ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 398 ฉันเป็นคนใจแคบ
ตอนที่ 398 :ฉันเป็นคนใจแคบ
โดยปกติแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถปฏิเสธความน่ารักของลูกสาวได้ แต่คราวนี้เขาพูดว่า “หนูเป็นเจ้าของสุนัข ก็ตั้งชื่อให้มันตามที่หนูชอบได้เลย จะให้คนอื่นตั้งชื่อแทนได้อย่างไร”
เด็กน้อยดูจะผิดหวังเล็กน้อยและยังคงทำท่าทางออดอ้อนต่อไป “ป่าป๊าคะ ช่วยหนูตั้งชื่อให้มันหน่อยนะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ถ้าหนูเจอกับปัญหาอะไร พ่อช่วยหนูแน่นอน แต่สำหรับเรื่องอย่างการตั้งชื่อสุนัข หนูสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
เด็กน้อยพูดว่า “โอ้” และมองดูลูกสุนัขตัวน้อยในอ้อมแขนของเธอ มันขนสีน้ำตาลทองละเอียด และมีหัวฟูเหมือนสิงโต “ป่าป๊า เราเรียกมันว่าเจียงซือดีไหมคะ ! ”
เจียงซือ (ซอมบี้) ?
เจียงเสี่ยวไป๋เกือบจะเหยียบเบรก ลูกสาวของเขามีความคิดแบบไหนถึงตั้งชื่อนี้ ชื่อสุนัขมีเยอะแยะถมเถไป ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหวง เสี่ยวจิน เสี่ยวเชียง เสี่ยวเหมย หรือแม้แต่หวังข่าย ทำไมถึงต้องตั้งชื่อว่าเจียงซือด้วย ? น่ากลัวมาก !
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวของเขาได้ลองตั้งชื่อสุนัข เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่ได้คัดค้านในทันที และถามกลับไปว่า “ทำไมหนูถึงอยากตั้งชื่อให้มันว่าเจียงซือ ? ”
เจ้าตัวน้อยพูดด้วยใบหน้าภูมิใจ “หนูชื่อเจียงชาน สุนัขตัวแรกของหนูจะต้องใช้แซ่เจียงเหมือนหนู และป่าป๊าก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าสุนัขพันธุ์นี้มีหัวเหมือนสิงโต ? เมื่อมันโตขึ้น มันจะดูเหมือนราชาสิงโตทองคำ หนูจึงตั้งชื่อให้มันว่าเจียงซือไงคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้ก็เจียงซือที่มาจากคำว่าแซ่เจียงและคำว่าสิงโต ไม่ใช่เจียงซือที่แปลว่าซอมบี้นี่เอง
เป็นเพราะฉันใจแคบเอง !
หลังจากรู้สึกละอายใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ในเมื่อหนูตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเลือกชื่ออะไรก็ตาม ก็ต้องเรียกมันด้วยชื่อนั้นตลอดไป”
“เยี่ยมไปเลยค่ะ ! ” เจ้าตัวเล็กตะโกนอย่างมีความสุข โดยจับตัวของลูกสุนัขขึ้นมาเขย่าแล้วตะโกน “เจียงซือ ! เจียงซือ ! ต่อจากนี้ฉันจะเรียกแกว่าเจียงซือ ! ”
“งี๊ด…งี๊ด…อ๋าว ! ”
ลูกสุนัขตัวน้อยส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอ ไม่รู้ว่าไม่พอใจที่เจ้าของเขย่ามันหรือไม่พอใจชื่อเจียงซือกันแน่
……
วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็มาถึงเจียงวาน
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาพร้อมกับสิ่งของมากมาย หลินเจียอินก็เหลือบมองพวกเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอแค่คิดและพึมพำอะไรบางอย่างในใจ
ผู้ชายคนนี้พาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาไปเมืองใหญ่ เขาจะไม่พาเธอไปช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าได้อย่างไร ?
แต่ฉันกำลังสงสัยว่าคุณได้ซื้ออะไรมาให้ฉันบ้าง ?
