ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 340 ความคิดของชายที่ร่ำรวยที่สุด
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 340 ความคิดของชายที่ร่ำรวยที่สุด
ตอนที่ 340 :ความคิดของชายที่ร่ำรวยที่สุด
รถบรรทุกคันเล็กราคาเกือบ 40,000 หยวน เจียงเสี่ยวไป๋จึงต้องกลับไปบ้านแม่ยายก่อนเพื่อไปรับหลินเจียอินมาจ่ายเงิน
“เลขาหลี่ เข้ามาดื่มน้ำก่อนสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวหลังจากจอดรถในโรงรถแล้ว
“พี่เจียง ผมไม่เข้าไปหรอก ผมจะรอพี่อยู่ในรถนี่แหละ”
“โอเค งั้นฉันจะรีบกลับมา”
ทว่ามันก็ใช้เวลาไม่นานเกินไป เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบผลักประตูแล้วเข้าไปในบ้านทันที
“อ้าว ทำไมกลับมาเร็วจัง”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอินก็ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาโอเมก้าของเธอ เพราะมันเพิ่งจะ 11.00 น. อยู่ เธอจึงอดใจไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ
“คุณช่วยไปที่ธนาคารกับผมและถอนเงิน 80,000 หยวนให้ผมที รถบรรทุกเล็กสองคันที่พ่ออนุมัติให้โรงงานเมล็ดแตงโมมาถึงแล้ว ผมยังไม่ได้จ่ายเงินเลย แล้วอีกเรื่องคือคุณต้องโอนเงิน 300,000 หยวนไปที่โรงงานเมล็ดแตงโม เพราะเงินของโรงงานไม่พอรับซื้อฟักทอง”
อากาศข้างนอกร้อนมาก หลินเจียอินจึงไม่อยากออกไปข้างนอก เธอเอาสมุดบัญชีธนาคารเพื่อการก่อสร้างให้เจียงเสี่ยวไป๋ไปจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
“ตั้งแต่นี้ไปคุณก็เก็บสมุดบัญชีเงินฝากนี้ไว้ติดตัวคุณเลย ! ไม่จำเป็นต้องเอามาให้ฉันเก็บให้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึง และพูดว่า “เมียจ๋า ผมบอกคุณแล้วไงว่าต่อจากนี้ไปคุณจะต้องรับผิดชอบเงินของครอบครัวเรา เมื่อผมไปจัดการเรื่องเงินมาแล้ว ผมจะเอาสมุดบัญชีธนาคารมาไว้ที่คุณเหมือนเดิม”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ฉันไม่มีปัญหาในการดูแลจัดการเงินในครอบครัว แต่ตอนนี้เงินครอบครัวและเงินในการทำธุรกิจปะปนกันไปหมดจนฉันเริ่มสับสน คุณเองก็จำเป็นต้องใช้เงินตลอดเวลา ดังนั้นมันจะสะดวกกว่าหากคุณพกบัญชีติดตัวไปด้วยเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างขมขื่น สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันวุ่นวายมากจริง ๆ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เมียจ๋า คุณพูดถูก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้คิดเกี่ยวกับโครงสร้างของอุตสาหกรรมทั้งหมดที่เรามี และรวมเข้าด้วยกันให้เป็นบริษัท ด้วยวิธีนี้เราจะมีนักบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะ ในอนาคตเราก็ไม่ต้องไปธนาคารทุกวันแบบนี้แล้ว”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ฉันก็มีความคิดนี้เหมือนกัน เดิมทีฉันอยากจะหาเวลาบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อคุณคิดได้แล้ว ฉันก็จะไม่พูด”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เมียจ๋าของผมเริ่มใส่ใจเรื่องการบริหารจัดการมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าในอนาคตคงจะมีความก้าวหน้ามากกว่านี้”
หลินเจียอินเม้มริมฝีปากของเธอแล้วยิ้มบาง “หลังจากศึกษามานาน ฉันก็เข้าใจอะไรมากขึ้น”
คำพูดของเขาเธอไปด้วยความมั่นใจและความปีติ
สามีของฉันพูดถูก การอ่านหนังสือมีประโยชน์ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งช่วยให้เปิดโลกทัศน์ของตัวเองได้กว้างขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกยินดีกับความก้าวหน้าของภรรยาของเขา ก่อนจะออกจากบ้านไปอย่างมีความสุข
เขาไปธนาคารเพื่อถอนเงินและโอนเงินก่อน จากนั้นจึงไปที่กรมการค้าเพื่อไปรับรถ
รถถูกนำออกมา แต่ไม่มีคนขับไปให้ หลี่ซิ่งฮวาจึงไปจ้างคนขับรถสองคนให้ช่วยขับรถไปที่โรงงานเมล็ดแตงโม
เมื่อเห็นแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ที่โรงงานมีคนขับรถแค่ไม่กี่คน และคิดที่จะตั้งโรงเรียนสอนขับรถขึ้นมาด้วย
แต่ต้องไปพบรองนายกเทศมนตรีจางก่อน เพราะเขาไปที่เจียงเฉิงมานานกว่าสิบวัน ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ารองนายกเทศมนตรีจางกำลังคิดอะไรอยู่ ?
