ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 395 บรรลุความตั้งใจที่จะร่วมมือ
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 395 บรรลุความตั้งใจที่จะร่วมมือ
ตอนที่ 395 :บรรลุความตั้งใจที่จะร่วมมือ
หลินเจียจวินกล่าวว่า “ที่บ้านของฉัน ปลาในตู้ปลาส่วนใหญ่จะตายเพราะขาดออกซิเจน การขนส่งปูก็อาจมีปัญหาเดียวกัน เราสามารถทำรถบรรทุกน้ำขึ้นมา แล้วซื้อถังออกซิเจนสักสองสามถังจากโรงพยาบาล จากนั้นก็ดัดแปลงโดยการฉีดอ๊อกซิเจนลงในถังน้ำ แบบนี้พอได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นี่เขาใช้หลักการเดียวกับรถขนส่งอาหารทะเลสดในโลกอนาคตใช่ไหม ? เจียงเสี่ยวไป๋คิดได้แบบนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองหลินเจียจวินด้วยสายตาชื่นชม
“ได้สิ ผมว่าถ้ามีรถบรรทุกน้ำเพิ่มอีกสักสองสามคัน ธุรกิจนี้คงไม่มีปัญหาอะไร ! ”
หลินเจียจวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันวางแผนว่าจะซื้อรถมือสองด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้กำลังตัดสินใจอยู่ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อเพิ่มอีกสองสามคันเหมือนที่นายบอก เพราะเงินของฉันไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เขาบอกเพียงว่าขอแค่หลินเจียจวินหารถมาได้ เขาจะเป็นคนออกเงินเอง
หลังจากที่พวกเขาหารือกันเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของกิจการต่อ
ถังเสี่ยวโจวเองก็สนับสนุนที่ทั้งสองจะร่วมมือกันทำธุรกิจนี้ขึ้นมา เพียงแต่เขาอยากให้ทั้งสองเปิดร้านซีฟู๊ดสาขาแรกในเอ้อเฉิง เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียจวินเองก็ไม่ปฏิเสธอะไร
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรับซื้อปูและการขนส่ง ถังเสี่ยวโจวจึงแนะนำให้ผู่ซิ่นหนานร่วมมือกับเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียจวิน เพื่อจัดตั้งบริษัทประมงที่ส่งออกปูไปให้ที่ร้านโดยตรง
หลังกินมื้อเย็นเสร็จ พวกเขาก็ได้หารือกันเสร็จไปแล้วสองเรื่อง จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอย่างมีความสุข
หลังกินอาหารเสร็จ หลินเจียจวินก็พูดคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องเปิดร้านอาหาร เจียงเสี่ยวไป๋บอกเขาว่านอกเหนือจากสามเมนูที่กินกันในวันนี้แล้ว ปูยังสามารถเอาไปทำได้อีกมากกว่า 20 เมนู เช่น ปูผัด ปูอบวุ้นเส้น ปูอบเกลือ ปูนึ่งไวน์ข้าว ซุปปูหัวไชเท้า ปูน้ำมันต้นหอม เต้าหู้ไข่ปู ปูชุปแป้งทอด ฯลฯ
หลินเจียจวินที่ได้ยินถึงกับตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พวกเขาพูดคุยกันในสนามหญ้าจนกระทั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ถังเสี่ยวโจวและหลินเจียจวินจึงพยายามชวนให้ผู่ซิ่นหนานวางลอบดักปูอีกรอบ
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้สนใจที่จะจับปูในตอนกลางดึก เขาจึงพาเจียงชานไปพักผ่อน
ผู่ซิ่นหนานและอีกสองคนจึงต้องทำงานหนักตลอดทั้งคืน เมื่อพวกเขาไปเก็บลอบในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ได้ปูมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งครั้งนี้จับปูตัวใหญ่ได้หลายร้อยกิโลกรัม
เจียงเสี่ยวไป๋สอนหลินเจียจวินและจงซิ่วหงถึงวิธีทำปูผัดเซียงล่าและโจ๊กปู รวมทั้งน้ำจิ้มขิงใส่น้ำส้มสายชู
สองวันที่ผ่านมานี้ ทั้งหลินเจียจวินและจงซิ่วหงต่างก็ได้ความรู้ในการทำอาหารมากมาย และก่อนกลับ ถังเสี่ยวโจวก็ได้พาเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียจวินออกจากเกาะเหลียงจือเพื่อไปดูพื้นที่ทะเลสาบในเอ้อเฉิง ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้หารือกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่าจะระดมเกษตรกรในท้องถิ่นให้ไปจับปูมาขายให้อย่างไร……..