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะคาดหวังในใจ
“หม่าม๊า หม่าม๊า ดูลูกหมาตัวน้อยของหนูสิ ! ”
เจียงชานไม่ได้เจอแม่ของเธอมาสองสามวันแล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาหลินเจียอิน โดยมีเจียงซืออยู่ในอ้อมแขนของเธอ และยื่นให้หลินเจียอินดู
“อ่า สุนัขตัวนี้สวยมาก ! ”
“หม่าม๊าคะ มันชื่อเจียงซือ ! ” เด็กน้อยพูดด้วยความภาคภูมิใจ
หลินเจียอินหัวเราะเบา ๆ “ทำไมหนูถึงเลือกชื่อนี้ให้มันล่ะ ? ”
เธอต่างจากเจียงเสี่ยวไป๋ที่คิดว่าชื่อของมันคล้ายกับคำว่าซอมบี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดว่าชื่อนี้มันดูแปลก ๆ อยู่ดี
แต่เมื่อเจียงชานบอกเหตุผลของชื่อที่เธอตั้งให้ฟัง หลินเจียอินจึงยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ดี เป็นความคิดที่ค่อนข้างดีมาก ! ”
ขนตายาวบนดวงตากลมโตของเจ้าตัวน้อยพลิ้วไหว จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า “หม่าม๊าชมหนูใช่ไหมคะ ? ”
หลินเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นานแล้วที่เธอมักจะเอ่ยชมลูกสาวที่มีไหวพริบ แต่เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ปรับปรุงตัวจนดีขึ้น การเอ่ยชมลูกสาวก็เหมือนจะกลายเป็นหน้าที่ของเจียงเสี่ยวไป๋ไปโดยปริยาย และเธอก็แทบจะไม่ได้เอ่ยชมลูกสาวของเธอเลย
เมื่อเห็นลูกสาวของเธอมีท่าทีดีใจในเวลานี้ หลินเจียอินก็รู้สึกผิดและพูดเบา ๆ ว่า “ชานชานเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบที่ดี ต่อไปนี้แม่จะชมหนูให้เยอะ ๆ ! ”
ดวงตาของเจียงชานกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวในขณะที่เธอยิ้ม เธอวิ่งเข้าหาหลินเจียอินและพูดว่า “หม่าม๊า หนูคิดถึงหม่าม๊ามาทุกวันที่ไม่ได้เจอกัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูฉากนี้ จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
เป็นเรื่องดีที่ครอบครัวสงบสุขและมีความสุขแบบนี้ !
เพื่อไม่เป็นการรบกวนการแสดงความรักของสองแม่ลูก เขาจึงนำของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บข้างในบ้าน ก่อนจะทักทายพ่อแม่ของเขา นำเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทให้เจียงถิง และสอนวิธีใช้ให้กับเธอ
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่อยู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงต้องดูแลหลานสาวตัวน้อยของเขาให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม เจียงถิงดูเหมือนจะไม่สนใจเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทสักเท่าไหร่ ดวงตากลมโตของเธอจับจ้องไปที่เจียงซือตัวน้อยในอ้อมแขนของเจียงชาน เห็นได้ชัดว่าเธอสนใจลูกสุนัขมากกว่า
“คุณลุง หนูขอไปเล่นกับลูกหมาของพี่ชานชานได้ไหม ? ”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจียงถิงพูดหลังจากนั้นไม่นาน
เจียงชานได้ยินแบบนี้จึงเรียกเจียงถิงเข้าไปเล่นด้วยกัน “น้องถิงถิง ลองมาจับมันหน่อยสิ ชื่อของมันคือเจียงซือ และมันมีแซ่เดียวกับเรา”
ประโยคนี้ทำให้เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋แทบจะหลุดหัวเราะออกมา
เจียงถิงวิ่งไปหาอย่างมีความสุข เธอเอามือแตะหัวเล็ก ๆ ของเจียงซือแล้วพูดว่า “สุนัขตัวน้อยตัวนี้น่ารักมาก ! ”
