ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 399 เจ้าของแฟรนไชส์กุ้งอบมีความกังวล
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 399 เจ้าของแฟรนไชส์กุ้งอบมีความกังวล
ตอนที่ 399 :เจ้าของแฟรนไชส์กุ้งอบมีความกังวล
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมไปหาเสี่ยวชิงมา เธอเพิ่งเริ่มเรียนจึงยุ่งมาก เธอกำลังเรียนถ่ายรูปด้วย เธอบอกว่าหลังจากทักษะการถ่ายรูปของเธอดีแล้ว เธอก็จะถ่ายรูปส่งกลับมา”
แม้ว่าเขาจะผิดหวังในตัวเจียงเสี่ยวชิงตอนที่เขาไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิง แต่เขายังคงปกป้องเธอต่อหน้าพ่อแม่ เพราะไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเขากังวลเกี่ยวกับเจียงเสี่ยวชิง
เจียงไห่หยางพยักหน้าและพูดว่า “ไม่สำคัญว่าเธอจะส่งรูปถ่ายกลับมาไหม ตราบใดที่เธอสบายดีก็ดีแล้ว ! ”
สองสามคนคุยกันสักพัก จากนั้นหวังซิ่วจวี๋ก็ไปทำอาหาร เจียงชานจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่าพ่อของเธอได้นำปูกลับมาจากเจียงเฉิงเป็นจำนวนมาก
หวังซิ่วจวี๋จึงพูดว่า “ปูมันไม่อร่อยหรอก เอามาให้แม่ดองดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกเอือมระอาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงมองหลินเจียอินด้วยความเห็นอกเห็นใจ ภรรยาของเขาคงได้กินแต่ของเปรี้ยวตอนที่เขาไม่อยู่บ้านแน่นอน
เขารีบพูดว่า “แม่ครับ ผมจะทำปูผัดเซียงล่าและปูขนนึ่งให้ลองชิม รสชาติไม่แย่ไปกว่ากุ้งอบน้ำมันเลย”
ขณะที่เขาพูด เขาก็รีบลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องครัว
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปในครัว หลินเจียอินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สามีของเธอกอบกู้สถานการณ์ให้เธอได้ดีจริง ๆ เธอไม่อยากกินกะหล่ำปลีดอง อาหารดองเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว
กว่าสองชั่วโมงต่อมา ปูผัดเซียงล่า ปูขนนึ่งหลายสิบตัว และโจ๊กปูหม้อใหญ่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ จากนั้นทุกคนในครอบครัวก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
เจียงชานสอนปู่ย่าของเธอและเจียงถิงถึงวิธีกินปูเหมือนอย่างที่พ่อของเธอเคยสอน
เจียงไห่หยางกล่าวชมเชยหลานสาวออกมา “เอาล่ะหลานปู่ ออกไปทำงานกับพ่อทุกครั้ง หนูก็มีความรู้เพิ่มขึ้นทุกครั้งเลยนะ ! ”
เจียงชานพูดอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้องค่ะ ป่าป๊ะสอนหนูหลายอย่าง ! ตอนนี้หนูว่ายน้ำและอ่านบทกวีได้ด้วย”
เจียงไห่หยางรู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ในตอนนั้นเอง เมื่อหลินเจียอินได้ลองกินโจ๊กเข้าไปคำแรก ดวงตาที่สวยงามของเธอเป็นประกาย เธอชมไม่ขาดปากว่า “โจ๊กนี้อร่อยมาก”
แม้แต่หวังซิ่วจวี๋ก็ต้องยอมรับว่าโจ๊กที่ใส่กุ้งและปูนั้นอร่อยจริง ๆ และเธอก็กินมันไปชามใหญ่สามชามติดต่อกัน
หลังกินอาหารเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้แจกของขวัญที่นำกลับมาจากเจียงเฉิง มันทำให้ทุกคนดูมีความสุขมาก
หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ในวันรุ่งขึ้น หลังจากเข้ามาในเมือง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปตรวจดูความเรียบร้อยของอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ซึ่งโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกก็มีข่าวดีมาแจ้ง นั่นก็คือถุงสะดวกซื้อได้รับความนิยมอย่างมากใน 6 พื้นที่ขายหลัก มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีคำสั่งซื้อถุงบรรจุภัณฑ์อาหารจำนวนมากและด้วยการเปิดตัวชามพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งและถ้วยพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ไลน์ผลิตทั้งสี่แห่งจึงต้องแบ่งการทำงานออกเป็น 3 กะ