ด้วยประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชิงโจว เขาจึงคิดแผนได้อย่างรวดเร็ว
เพราะจับปูยากกว่าจับกุ้ง ฉะนั้นจึงต้องตั้งราคารับซื้อไว้ที่ตัวละ 5 เหมา รับซื้อเฉพาะปูตัวใหญ่ที่น้ำหนักเกิน 150 กรัมเท่านั้น
ปูห้าหกตัวก็เพียงพอสำหรับปูผัดเซียงล่า 1 หม้อ ซึ่งหนักเกือบ 2 กิโลกรัม ถ้าคิดเป็นกำไรจะได้กำไร 5 หยวนต่อหม้อ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลย
ส่วนโจ๊กใช้ปูน้อยกว่า ควรตั้งราคาไว้ที่หม้อละ 2 หยวน
ปูขนนึ่งตั้งราคาขายที่ตัวละ 6 เหมา
ทุกอย่างวางแผนไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลงมือทำร้านและดัดแปลงรถขนส่งอาหารทะเลสดเท่านั้น
จากนั้น ถังเสี่ยวโจวและคนอื่นก็กลับไปที่เจียงเฉิงเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ไปส่งเจียงชานให้หลินเจียลี่ เพราะเธอบอกว่าจะพาเจียงชานไปเที่ยวเล่นอีกสักวัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงถือโอกาสนี้ออกไปหาทำเลสร้างร้านค้าในเจียงเฉิงกับหลินเจียจวิน
ถังเสี่ยวโจวไม่สามารถตามพวกเขาไปได้ เพราะเขาต้องการกลับไปที่เอ้อเฉิงเพื่อเข้ารับตำแหน่ง
ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่ในการหาทำเลสร้างร้านในเอ้อเฉิงจึงตกเป็นของเขาด้วย
ในวันที่วุ่นวาย หลินเจียจวินก็ได้เช่าร้านค้าว่างไว้ 10 แห่งใน 3 อำเภอของเจียงเฉิง
การเปิดร้านในเจียงเฉิงครั้งนี้ได้แตกต่างไปจากตอนที่เขาเปิดร้านกุ้งอบน้ำมันในชิงโจว เพราะเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้คิดที่จะเปิดร้านครั้งละแห่ง แต่เปิดพร้อมกันถึง 10 แห่ง
ประการแรก เจียงเฉิงเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมาก ดังนั้นแม้ว่าจะมีการเปิดร้านพร้อมกันสิบแห่ง ก็ไม่ถือว่ามากมายอะไร
ประการที่สอง เรื่องนี้ถือเป็นการช่วยเหลือถังเสี่ยวโจว หากร้านขายดี เกษตรกรในพื้นที่ทะเลสาบเหลียงจือของเอ้อเฉิงก็จะได้รับผลประโยชน์และมียอดขายปูมากขึ้น
นอกจากนี้ เขารู้ดีว่าตัวตนของหลินเจียจวินนั้นดูไม่ธรรมดา หากทำอะไรเล็ก ๆ คงไม่อาจกระตุ้นความสนใจของเขาได้เลย
เมื่อคำนึงถึงเหตุผลเหล่านี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจเปิดร้านหลายสาขาพร้อมกัน
ในช่วงบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียจวินก็ได้ไปตลาดผักเพื่อซื้อเนื้อวัว เนื้อแกะและวัตถุดิบอื่น ๆ
ในเมื่อรับปากไว้แล้วว่าจะทำหม้อไฟให้หลินต้ากั๋วกินหลังกลับมาจากทะเลสาบเหลียงจือ พวกเขาย่อมไม่กล้าละเลยคำสัญญานี้แน่นอน
หลังจากวุ่นอยู่กับการเตรียมหม้อไฟในวิลล่าหลังเก่าของตระกูลหลิน ในที่สุด หลินต้ากั๋วก็ได้กินหม้อไฟสมใจอยากในมื้อเย็น
คราวนี้ เมื่อเห็นว่ามีคนเจียงเฉิงกินด้วย ซึ่งพวกเขากินอาหารรสเผ็ดไม่ค่อยเก่งนัก เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ทำน้ำซุปแยกเป็นสองรสชาติ คือซุปเผ็ดและซุปน้ำใส ส่วนน้ำจิ้มหม้อไฟในครั้งนี้ เขาก็ทำออกมา 3 แบบ มีทั้งแบบเผ็ด แบบน้ำมันงา และแบบซอสงา
คนเจียงเฉิงชอบซอสงาเป็นพิเศษ พวกเขามักจะเอาไปคลุกกับบะหมี่แห้งร้อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหวัน หลินเจียปิงและจางอ้ายผิงต่างก็กินหม้อไฟกันอย่างเอร็ดอร่อย
สิ่งนี้ยังทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ตระหนักได้ว่าหากมีร้านหม้อไฟเปิดในเจียงเฉิง รสชาติอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
หลังจากที่หลินเจียจวินกินหม้อไฟ เขาก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เสี่ยวไป๋ ทำไมเราไม่เปิดร้านหม้อไฟด้วยล่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ร้านหม้อไฟคงต้องรอไปก่อน รอจนกว่าผมจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสหม้อไฟสำเร็จรูปเสร็จ ถึงจะเปิดได้ครับ”
