ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 417 รู้สึกผิดกว่าเดิม
ตอนที่ 417 :รู้สึกผิดกว่าเดิม
“……
ฟังนะ มีคนกำลังร้องเพลง
เพลงที่เธอรักมากที่สุด !
ความวุ่นวายในโลกมีมากมาย
แต่เธอไม่ต้องกังวลอีกต่อไป !
……”
เสียงร้องเพลงลอยล่องออกไป ดอกไม้ป่าบนเนินเขาดูเหมือนจะพลิ้วไหวไปตามจังหวะ ส่วนทุกคนต่างกำลังหลั่งน้ำตา
ไม่ใช่เพราะเจียงชานร้องเพลงได้ดี แต่เป็นเพราะวลี ‘ดอกไม้บานอยู่หน้าหลุมศพ’ คำสั้น ๆ นี้ไม่เพียงตอบสนองต่อฉากที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังย้ำเตือนถึงระยะห่างที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้อีกด้วย
เพลงนี้ดูเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวของครูหลี่ ที่มาอย่างเงียบ ๆ และจากไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับเนื้อร้องในเพลง “เธอจากไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งฉันให้คอยเป็นห่วงเธอมาทั้งชีวิต ดอกไม้ที่บานอยู่หน้าหลุมศพคือความงามที่เธอโหยหา”
เนื้อเพลงเต็มไปด้วยความคิดถึงและความเสียใจที่ไม่ได้ปรุงแต่งแต่อย่างใด ทุกเนื้อร้องต่างสะเทือนใจของทุกคน
เมฆบนท้องฟ้าด้านตะวันตกค่อย ๆ กระจายออกไป ดอกไม้ป่าทั่วทั้งภูเขาก็สงบนิ่ง ครูใหญ่พาทุกคนออกจากสุสานของหลี่ม่านม่าน และค่อย ๆ เดินลงจากภูเขาไป
เจียงเสี่ยวไป๋เดินตามหลังไป หลังจากเดินไปได้สักพัก เขาก็มองย้อนกลับไปและเห็นสุสานใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา ราวกับว่าเขาเห็นหลี่ม่านม่านยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เขาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง
หยางเจี๋ยก็หันกลับมาเช่นกัน หลังจากที่เธอเห็นอย่างนั้น เธอก็หยุดแล้วพูดว่า “อย่าเศร้าไปเลย หลี่ม่านม่านรู้ว่านายมาเยี่ยมเธอแล้ว เธอจะต้องมีความสุขมากแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ฉันไม่เสียใจกับเรื่องนี้ ผู้คนไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้หลังความตาย ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ ฉันแค่รู้สึกว่าสุสานของเธอมันดูโดดเดี่ยวบนเนินเขา หลี่ม่านม่านถูกฝังอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เธอคงจะเหงามาก”
เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา มองหยางเจี๋ยแล้วพูดว่า “ทำไมพ่อแม่ของเธอ ไม่รับเธอกลับไปฝังที่บ้านล่ะ ? ”
ที่จริงแล้วเขาอยากถามคำถามนี้มาโดยตลอด แต่เขารู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นหลุมศพอันโดดเดี่ยว เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและถามขึ้นมาในที่สุด
หยางเจี๋ยถอนหายใจและพูดว่า “ลุงหลี่และป้าหลันต้องการเอาร่างของม่านม่านกลับไปทำพิธีที่บ้าน แต่เพราะระยะนี้อากาศร้อนเกินไป และระยะห่างระหว่างที่นี่กับบ้านเกิดของเธอก็ไกลกันมาก กว่าจะขนย้ายโลงศพออกไปได้คงใช้เวลานาน”
เธอยิ้มเศร้า ๆ และกล่าวต่อว่า “ในเวลานั้น ชาวบ้านบอกว่าพวกเขายินดีที่จะช่วยยกโลงศพ แต่พวกเขาไม่สามารถหารถที่จะขนโลงศพไปยังชิงโจวได้”
“ถ้าใช้เกวียนลากกลับ มันต้องใช้เวลานาน ตอนนั้นร่างคงจะส่งกลิ่นออกมาแล้ว ! ”
“ท้ายที่สุดแล้ว ลุงหลี่ก็ทนไม่ได้ เขาไม่อยากให้ม่านม่านต้องมาทนทุกข์ทรมานหลังความตายอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องฝังม่านม่านไว้ที่นี่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นหลังจากได้ยินเรื่องนี้
หากเขามากับหยางเจี๋ยในเวลานั้น เขาคงจะเรียกรถมาขนโลงศพของหลี่ม่านม่านกลับไปที่ชิงโจวได้ !
“ฉันขอโทษ มันเป็นความผิดของฉันเอง ! ”
“ถ้าฉันมากับเธอในวันนั้น ม่านม่านคงได้กลับบ้าน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวทั้งน้ำตา
หยางเจี๋ยถอนหายใจและพูดว่า “เรื่องนี้โทษนายไม่ได้ บางทีม่านม่านอาจอยากอยู่ที่นี่ก็เป็นได้!”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าหลี่ม่านม่านต้องการอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่เขารู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับ ทว่าเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “หลังจากที่เธอกลับไป ก็ลองหารือกับพ่อแม่ของม่านม่าน หากพวกเขาตกลง ฉันจะเตรียมการพาม่านม่านกลับไปที่ชิงซานให้”
หยางเจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “แม้ว่านายจะอยากพาเธอกลับไป แต่ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว การย้ายสุสานของเธอไปตอนนี้มันจะดูไม่เหมาะสม รออีกสามปีเถอะ แม้ว่าถึงตอนนั้นนายจะไม่สนใจแล้วก็ตาม แต่เดาว่าลุงหลี่และป้าหลันคงจะกลับมาพาร่างของเธอกลับไปแน่”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
พวกเขาเดินมาถึงตีนเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้น ชาวบ้านก็เชิญเจียงเสี่ยวไป๋และหยางเจี๋ยไปที่บ้านพวกเขาเพื่อกินอาหารค่ำ แต่ละคนดูกระตือรือร้นมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ปฏิเสธพวกเขาทีละคน โดยบอกว่าวันนี้เป็นเทศกาลฉงหยาง เขาจะไม่รบกวนทุกคน เพราะเย็นนี้เขาจะกินข้าวกับครูใหญ่จาง
กลับมาที่โรงเรียน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร ครูใหญ่จางยืนกรานจะขอช่วย เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แต่ต้องปล่อยเขาทำไป ทั้งสองคนจึงยุ่งอยู่ในครัว
หยางเจี๋ยพาเจียงชานไปที่ห้องของหลี่ม่านม่าน และเธอยังขอให้เจ้าตัวน้อยสอนเธอร้องเพลงที่หนูน้อยร้องที่สุสานอีกด้วย
เมื่อคนหนึ่งสอน อีกคนก็ร้องตาม ทั้งสองจึงเริ่มร้องเพลงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้น
หยางเจี๋ยร้องไห้เกือบทุกครั้งที่เธอร้องเพลง เจียงชานเห็นแบบนั้นจึงพูดว่า “ป้าหยางร้องไห้ทุกครั้งที่ร้องเพลงเลยนะคะ ถ้ายังร้องไห้อีก หนูจะไม่สอนแล้วนะ ! ”
หยางเจี๋ยปาดน้ำตาแล้วพูดว่า “ไม่ ชานชาน หนูต้องสอนป้านะ แล้วป้าจะร้องเพลงนี้ให้ป้าหลี่ฟังในภายหลัง เธอต้องชอบมันแน่นอน”
“อ้อ งั้นก็ได้ค่ะ ! ”
เจียงชานเริ่มสอนอีกครั้ง
“……
มีดอกไม้บานอยู่หน้าหลุมศพ
มันคือความงามที่เธอปรารถนา !
มองดูภูเขาและที่ราบกว้างใหญ่
เธอยังรู้สึกเหงาอยู่ไหม ?
……”
ในขณะที่หยางเจี๋ยกำลังเรียนร้องเพลง เจียงเสี่ยวไป๋และครูใหญ่ก็เอาอาหารเย็นเข้ามาเสิร์ฟ และทั้งสี่คนก็กินข้าวที่โต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ในห้องครัว
“ครูใหญ่ครับ วันนี้เป็นเทศกาลฉงหยาง ผมขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เปิดขวดเหมาไถที่เขานำมา รินลงไปในแก้วให้ครูใหญ่จางแล้วพูด
ครูใหญ่จางยกแก้วขึ้นแล้วพูดว่า “เสี่ยวเจียง ฉันขอรับคำอวยพรของคุณ ฉันหวังว่าร่างกายของฉันจะยังแข็งแรงแบบนี้ต่อไป ไม่อย่างนั้น ครูหลี่ก็จากไปคนหนึ่งแล้ว มีแค่ฉันคนเดียวที่เหลืออยู่ในโรงเรียนนี้ ถ้าร่างกายของฉันไม่แข็งแรง เป็นอะไรไปอีกคน โรงเรียนแห่งนี้และเด็ก ๆ คงไม่รอด”
“เพื่อประโยชน์ของเด็ก ๆ ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานที่สุด ! ”
เมื่อเขาดื่มเสร็จ น้ำตาใส ๆ ก็ไหลลงมาจากหางตาของเขา
เขารู้อยู่แก่ใจว่าร่างกายของเขา…คงจะเป็นแบบนี้ต่อไปได้ไม่นานนัก !
เฮ้อ… แค่อดทนให้นานที่สุด !
หากทนไม่ไหวจริง ๆ ก็แค่เพิ่มสุสานใหม่บนทางลาดด้านตะวันออก
แบบนี้ครูหลี่จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป !
ท่าทีของครูใหญ่อยู่ในสายตาของเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด เขาทั้งชื่นชมและโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน จากนั้น เขาจึงกล่าวว่า “ครูใหญ่จางครับ หลังจากนี้ผมจะส่งคนมาซ่อมแซมโรงเรียน เปลี่ยนโต๊ะและเก้าอี้ใหม่ให้กับเด็ก ๆ……”
เมื่อครูใหญ่จางได้ยินแบบนั้น เขาก็ดีใจมากในตอนแรก แต่แล้วเขาก็โบกมือปฏิเสธ “เสี่ยวเจียง ไม่จำเป็นต้องไปลำบากขนาดนั้น แม้ว่าที่นี่จะยากลำบาก แต่เราก็ยังอยู่กันได้ เพราะสิ่งที่โรงเรียนต้องการมากที่สุดไม่ใช่ห้องเรียนและโต๊ะใหม่เหล่านั้น”
เขาไม่ได้พูดต่อ
แต่โรงเรียนแห่งนี้ต้องการคุณครู !
หากวันหนึ่งเขาต้องจากไปเหมือนหลี่ม่านม่าน โรงเรียนแห่งนี้ก็จะไม่มีครูเหลืออยู่เลย แม้ว่าจะมีห้องเรียนใหม่และโต๊ะใหม่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋คาดเดาความคิดของครูใหญ่จางอย่างคร่าว ๆ และพูดว่า “ครูใหญ่ครับ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องบุคลากรเลย หากคุณสามารถทนสอนต่อไปอีกหน่อย ผมสัญญาว่าจะจัดหาให้มีครูสักสองสามคนมาช่วยสอนที่นี่”
หืม ?
ครูใหญ่จางและหยางเจี๋ยต่างตกตะลึง
หยางเจี๋ยจึงพูดว่า “นายทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ฉันจะทำเรื่องขอให้ส่วนกลางส่งครูมาสอนที่นี่เพิ่มอีกสักสองสามคน”
ครูใหญ่จางได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า “เสี่ยวเจียง คุณมีจิตใจที่ดีจริง ๆ ฉันขอขอบคุณแทนเด็ก ๆด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ชื่นชมคุณ ! ”
ขณะที่ครูใหญ่จางยกแก้วขึ้น เขาก็ดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง
หลังจากวางแก้วลงแล้ว เขาก็พูดต่อ “แต่สิ่งที่ยากกว่าคือจะมีใครเต็มใจมาสอนที่นี่ และแม้ว่าพวกเขาจะมา แต่พวกเขาจะอยู่ได้ไหมก็อีกเรื่อง”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ตัดสินใจแล้ว แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่พูดว่า “ครูใหญ่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ อีกไม่กี่วัน รบกวนคุณไปบอกผู้ใหญ่บ้านว่าจะมีคนมาซ่อมแซมโรงเรียน ขอแค่พวกเขาอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนไม่ดีก็พอ”
เมื่อเห็นความพากเพียรของเจียงเสี่ยวไป๋ ครูใหญ่จางจึงพยายามโน้มน้าวเขาหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลวและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมให้เขาทำตามปรารถนา
หลังจากที่ทั้งสี่คนกินข้าวเสร็จแล้ว ครูใหญ่ก็ให้หยางเจี๋ยพาเจียงชานไปนอนที่เตียง และให้เจียงเสี่ยวไป๋ไปนอนในห้องของเขา
หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน หยางเจี๋ยและเจียงชานก็ปิดไฟและเข้านอนทันที
เจียงเสี่ยวไป๋อยู่ในห้องของครูใหญ่จาง หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันสักพัก เขาก็บอกให้ครูใหญ่เข้านอนก่อน ส่วนเขาก็หยิบไฟฉายและสุราหนึ่งขวดแล้วออกไป
เขาเดินไปที่สุสาน