คนงานก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เมื่อเดือนที่แล้ว คนที่ได้รับเงินเดือนต่ำสุดก็ได้มากกว่า 200 หยวน ส่วนคนที่ได้เงินเดือนสูงสุดจะอยู่ที่ 400-500 หยวน
ซึ่งเกือบจะเท่ากับรายได้ก่อนหน้าของพวกเขาตลอดทั้งปี
แต่ค่าจ้างของคนงานในโรงงานนั้นเทียบไม่ได้เลยกับค่าจ้างของพนักงานขายในแผนกขาย
ตามตารางเงินเดือนสาธารณะ คนงานทุกคนเห็นว่าเงินเดือนต่ำสุดในแผนกขายจะอยู่ที่ 4,000 หยวน แชมป์การขายคืออวี๋เต๋อสุ่ย ซึ่งเขาได้รับเงินเดือนมากถึง 13,699 หยวน และกลายเป็นที่อิจฉาของทุกคนตลอดทั้งเดือน
ผลก็คือในฝ่ายขายที่ไม่มีใครกล้ามาทำ ตอนนี้กลับเป็นแผนกที่มีคนอยากย้ายมาทำเยอะที่สุด
ทันใดนั้น แผนกขายก็ได้รับความนิยมขึ้นมาทันที
ผู้จัดการฝ่ายขายอย่างเฉินอันผิงยังขอให้เมิ่งเสี่ยวเป่ยรับสมัครพนักงานฝ่ายขายเพิ่มเติม หลังจากที่พิจารณาจากสถานการณ์การขายในปัจจุบัน
เมิ่งเสี่ยวเป่ยเองก็เห็นด้วยกับคำร้องของเฉินอันผิง จึงคิดที่จะขยายแผนกขายจากเดิมที่มีคน 12 คนเป็น 50 คน ทั้งคนงานในโรงงานและบุคคลทั่วไปสามารถมาสมัครได้
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร และปล่อยให้เมิ่งเสี่ยวเป่ยจัดการต่อไป
ที่ร้านโยวผิ่นบนถนนชิงหยุนยังคงอยู่ระหว่างการปรับปรุง ส่วนร้านแฟรนไชส์ของเหวินเสวี่ยเหว่ยก็ได้ทำเลใกล้โรงภาพยนตร์ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงเช่นกัน ตอนนี้ร้านโยวผิ่นได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงปรุงรส เค้กที่รัก เต้าหู้แผ่นรสเผ็ด ล่าเถียว ฯลฯ ซึ่งยอดขายรายวันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันละประมาณ 1,000 หยวนเกือบทุกวัน
นอกจากนี้ ลูกพี่ลูกน้องของเจียงเสี่ยวไป๋หลายคนอย่างหวังรุ่ย หวังเสี่ยวหง และหวังซีลูกของลุงรอง หวังคังลูกของลุงห้า หวังเมิ่งและหวังหลินลูกของป้าใหญ่ ทุกคนต่างก็เต็มใจที่จะเปิดแฟรนไชส์โยวผิ่น และตอนนี้ก็รอเพียงทำสัญญากับเจียงเสี่ยวไป๋เท่านั้น
แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเพราะแฟรนไชส์ร้านโยวผิ่นนั้นมีราคา 500 หยวน นอกจากนี้ยังต้องมีเงินมาตกแต่งร้านและซื้อสินค้า
แต่ปัจจุบัน หวังผิงเป็นผู้สนับสนุนหลักของตระกูลหวัง เขาให้ลูกพี่ลูกน้องแต่ละคนยืมเงินได้คนละสามพันหยวน เพื่อที่จะได้เอาไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋รู้เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เขาก็ยิ้มอย่างชื่นชม
เขาตกลงที่จะขายแฟรนไชส์ให้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ให้ส่วนลด หรือลดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ใด ๆ และปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนเจ้าของแฟรนไชส์รายอื่น
แม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ตาม
หากคุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจ คุณก็ต้องมีทัศนคติแบบผู้ประกอบการก่อน หากต้องการทำธุรกิจ คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการทำธุรกิจให้ได้
ธุรกิจก็คือธุรกิจ การช่วยเหลือก็คือการช่วยเหลือ
นี่ถือได้ว่าเป็นบทเรียนแรกที่เขาจะสอนลูกพี่ลูกน้องของเขา !