เมื่อเห็นว่าหลานสาวทั้งสองของเขาชอบลูกสุนัขมาก เจียงไห่หยางจึงเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “แกซื้อลูกสุนัขให้ชานชาน ทำไมไม่ซื้อเพิ่มอีกตัวให้ถิงถิงด้วยล่ะ ? ”
ทันใดนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็มีสีหน้าขมขื่นและพูดว่า “พ่อครับ ลูกพี่ลูกน้องของเจียอินเป็นคนเอาให้ชานชาน ผมไม่สามารถซื้อสุนัขราคาแพงขนาดนี้ได้หรอก ! ”
หลินเจียอินและเจียงไห่หยางต่างก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลินเจียอินจึงถามว่า “ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นคนเอาให้ชานชาน ? คุณได้พบกับครอบครัวของลุงต้ากั๋วด้วยหรอ ? ”
เจียงไห่หยางถามว่า “ลูกสุนัขตัวหนึ่งจะมีราคาแพงเท่าไรกันเชียว ? ”
สีหน้าของเขาดูไม่เชื่อ
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบคำถามของภรรยาของเขาก่อน “เมื่อเราไปที่เจียงเฉิงครั้งนี้ เจียลี่พาชานชานไปบ้านลุงรองของเธอ เราอยู่ทานอาหารสองมื้อที่บ้านลุงรอง”
จากนั้น เขาก็พูดกับเจียงไห่หยางว่า “สุนัขพันธุ์นี้เรียกว่าทิเบตันมาสทิฟ พบได้เฉพาะบนที่ราบสูงทิเบตเท่านั้น มันเป็นสุนัขตัวใหญ่ที่ซื่อสัตย์และดุร้ายที่สุดในโลก ลูกสุนัขสามารถขายได้ในราคาหลายสิบล้าน ! ”
เขากำลังพูดถึงราคาของทิเบตันมาสทิฟในยุคสมัยหลัง เนื่องจากในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ผู้คนแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟเลย และเนื่องจากเหตุผลด้านการขนส่งและเศรษฐกิจ จึงไม่มีใครซื้อหรือขายทิเบตันมาสทิฟในช่วงเวลานี้
“อะไรนะ ? ”
“แค่ลูกสุนัขตัวเดียวกลับมีราคามากถึงหลายสิบล้าน ! ”
เจียงไห่หยางตกใจมากจนเกือบจะทำก้นบุหรี่ในมือตก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับราคาสุนัขที่แพงขนาดนี้ เขาพูดกับเจียงชานและเจียงถิงอย่างรวดเร็วว่า “เฮ้ เฮ้ เฮ้ อย่าไปยุ่งกับมัน มันล้ำค่า ! ”
เขากลัวว่าเด็กน้อยทั้งสองจะทำลูกสุนัขเฉาจนตาย ซึ่งแบบนั้นจะกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่
เห็นได้ชัดว่าหลินเจียอินไม่ได้คาดหวังว่าลูกสุนัขจะมีราคาแพงขนาดนี้ เธอจึงรีบถามไปว่า “ลูกพี่ลูกน้องคนไหนของฉันมอบให้ ? ”
เจียงชานหันกลับมาแล้วพูดว่า “ลุงเจียจวินให้หนูมา ! ”
หลินเจียอินพยักหน้าโดยไม่สนใจคำที่ลูกสาวเรียกมากนัก และพูดด้วยความกังวล “ไปคราวนี้คุณเจอลี่ลี่อีกแล้ว เธอไม่ได้ก่อปัญหาอะไรให้คุณอีกแล้วใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือเป็นการบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินเจียอินได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและบ่นว่า “ไม่รู้ทำไมเสี่ยวลี่ถึงเกลียดชังคุณมากขนาดนี้ ! ”
เจียงชานที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมาว่า “แม่ น้าเล็กพาหนูไปเที่ยวที่ทะเลสาบตะวันออก เราถ่ายรูปไว้เยอะมาก น้าเล็กบอกว่าจะส่งรูปมาให้หลังจากที่อัดเสร็จแล้ว”
หลินเจียอินยิ้มและพยักให้กับลูกสาว
หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้ว เจียงไห่หยางก็ถามเจียงเสี่ยวไป๋ไปว่า “แกไปหาเสี่ยวชิงแล้วหรือยัง ? ทำไมเธอถึงไม่ส่งจดหมายกลับมาเลย ? ”