ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 406 หลี่่ม่านม่านจากไปแล้ว
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 406 หลี่่ม่านม่านจากไปแล้ว
ตอนที่ 406 :หลี่่ม่านม่านจากไปแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋จำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ ทำให้เขาเกิดความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
มันเกิดอะไรขึ้น ?
ทำไมปลายสายถึงร้องไห้แบบนั้น !
“เอ่อ คุณคือ……”
“……”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว มือที่ถือโทรศัพท์ก็สั่นและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
“……”
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตกตะลึง เขายังคงไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ? ”
หลินเจียอินเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเขาจึงถามด้วยความเป็นกังวล
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด “หยางเจี๋ยโทรมาบอกว่า……หลี่ม่านเหมินจากไปแล้ว ! ”
เขาจบประโยคนี้ด้วยความยากลำบาก สีหน้าของเขาดูเศร้าหมอง ดวงตาของเขาชื้นเล็กน้อย
หลินเจียอินยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงถามว่า “เธอไปไหนแล้ว ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยท่าทีเศร้าใจ “วันนี้เธอวูบหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา……”
“ฮะ ! ”
หลินเจียอินยกมือขึ้นป้องปากอุทานด้วยความตกใจ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเฝิงเยี่ยนหงเห็นสถานการณ์ระหว่างทั้งสอง เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จึงถามด้วยความกังวลว่า “พี่เสี่ยวไป๋ พี่เจียอิน เกิดอะไรขึ้น ? ”
หลินเจียอินเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด “เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของเรา หลังจากที่เรียนจบ เธอได้ไปเป็นครูสอนในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถู่เฉิง แต่วันนี้เธอวูบหมดสติในห้องเรียน”
หลังจากพูดจบ เธอก็พึมพำว่า “วันที่สองของเทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อไม่นานมานี้ เราบังเอิญพบกันที่นอกโรงพยาบาล และยังไปกินกุ้งอบน้ำมันด้วยกันอยู่เลย……”
“ใครจะรู้……ใครจะรู้ว่าเพียงเวลาไม่นาน เธอจะจากเราไปตลอดกาล ! ”
เฝิงเยี่ยนหงเองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินทั้งคู่อายุยี่สิบกว่าเท่านั้น และเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขา เธอก็น่าจะมีอายุเท่ากับพวกเขา
การเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เสียชีวิตยังเป็นครูอาสาที่ไปสอนในที่ห่างไกล มันจึงน่าเสียใจยิ่งกว่า
เฝิงเยี่ยนหงถอนหายใจ เมื่อเห็นท่าทีเสียใจของหลินเจียอิน เธอก็รีบปลอบโยนว่า “ในเมื่อเธอจากไปแล้ว เราก็ไม่สามารถช่วยให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ พี่เองก็ตั้งครรภ์อยู่ อย่าเอาเรื่องนี้มากระทบจิตใจนักเลย”
“ฉันรู้ค่ะ ! ” หลินเจียอินพยักหน้า
ได้ยินข่าวร้ายว่าเพื่อนร่วมชั้นเสียชีวิต ไม่ว่าใครก็ย่อมตกใจและเสียใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท้ายที่สุด เพื่อนร่วมชั้นของเธอก็ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือญาติสนิท เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือโศกเศร้ามากนัก แต่กลับรู้สึกเศร้าและสงสารมากกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋เดินออกไปนอกสำนักงานอย่างเงียบ ๆ แล้วสูบบุหรี่
เขานึกถึงฉากที่ได้โต้ตอบกับหลี่่ม่านม่านตอนที่เขาเรียนอยู่ในโรงเรียน เขายังจำได้ว่าได้พบกับหลี่่ม่านม่านและหยางเจี๋ยนอกร้านหนังสือซินหัวเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเกิดใหม่ เขาจำได้ว่าหลี่่ม่านม่านหันกลับมาและยิ้มให้เมื่อพวกเขาแยกทางกัน เขานึกถึงการเจอกันที่โรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้ แล้วยังได้กินข้าวด้วยกันอีก……
ในระหว่างการเจอหน้ากันทั้งสองครั้งที่ผ่านมา เขารับรู้ว่าหลี่่ม่านม่านไม่สบาย
ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เขายังบอกว่าจะพาหลี่่ม่านม่านไปหาหมอหลี่
ในเวลานี้ เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาก็จะพาเธอไปตอนที่เขายังมีโอกาสได้ทำ……
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น !