หลังออกจากร้านโยวผิ่นแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปดูร้านข้าวตุ๋นหัวปลาที่กำลังปรับปรุงใหม่
เขาเปิดร้านอาหารแห่งนี้โดยร่วมมือกับหวังชวงและหวังเยว่ ลูกชายลูกสาวของหวังซิ่วไห่ ลุงสี่ของเขา พวกเขาลงทุนไปทั้งหมด 5,000 หยวน เจียงเสี่ยวไป๋ลงทุน 3,000 หยวน หวังชวงและหวังเยว่ลงทุนคนละ 1,000 หยวน
ซึ่งมีแผนจะเปิดสาขาหลังจากร้านแรกได้รับความนิยม
หลังจากคุยกับลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนได้สักพัก เขาก็ไปที่ร้านอาหารหม้อไฟหัวปลาต่อ
เดิมทีเขาสัญญาว่าจะเปิดร้านอาหารให้เชฟหลิว แต่ตอนนี้เขาย้ายเชฟหลิวมาที่นี่แล้ว
เขาลุงทุนเปิดร้านอาหารและให้เชฟหลิวบริหารโดยแบ่งกำไร 20% กับเขา ดังนั้นจึงถือว่าเชฟหลิวเป็นหุ้นส่วนของร้านนี้
“เสี่ยวไป๋ คุณไปอยู่ที่ไหนมา สองสามวันที่ผ่านมาคุณไม่ได้มาที่นี่เลย ! ”
เชฟหลิวเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามาในร้าน เขาจึงถามด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เขาแล้วพูดว่า “ผมไปเจียงเฉิงสามวัน เป็นไงบ้าง ? ต้องใช้เวลาอีกกี่วันในการตกแต่งร้านให้เสร็จ ? ”
เชฟหลิวกล่าวว่า “เร็ว ๆ นี้ก็เสร็จแล้ว ช้าสุดประมาณสิบวัน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดคุยด้วยสองสามคำก่อนจะออกไป
เขาจะไม่ไปที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงและร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเหอ พวกเขามาถูกทางแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการดำเนินงานภายในร้าน
สิ่งเดียวที่ต้องพิจารณาตอนนี้คือแฟรนไซส์หลายร้อยแห่งเหล่านั้นจะทำอย่างไรเมื่อกุ้งเครย์ฟิชจะหมดฤดูกาลในอีกสิบยี่สิบวันนี้แล้ว
ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงที่ดำเนินการโดยตรงนั้นไม่ได้กังวลอะไร ผู้จัดการร้านแต่ละคนก็ดูแลธุรกิจเหมือนที่ผ่านมา เพราะพวกเขาเชื่อว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้
แต่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเหอนั้นแตกต่างออกไป เพราะพวกเขาเป็นร้านแฟรนไซส์ และไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร ?
ทุกวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ เฝิงเยี่ยนหงจึงต้องรับหน้าที่หนัก เพราะเธอต้องรับโทรศัพท์วันละหลายสายทุกวัน
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่เคยบอกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรให้เธอรู้ แล้วแบบนี้เธอควรจะบอกเจ้าของแฟรนไซส์รายอื่นอย่างไร ?
สิ่งที่เราพูดได้ก็คือเราจะแก้ปัญหาให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับมา
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋มาถึงโรงงานเครื่องปรุงรส เฝิงเยี่ยนหงก็เพิ่งวางสายจากเจ้าของแฟรนไชส์ไปเมื่อครู่นี้
“พี่เสี่ยวไป๋ เจ้าของแฟรนไชส์ต่างก็กังวลกันไปหมดแล้ว กุ้งเครย์ฟิชที่หวังผิงไปหาซื้อมาได้เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ และมีจำนวนไม่มากเหมือนเมื่อก่อน” เฝิงเยี่ยนหงกล่าว
ไม่เพียงแต่เจ้าของแฟรนไชส์เท่านั้นที่กังวล แต่เธอก็กังวลเช่นกัน
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาก็กล่าวว่า “หากเจ้าของแฟรนไชส์โทรมาถามอีกครั้ง ก็บอกพวกเขาไปว่าเราจะเปิดตัวเมนูใหม่ที่จะเอามาขายทดแทนในช่วงที่กุ้งเครย์ฟิชขาดตลาดในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ และให้พวกเขาส่งพ่อครัวของที่ร้านมาที่สำนักงานใหญ่ ฉันจะสอนทำเมนูใหม่ในช่วงกลางเดือนตุลาคม”
เฝิงเยี่ยนหงดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “แล้วเมนูใหม่นี้คือเมนูอะไร ? ”