำทางของพัศดีเขตนี้
อีกฝ่ายเป็นวัยกลางคน สีขาวทั่วร่าง แม้ว่าจะอยู่ในคุกก็ยังดูน่าเลื่อมใส ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิ แม้ว่าจะรับรู้การมาของพัศดี ก็ยังมีสีหน้าปกติ ความหยิ่งทะนงแผ่ออกมาจากในกระดูก
“สวี่ชิง เผ่าเคียงเซียนคนนี้ก็ยกให้เจ้าแล้ว แต่อย่าเล่นงานจนตายล่ะ…” พัศดีเขตยี่สิบเจ็ดเคยเห็นบ่อเลือดที่เขตติงหนึ่งมาแล้ว จึงเอ่ยเตือน
สวี่ชิงพยักหน้า ประสานหมัดขอบคุณ
“เจ้าเล่นสนุกไปเถอะ” พัศดีคนนี้หัวเราะตอบกลับ หันหลังจากไป
สวี่ชิงหันหลัง เปิดประตูห้องขัง ขณะที่เดินเข้าไป เผ่าเคียงเซียนคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น แววตาฉายแววหยามหมิ่น มองสวี่ชิง
“เจ้า…”
พริบตาที่เผ่าเคียงเซียนเอ่ยปาก สวี่ชิงก็เดินตรงเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยกมือขวาขึ้นตบไปที่กระหม่อมของเผ่าเคียงเซียน ฝ่ามือตบลงไปหนึ่งครั้ง พลังบำเพ็ญแผ่ออกมา เผ่าเคียงเซียนคนนั้นสั่นสะท้าน กระอักเลือดสดออกมา สลบไปทันที
สวี่ชิงไม่ชอบพูดพร่ำ และไม่อยากจะพูดกับเผ่าเคียงเซียนมากด้วย ดังนั้นการตบให้สลบย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว
ตอนนี้อีกฝ่ายสลบ สวี่ชิงย่อตัวลงนั่ง ศึกษาโครงสร้างร่างกายเผ่าเคียงเซียน
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ดวงตาเขาก็เผยแววครุ่นคิด ขณะที่ขบคิดว่าจะลงมืออย่างไร ก็ศึกษาเผ่าเคียงเซียนต่อ ประเดี๋ยวก็ใช้มีดกรีดเนื้อออกมาตรวจสอบ
ไม่นานนัก ตอนที่สวี่ชิงกำลังวิเคราะห์ ผู้บำเพ็ญเผ่าเคียงเซียนนั้นก็ร่างสะท้าน อาการเจ็บปวดต่อเนื่องทำให้เขาตื่นขึ้นมา กำลังจะลืมตาขึ้น สวี่ชิงก็เอ่ยเสียงเรียบ
“คนที่เจ้าสังหารคนนั้น คือสหายของข้า!” พูดจบ เขาก็ตบอีกครั้ง
เสียงตบดังขึ้น เผ่าเคียงเซียนที่ยังไม่ทันจะลืมตาก็สลบไปอีกรอบ
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ ระหว่างที่ผู้บำเพ็ญเผ่าเคียงเซียนคนนี้ตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดสิบสองครั้ง ก็ล้วนถูกตบจนสลบไป ตอนอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน ในที่สุดสวี่ชิงก็ศึกษาร่างของเขาเสร็จสิ้น
ตอนนี้เผ่าเคียงเซียนก็บาดแผลเต็มตัวไปหมดแล้ว
“วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ไอพลังประหลาดของข้าใส่ไว้ในตัวเขา เช่นนี้จะซ่อนได้ดีที่สุด และตรวจสอบไม่พบด้วย ส่วนแมลงสีดำ…เอาไว้ก่อน จะดูถูกเผ่าเคียงเซียนไม่ได้
“แต่น่าจะจับไอพลังประหลาดนี้ไม่ได้”
สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ จึงยกมือขวาขึ้นโบก หลังจากที่ปราณหมอกแผ่ปกคลุมประสาทสัมผัสรอบด้าน วังสวรรค์วังที่สามในร่างกายเขาสั่นคลอน ครั้งนี้ไม่ได้แผ่พิษออกมา แต่เป็นไอพลังประหลาดวูบหนึ่งที่เป็นของเขาเอง
ไอพลังประหลาดนี้รุกล้ำทุกสรรพสิ่งได้ และตัวตนที่มันรุกล้ำทั้งหมด จะมีเขาเป็นต้นกำเนิด
ที่ไม่เลือกหัวใจ เพราะว่าหัวใจเผ่าเคียงเซียนมีถึงห้าดวง ขณะเดียวกันความสามารถในการฟื้นฟูก็แข็งแกร่งมาก ทำลายไปสี่ดวงก็ยังไม่ตาย
แต่มือผีเคยพูดไว้ในการฝึกฝนลับครั้งนั้น ไตถึงเป็นจุดตายของพวกเขา
หลังจากที่ค่อยๆ ซ่อนไอพลังประหลาดไว้ในตัวเผ่าเคียงเซียนคนนี้ สวี่ชิงสลายปราณหมอกที่ปิดบังรอบตัว หันหลังเดินออกไปไปยังห้องขังที่ขังเผ่าเคียงเซียนคนที่สอง
หลังจากเดินออกไป เผ่าเคียงเซียนที่บาดแผลเต็มตัวหายใจรวยรินคนนั้นฟื้นขึ้นมา สีหน้าโกรธขึ้ง ตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจบาดแผลแม้จะสาหัสแต่ก็ไม่ถึงชีวิต เขาก็กัดฟันกรอด ดวงตาเผยความโหดเหี้ยม
เขานึกถึงประโยคที่อีกฝ่ายพูด รู้ว่าคนผู้นี้เข้ามาแก้แค้นตนโดยเฉพาะ
“ข้าสังหารคนไปตั้งมากมาย แล้วผู้ใดล่ะที่เป็นสหายเขา
“แต่ว่านี่ไม่สำคัญ ช่วงนี้ข้าใกล้จะถึงวันที่ส่งตัวกลับเผ่าแล้ว หลังจากข้าออกไป ความทรมานในวันนี้จะต้องเอาคืนให้สาสม!”
ขณะที่เผ่าเคียงเซียนคนนี้กำลังเคียดแค้นอย่างรุนแรง สวี่ชิงก็ยังทำตามแผนต่อ ไปหาเผ่าเคียงเซียนคนอื่นที่กำลังจะถูกส่งตัวกลับในเขตติง ล้วนทำเช่นนี้ทั้งสิ้น
ทุกครั้ง เขาล้วนเปลี่ยนโฉมหน้า และพูดคลับคล้ายคลับคลาตามโทษที่นักโทษแต่ละตนได้รับ
ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเคียงเซียนเหล่านี้จับได้ว่าตนเองทำอะไรกับร่างกายพวกเขา
ทำให้พวกเขาไม่สามารถประติดประต่อข้อมูลที่ขาดหายไปได้ และคิดว่านี่เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวเท่านั้น
เสร็จเรื่องเหล่านี้ สวี่ชิงก็ออกจากเขตติง ไปยังเขตปิ่ง
เขตปิ่งยังมีเผ่าเคียงเซียนอีกสองคน แม้สวี่ชิงจะสามารถแบกกฎเกณฑ์ที่ประทับลงมาของโลกใบเล็กได้ แต่ก็ยังเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก ไม่อิสระ ยิ่งไปกว่านั้นเวลายังจำกัดอีกด้วย
ดังนั้นเผ่าเคียงเซียนสองคนนี้ เขาจึงปล่อยไปก่อน
และถัดจากนี้ เขาก็ทุ่มสมาธิทั้งหมดไปที่การปรับตัวกับกฎเกณฑ์ที่ประทับลงมาของโลกใบเล็กในเขตปิ่ง ลองก้าวเข้าไปในโลกใบเล็กทีละก้าว ซึ่งแต่ละก้าวก็แบกรับความเจ็บปวดรวดร้าวจวนจะปริแตกของร่างกายไว้
เพียงแต่ว่าอย่างมากสุดก็ทนได้เพียงสามร้อยอึดใจ ยังไม่เพียงพอที่จะฝังไอพลังประหลาดของตนเข้าไปในร่างเผ่าเคียงเซียน
“อย่างน้อยข้าต้องทนได้สักสองพันอึดใจ ถึงจะฝืนทำไหว”
หลังจากสวี่ชิงตัดสินใจ ก็พยายามมากยิ่งขึ้น
ช่วงนี้นอกจากที่ไปเข้าเวรทุกครั้ง เขาก็จะนำสุรากาหนึ่งไปฝากผู้อาวุโสมือผีด้วย เขารู้ว่าอีกฝ่ายชอบดื่มสุรา
หลังจากที่มอบให้หลายครั้ง สวี่ชิงก็สอบถามถึงเคล็ดลับในการแบกรับกฎเกณฑ์ของโลกใบเล็กขึ้นอย่างนอบน้อมขณะที่อีกฝ่ายดื่มสุรา เขาเชื่อว่าจะต้องมีเคล็ดลับอะไรอยู่แน่
ตอนแรกมือผียังไม่พูด ต่อมาหลังจากดื่มสุราของสวี่ชิงไปหลายครั้ง เริ่มชื่นชมสวี่ชิงมากขึ้น เริ่มบอกให้เขารู้
สวี่ชิงฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ไปทดสอบในโลกใบเล็ก ผ่านการลับคมอยู่หลายครั้ง สรุปด้วยตัวเอง
เขาก็พัฒนาได้ไวมากเช่นนี้ เวลาในการแบกรับกฎเกณฑ์ก็นานขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งเดือนต่อมาเวลาของเขาก็เพิ่มจากสามร้อยอึดใจมาเป็นหนึ่งพันอึดใจแล้ว
ในระหว่างนี้ เขตปกครองผนึกสมุทรก็เกิดเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
มีผู้บำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬปรากฏตัวขึ้นในเขตปกครองผนึกสมุทร ถูกผู้แข็งแกร่งที่วังครองกระบี่ส่งตัวไปจับตัวมาอย่างลับๆ หลังจากทรมานให้รับสารภาพ สุดท้ายก็ถูกส่งตัวมาสะกดไว้ในเขตปิ่ง
เรื่องนี้เป็นความลับ คนนอกไม่รู้ สวี่ชิงในฐานะที่เป็นพัศดีเขตปิ่งถึงได้รู้
วันที่ส่งตัวมา คือตอนที่เขากำลังเข้าเวร ขณะที่เพิ่งเดินเข้ามาในชั้นเก้าสิบ สวี่ชิงก็เห็นมือผีรวมถึงพัศดีโลกใบที่หนึ่งอีกไม่น้อย กำลังมารับตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเผ่าฟ้าทมิฬ
หากบอกว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เผ่ามนุษย์เสื่อมถอยลงคือศึกล้างเผ่ากับเผ่านภาคิมหันต์เมื่อครั้งนั้น เช่นนั้นเผ่าฟ้าทมิฬก็คือนักฆ่าที่รอโอกาสจะตัดเผ่ามนุษย์ออกไปหลังจากที่เผ่ามนุษย์ฟื้นฟูกลับมาได้อย่างยากลำบาก
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะขึ้นตรงกับเผ่าฟ้าทมิฬในตอนนั้น
กระทั่งจากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การทรยศของใต้เท้าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น คล้ายเป็นแผนการที่น่าตกตะลึงแผนหนึ่ง เพียงแต่เมื่อผ่านยุคผ่านสมัยมาจนปัจจุบัน จึงมีน้อยคนนักที่รู้รายละเอียดข้อเท็จจริง
สวี่ชิงรู้เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างน้อย ประวัติศาสตร์ทั้งหมด ล้วนรู้มาจากการบอกเล่าของปลัดเขตปกครองเมื่อครั้งที่มาฝึกฝนลับให้กับผู้ครองกระบี่ทั้งสิ้น
แต่สวี่ชิงรู้ว่าเผ่าฟ้าทมิฬไม่ชอบแสงอาทิตย์ จึงทำลายดวงตะวันที่แต่เดิมล่องลอยอยู่บนฟากฟ้าให้มอดดับไป
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั่วทั้งดินแดนของเผ่าฟ้าทมิฬ จึงมีเพียงดวงจันทร์เท่านั้น