ตอนนี้เขาผลิตซุปก้อนหม้อไฟที่โรงงานเครื่องปรุงรสเพื่อรองรับการเปิดร้านหม้อไฟหลายสิบแห่งในชิงโจว แต่หากเขาเปิดร้านในเจียงเฉิงอีก ซุปก้อนที่ผลิตไว้คงมีไม่เพียงพอ
เมื่อรู้ปัญหานี้ หลินเจียจวินก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากล้มเลิกความคิดที่จะเปิดร้านหม้อไฟในขณะนี้ แต่จากนี้ไป เขาก็ยังคงตัดสินใจที่จะร่วมทำธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋อยู่ดี
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถึงแม้พี่จะรู้วิธีทำปูผัดเซียงล่าแล้ว แต่ผมก็ได้คิดแผนการล่วงหน้าไว้แล้วว่าหากจะเปิดร้านจริง ๆ เราต้องผลิตเครื่องปรุงรสปูผัดเซียงล่าแบบซองขึ้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นรสชาติของอาหารในร้านแฟรนไชส์ของเราก็จะมีรสชาติที่ไม่เหมือนกัน รสชาติจะไม่คงที่ ถือว่าไม่ได้มาตรฐาน”
หลินเจียจวินพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “นายมุ่งไปที่การผลิตเครื่องปรุงเถอะ ส่วนเรื่องทำร้านและการตกแต่งภายในปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
เขายังกล่าวอีกว่า “ฉันเคยเป็นผู้บัญชาการกรมทหารในกองทัพ ฉันเลยวางแผนว่าจะรับสมัครทหารผ่านศึกมาเป็นพนักงาน สวมชุดทหารเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า”
เจียงเสี่ยวไป๋สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างมาก คนที่รับราชการทหารไม่เพียงแต่อดทนต่อความยากลำบากเท่านั้น แต่ในยุคนี้ หลายคนรู้จักเครื่องแบบทหารสีเขียวซึ่งดีต่อการดึงดูดลูกค้าและสร้างความประทับใจให้กับแบรนด์
ในโลกอนาคต มีร้านอาหารแนวย้อนยุคมากมาย เช่น ร้านอาหารตระกูลเหมา ร้านอาหารเหล่าปันจ่าง โรงอาหารประชาชน เป็นต้น
หลินต้ากั๋วรู้ว่าลูกชายของเขากำลังจะเปิดร้านอาหารกับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างพินิจแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นร้านซีฟู๊ดหรือร้านหม้อไฟ ทั้งหมดต่างก็เป็นความคิดของนาย แถมเขายังมีเงินทุนไม่มากพอที่จะลงทุน ฉะนั้นอย่าให้ส่วนแบ่งเขามากเกินไปเพราะความสัมพันธ์ของฉัน ให้เขาได้เท่าที่เขาควรจะได้รับก็พอ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าเห็นด้วย แต่ในความเป็นจริง เขาได้ตกลงกับหลินเจียจวินแล้วว่าจะให้หลินเจียจวินถือหุ้น 40%
แต่แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับหลินต้ากั๋ว
ในเมื่อวันนี้เป็นมื้อใหญ่ของตระกูลหลิน หลินเจียจวินจึงไปรับหลินเจียลี่และเจียงชานมาด้วย
“น้าเจียลี่คะ อาหารที่ป่าป๊าหนูทำอร่อยมากเลยใช่ไหม ? ”
เจียงชานเห็นว่าหลินเจียลี่เงียบไป เธอจึงถามขึ้นมา
“พอ…ใช้ได้ ! ” หลินเจียลี่พูดปากไม่ตรงกับใจ “แต่มันต้องไม่อร่อยเท่ากับอาหารที่แม่ของชานชานทำอย่างแน่นอน”
ในใจของเธอ หลินเจียอินพี่สาวของเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมากที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋ต้องเรียนรู้กลเม็ดอะไรบางอย่างจากพี่สาวของเธอมาแน่ ๆ
เจียงชานส่ายหน้าไปมา “ไม่เลยค่ะ หม่าม๊าทำอาหารไม่อร่อยเลย ตอนอยู่ที่บ้าน ป่าป๊ากับคุณย่าจะเป็นคนทำอาหาร ส่วนหม่าม๊ากับหนูมีหน้าที่แค่กินเท่านั้น”
หลินเจียลี่ได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนจะจำได้ว่าแม่ของเธอเคยบอกว่าเจียงเสี่ยวไป๋ดีกับพี่สาวของเธอมาก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
คิดได้แบบนี้ ทัศนคติของเธอที่มีต่อเจียงเสี่ยวไป๋จึงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย