ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 420 กินหม้อไฟกลางสนาม
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 420 กินหม้อไฟกลางสนาม
ตอนที่ 420 :กินหม้อไฟกลางสนาม
หลังจากพิธีเคารพธงชาติจบลง นักเรียนทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียน
ในอดีต หลี่ม่านม่านและครูใหญ่จางต่างก็แบ่งกันรับผิดชอบสอนเด็ก ๆ คนละห้อง แต่ปัจจุบันโรงเรียนเหลือเพียงครูใหญ่จางคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเขาก็สามารถสอนได้เพียงห้องเรียนเดียว จึงทำให้ห้องเรียนอีกห้องหนึ่งต้องว่าง เพราะไม่มีใครมาสอน
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกเศร้ามากเมื่อเห็นภาพนี้ เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าต้องหาครูมาสอนที่นี่อย่างเร่งด่วน
เขาเริ่มทำหม้อไฟหลังจากนักเรียนเคารพธงชาติเสร็จ โดยมีหยางเจี๋ยและเจียงชานคอยช่วยล้างผัก
ในโรงเรียนไม่มีหม้อพิเศษสำหรับทำหม้อไฟ มีเพียงหม้อเหล็กขนาดใหญ่ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงทำในห้องใหญ่ โดยทอดเครื่องเทศทำหม้อไฟในหม้อและทำน้ำซุป
ท้ายที่สุด เมื่อคิดว่าต้องมาไกลขนาดนี้ เขาจึงไม่ได้ซื้อวัตถุดิบมาหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไม่ติดมัน ไส้เป็ด เต้าหู้ เห็ดเข็มทอง ฯลฯ ซึ่งมีไม่ถึงสิบอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้น ในห้องครัวของโรงเรียนก็มีอุปกรณ์ไม่มากนัก
หยางเจี๋ยไปที่บ้านของชาวบ้านแถวโรงเรียน เพื่อขอยืมถ้วยจาน ซึ่งคนแรกที่เธอมองหาคือป้าเกอ
“อะไรนะ เสี่ยวเจียงอยากทำหม้อไฟให้เด็ก ๆ เหรอ ? ”
ป้าเกอตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงพูดว่า “มีนักเรียนมากกว่าสามสิบคน ของที่เขานำมาจะเพียงพอสำหรับเด็ก ๆ เหรอ”
หยางเจี๋ยไม่รู้ว่าเพียงพอหรือไม่ เธอจึงพูดว่า “อาจจะนะคะ ! ”
เมื่อเห็นว่าเธอเองก็ให้คำตอบไม่ได้ ป้าเกอจึงหยิบจานชามมาสองสามใบ แล้วเดินไปที่โรงเรียนด้วยตัวเอง
ในวันนี้ ป้าเกอไม่เพียงแต่ให้ยืมจานชามเท่านั้น แต่เธอยังนำมันฝรั่งและมันเทศมากกว่า 10 กิโลกรัมจากบ้านมาให้อีกด้วย
จากนั้นบ้านระแวกใกล้เคียงอีกหลายหลังก็เอาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้ รวมทั้งผัก เช่นเดียวกับป้าเกอ
พวกเขาเอาผัก แตงกวา หัวไชเท้า มะเขือยาว กระเทียม หัวหอม ฯลฯ จากสวนผักของพวกเขามาให้
ซึ่งเดิมที เจียงเสี่ยวไป๋ก็วางแผนว่าจะมาซื้อผักที่นี่อยู่แล้ว เขาจึงไม่ไปซื้อในตลาดที่ชิงโจว
เมื่อชาวบ้านเอามาให้ เขาจึงไม่ปฏิเสธและยังบอกว่าจะซื้อ
แต่ชาวบ้านเหล่านี้จะต้องการเงินของเขาที่ไหนกัน ?
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการเอาเปรียบชาวบ้าน ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ถ้าใครมีผักและเนื้อที่บ้านก็เอามาเพิ่มได้ แล้วมาทานหม้อไฟกับเด็ก ๆ ตอนเที่ยงด้วยนะครับ”
ป้าเกอ ป้าหลั่น และคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยและตอบตกลง
ส่งผลให้ตอนนี้มีผักมายมายในครัวของโรงเรียน ป้าเกอและป้าหลั่นก็ช่วยกันล้างผัก เตรียมของ ซึ่งดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ผ่านมา
ป้าเกอยังเสนอที่จะช่วยหั่นผักด้วย แต่หลังจากเห็นทักษะการใช้มีดของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอก็เงียบไป
เนื้อวัวและเนื้อแกะทั้งหมดถูกสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ แม้แต่แตงกวา เจียงเสี่ยวไป๋ก็ใช้มีดทำครัวปอกเปลือกแตงกวาเหมือนปอกเปลือกแอปเปิ้ล
“เสี่ยวเจียง ทำไมถึงหั่นผักพวกนี้หั่นบางมากล่ะ ? ”
ป้าเกอถามด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เวลากินหม้อไฟ เราต้องเอาของพวกนี้จุ่มลงไปในน้ำซุปที่กำลังเดือด จึงต้องหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ถึงจะกินได้สะดวกครับ”
ป้าเกอพูดว่า “คนเยอะขนาดนี้คงอัดกันนั่งล้อมวงในห้องครัวไม่หมด แล้วเราจะกินกันอย่างไรล่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ผมว่าจะจุดไฟตั้งหม้อที่กลางสนาม ให้ทุกคนมานั่งล้อมกินกันที่สนาม แบบนี้ไม่ต้องใช้โต๊ะ”
ป้าหลั่นที่อยู่ข้าง ๆ จึงพูดขึ้นมาว่า “ก็แสดงว่าเราต้องตั้งหม้อน้ำซุปบนไฟตลอดเลยใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ใช่ครับ จนกว่าเราจะกินเสร็จ”
ป้าหลั่นจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตั้งหม้อแล้ว ฉันจะให้สามีเอาตะกร้าถ่านมาจากบ้าน เราจะก่อไฟที่สนาม แล้ววางหม้อเหล็กใบใหญ่ไว้ด้านบน”
ถ่านหินเป็นหินสีเทาดำชนิดหนึ่งที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำและแข็งกว่าถ่านหินทั่วไป ติดไฟได้ แต่มีอัตราการเผาไหม้ต่ำมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจ “ป้า ป้ามีถ่านหินด้วยเหรอครับ ? ”
ป้าหลั่นเล่าว่า “ทางตะวันตกของหมู่บ้านมีถ่านหินเยอะมาก เราทุกหลังคาเรือนมักจะมีติดบ้านกัน ปกติเราใช้กับเตาดินเอาต้มอาหารหมู บางครั้งเราก็ใช้ทำอาหารเมื่อจำเป็น ใช้ตอนที่ไม่ได้ไปหาฟืนบนภูเขา”
ขณะที่เธอพูด เธอก็โชว์ฟันของเธอให้เขาดู
เจียงเสี่ยวไป๋สังเกตเห็นว่าฟันของเธอมีสีเหลืองกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะฟันหน้าซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนกว่า
เขาได้คุยกับป้าเกออีกครั้งและพบว่าฟันของป้าเกอก็เป็นเหมือนฟันของป้าหลั่น
จากนั้นเขาก็เข้าใจว่าคุณภาพน้ำในหมู่บ้านมีปริมาณฟลูออไรด์สูงมาก ซึ่งส่งผลต่อผิวฟันและทำให้ฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
เมื่อคิดถึงการเปลี่ยนแปลงของถู่เฉิงหลังจากนี้ในอนาคต เขาคาดการณ์ว่าหมู่บ้านนี้อาจพบทรัพยากรถ่านหินหรือแม้แต่ก๊าซธรรมชาติมากมาย
การค้นพบนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
ชาติที่แล้ว ถู่เฉิงได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในประเทศ แต่น่าเสียดาย เนื่องจากการทรยศของใครบางคน ทำให้เขาไม่ได้มาเหยียบที่ถู่เฉิงอีกเลย เขาไม่รู้แหล่งก๊าซธรรมชาติในถู่เฉิงและไม่รู้ว่ามีเหมืองก๊าซในหมู่บ้านนี้หรือไม่
และสิ่งที่เขาไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว เขาจะไม่พลาดมันอีกในชีวิตนี้
ภาพของใครคนนั้นที่ทรยศเขาปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง และมีแสงเย็นเฉียบแวบเข้ามาในดวงตาของเขา
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิจารณาในตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ละทิ้งความคิดยุ่งเหยิงในใจของเขา แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมขอรบกวนป้าหลั่นด้วยนะครับ”
ป้าหลั่นพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราทุกคนกำลังเอาเปรียบพวกคุณอยู่นะ อย่าลำบากใจไปเลย ฉันจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เธอเดินกลับบ้านไปด้วยความเร่งรีบ “ตาเฒ่าหลั่น ตาเฒ่า ! ”
เธอตะโกนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครตอบ
เมื่อเห็นว่าสามีไม่อยู่บ้าน ป้าหลั่นจึงหยิบตะกร้าถ่านหินใบใหญ่แล้วไปที่สนามโรงเรียน
หลังจากวางลง เธอก็กลับบ้านไปเอาจอบและฟืนกลับมาอีกครั้ง
สนามในโรงเรียนไม่ได้เทปูน แต่เป็นดินโคลนสีเหลือง ป้าหลั่นจึงใช้เวลาไม่นานก็ขุดหลุมเสร็จ แล้วก่อฟืนจุดไฟ พอไฟเริ่มติดได้ที่ ก็ใส่ถ่านหินลงไปทีละก้อน..
ใช้เวลาไม่นาน ถ่านหินก็เริ่มติดไฟและค่อย ๆ เผาไหม้
เจียงเสี่ยวไป๋หั่นผักเกือบเสร็จแล้ว มีผักหลายสิบชนิดในกะละมังขนาดใหญ่และเล็ก
เมื่อเห็นว่าป้าหลั่นก่อไฟข้างนอกเสร็จแล้ว เขาจึงดับไฟในเตา พอหม้อเย็นและจับตัวเป็นไข ก็เอากะละมังเปล่าหลายใบมาตักซุปก้อนหม้อไฟออกมา แล้วย้ายหม้อเหล็กใบใหญ่ไปที่สนาม ตั้งหม้อ แล้วเทซุปก้อนลงในหม้อเหล็กอีกครั้ง ปิดฝาหม้อและปล่อยให้มันค่อย ๆ เคี่ยวไป
พอใกล้เที่ยง เด็ก ๆ ที่เห็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสนาม ทุกคนก็มารวมตัวกันรอบหม้อ และกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันเมนูอะไรกันเนี่ย ? ถึงกับตั้งหม้อกันกลางสนามแบบนี้”
“ครูใหญ่จางบอกว่าทำหม้อไฟไม่ใช่เหรอ ? ”
“หม้อไฟคืออะไร มันอร่อยไหม ? ”
“ฉันก็ยังไม่เคยกินเลย มันต้องอร่อยแน่ ! ”
“เหลือวิชาเดียวก็จะเที่ยงแล้ว ฉันอยากกินตอนนี้เลย ! ”
“……”
ครูใหญ่จางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นฉากนี้
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา อนิจจา… ฉันกลัวว่าเด็ก ๆ จะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในคาบต่อไปน่ะสิ
“เต้ง เต้ง เต้ง…”
เสียงระฆังในโรงเรียนดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเด็ก ๆ ก็กลับไปที่ห้องเรียนด้วยความไม่เต็มใจ ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ก็กำลังผสมน้ำจิ้มอยู่ในห้องครัว
ป้าเกอและป้าหลั่นก็กลับบ้านเพื่อไปเรียกคนในครอบครัวมากินข้าวเที่ยงที่โรงเรียน เพราะเหลืออีกแค่คาบเรียนเดียวก็จะได้เวลาทานอาหารมื้อใหญ่แล้ว
ในที่สุด เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง ครูใหญ่จางก็หยุดสอนและปล่อยให้นักเรียนออกมากินข้าว
“ไปกินหม้อไฟกันเถอะ ! ”
“ไปกินหม้อไฟกันเถอะ ! ”
“……”
เด็ก ๆ รีบไปที่สนาม ส่วนผู้ใหญ่ก็ช่วยกันย้ายโต๊ะหลายตัวมาเรียงต่อกันเพื่อวางจานต่าง ๆ ไว้บนโต๊ะ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ทุกคนจะถือชามคนละใบ ยืนอยู่รอบ ๆ หม้อไฟ ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของหม้อไฟและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