โลกใบนี้รู้มานานแล้วว่าเขาคือผู้ที่เกิดใหม่ ซึ่งรู้เรื่องราวมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และรู้ชะตากรรมของผู้คนรอบตัว
แต่ต้องเป็นคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาในชาติที่แล้วเท่านั้น ถึงจะอยู่ในความทรงจำของเขา
น่าเสียดายที่หลี่่ม่านม่านไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขา
ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลี่่ม่านม่านไม่เคยปรากฎตัวในชีวิตของเขาเลยนับตั้งแต่จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย
บางทีอาจเป็นเพราะหลี่่ม่านม่านจากโลกนี้ไปก่อนก็เป็นได้
เขาถอนหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับ มันทำให้รู้สึกถึงความไร้พลังที่เกิดขึ้นมาในใจ
แม้แต่การเกิดใหม่ก็ไม่สามารถชดเชยความเสียใจทั้งหมดได้
แม้ว่าความเสียใจนี้จะรุนแรงนัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาและหลี่่ม่านม่านก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นธรรมดา ๆ ซึ่งหลี่่ม่านม่านก็ไม่ใช่บุคคลสำคัญในชีวิตของเขา
นอกเหนือจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ความลึกซึ้งเพียงอย่างเดียวระหว่างผู้คนคือการผูกสัมพันธ์ต่อกัน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลินเจียอินก็เดินมาข้างหลังเขา เจียงเสี่ยวไป๋หันกลับไปหาเธอแล้วรีบทิ้งบุหรี่ที่สูบลงพื้น “เมียจ๋า แดดจ้าขนาดนี้ คุณออกมาทำไม ? รีบเข้าไปเถอะ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “หลี่่ม่านม่านจากไปแล้ว งานศพของเธอจะจัดการอย่างไร ? เราควรไปที่นั่นไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “หยางเจี๋ยบอกว่าเธอและพ่อแม่ของหลี่ม่านม่านจะไปที่ถู่เฉิง พวกเขาจะนำร่างของเธอมาทำพิธีที่ชิงซาน ! ”
“ผมว่าจะไปที่นั่นก่อนวันฝัง ! ”
หลินเจียอินพูดว่า “อืม” แล้วพูดต่อ “ถู่เฉิงอยู่ไกลขนาดนั้น คุณอยากไปช่วยนำร่างเธอกลับมาไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ปล่อยให้ญาติของเธอจัดการเรื่องนี้ไป ! ท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้น อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกเขามากเลย ! ”
หลินเจียอินพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปถามข่าวในวันพรุ่งนี้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วยและพาหลินเจียอินเข้าไปในสำนักงาน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และวันรุ่งขึ้นก็มาถึงในพริบตา
จนถึงช่วงบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รอให้หยางเจี๋ยโทรมา
หลินเจียอินกล่าวว่า “จากที่คำนวณเวลาดูแล้ว พวกเขาคงพาร่างของเธอกลับมาแล้วล่ะ ตอนนี้หยางเจี๋ยน่าจะยุ่งกับการจัดเตรียมงานศพ จึงไม่มีเวลาโทรหาคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตอนที่เรากลับบ้านและผ่านเมืองชิงซานในตอนเย็น ค่อยแวะไปถามข่าวคราวก็แล้วกัน”
บ้านของหลี่ม่านม่านอยู่ไม่ไกลจากเมืองชิงซาน ดังนั้นจึงหาได้ไม่ยาก
หลินเจียอินพยักหน้า “นี่คงเป็นวิธีเดียวแล้วล่ะ ! ”
ประมาณสี่โมงเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินและเจียนชานกลับบ้าน เมื่อพวกเขามาถึงเมืองชิงชาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขับรถไปทางตะวันออกของเมือง
เมืองชิงชานยังคงเหมือนเดิม ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดทำการในวันหยุด ส่วนร้านที่เปิดก็ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจจนเถ้าแก่ประจำร้านนั่งง่วงหงาวหาวนอน
ถนนหนทางเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงประทัด
เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินต่างก็งุนงง มองไม่ออกเลยว่างานศพถูกจัดขึ้นที่บ้านไหน
เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่ร้านเล็ก ๆ ที่เปิดอยู่ข้างทางเพื่อสอบถาม
“คุณลุงครับ รู้ไหมว่าบ้านของหลี่ม่านม่านอยู่หลังไหน ? ”
เจ้าของร้านเป็นชายในวัยสี่สิบเศษ เขาเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “คุณกำลังถามถึงลูกสาวของตระกูลหลี่หรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จักชื่อพ่อของหลี่ม่านม่าน จึงพูดว่า “ผมไม่รู้จักพ่อของเธอ ผมรู้จักแค่หลี่ม่านม่านเท่านั้น เธอไปเป็นครูอยู่ที่อื่น”
“อ้อ ! ” เจ้าของร้านพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง ลูกสาวของหลี่เจียฟู่ เธอไปเป็นครูสอนที่อื่น และไม่ค่อยกลับมาบ้าน”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบขอที่อยู่ทันที เจ้าของร้านก็กระตือรือร้นและรีบอธิบายทางไปบ้านของหลี่ม่านม่านให้เขา
บ้านของหลี่ม่านม่านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขับไปข้างหน้าประมาณ 300-400 เมตร เลี้ยวขึ้นเนินไปตามถนนสายหลัก จากนั้นก็เดินเท้าไปตามทางเล็ก ๆ ประมาณ 200-300 เมตร จะพบบ้านที่อยู่ติดกับป่าไผ่หลังต้นหลิวต้นใหญ่
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเจ้าของร้านและขอตัว
“พวกเขาบอกทางคุณไหม ? ”
หลินเจียอินถามหลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ขึ้นรถ
“ใช่ ลุงเจ้าของร้านบอกมาว่าอยู่ตรงหน้านี้ไม่ไกล” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ “แต่เหมือนไม่มีการจัดงานอะไรใหญ่โตเลย ดูเหมือนว่าคนในละแวกนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปที่บ้านของเธอดูก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและขับรถไปที่สี่แยกที่เจ้าของร้านกล่าวถึง
หลังจากทั้งสามลงจากรถแล้ว พวกเขาเดินเท้าไปตามทางเดิน ก่อนจะเห็นต้นหลิวต้นใหญ่ด้านข้าง ซึ่งข้างหลังเป็นป่าไผ่ มีบ้านมุงกระเบื้องหลังเล็กอยู่ท่ามกลางป่าไผ่แห่งนั้น
ที่นี่ดูเงียบเหงามาก
เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินมองหน้ากัน จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ไปดูกันก่อนเถอะ ! ”
หลินเจียอินพยักหน้า เธอจับมือของเจียนชานแล้วเดินตรงไปที่บ้านหลังนั้น