“ค่อยไปพบหลังจากที่กลับไปชิงโจวดีกว่า ! ”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋คิดแบบนี้ เขาก็ยื่นบุหรี่จงฮั๋วให้คนขับรถทั้งสองคนละซอง จากนั้นก็ขับนำพวกเขากลับไปที่โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ
เขากินข้าวเที่ยงที่โรงงานเมล็ดแตงโม ระหว่างกินข้าวก็คุยกับคนงานในโรงงานไปด้วย จนรู้มาว่าคนงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวนาแถวนี้ หลังจากที่ที่ดินถูกจัดเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมแล้ว ก็ไม่มีที่ในการทำนา จึงมาประกอบอาชีพเป็นคนงานที่นี่
นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการชดเชยที่สัญญาไว้กับเกษตรกรเหล่านี้เมื่ออำเภอได้ที่ดินไป
“มีชาวนาที่ถูกเวนคืนที่ดินแบบพวกคุณเยอะไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามขึ้นมา
คนเฝ้าประตูกล่าวว่า “เดิมทีบริเวณนี้มีไม่กี่ครัวเรือน แต่ครึ่งหนึ่งของครัวเรือนที่ถูกเวนคืนไร่นามาทำงานในโรงงานเมล็ดพันธุ์แตงโม”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ก็ดูไม่ได้เลวร้ายมากนัก เพราะยังมีงานรองรับ แม้จะถูกเวนคืนที่ดิน แต่ก็จะได้ที่ตั้งถิ่นฐานใหม่
หลังอาหารกลางวัน เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พักผ่อน เขายืมหมวกฟางจากลุงยามที่เฝ้าประตูเพื่อขับรถดูรอบ ๆ สวนอุตสาหกรรมภายใต้แสงแดดที่แรงจ้า
พื้นที่ 75,000 หมู่นั้นมีขนาดใหญ่กว่าเขตเจี้ยนหยางในปัจจุบันมาก หากจะให้พัฒนาในตอนนี้ แม้แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีความสามารถ
เหตุผลที่เขากล้าทำเช่นนี้ เพราะเขาเรียนรู้มาจากกรณีที่ร็อคกี้เฟลเลอร์บริจาคที่ดินทำอาคารสหประชาชาติ
ไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำของประเทศที่ได้รับชัยชนะหลายประเทศ ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาต้องการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อประสานงานและจัดการกับกิจการระดับโลก พวกเขาได้เลือกจัดตั้งในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม โลกเพิ่งประสบกับหายนะของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้คลังของทุกประเทศว่างเปล่า หากระดมทุนจากประเทศต่าง ๆ ใบอนุญาตของสหประชาชาติก็จะถูกระงับและต้องจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งแบบนี้มันอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
อาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งองค์กรสหประชาชาติในเวลานี้ถือเป็นเรื่องที่แปลก ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนในการซื้อที่ดินในนิวยอร์ก ซึ่งมีมูลค่าที่สูง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ร็อคกี้เฟลเลอร์ทราบข่าว เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โดยใช้เงิน 8.7 ล้านเหรียญสหรัฐกวาดซื้อที่ดินในนิวยอร์ก จากนั้นก็ขายให้กับสหประชาชาติในราคา 1 เหรียญสหรัฐ
การเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิดของร็อคกี้เฟลเลอร์ ทำให้กลุ่มการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งในอเมริการู้สึกประหลาดใจ
เงิน 8.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นเงินจำนวนมหาศาล มันถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับสหรัฐอเมริกาและโลกในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังซบเซาหลังสงคราม แต่ร็อคกี้เฟลเลอร์กลับมอบเงินดังกล่าวให้กับสหประชาชาติโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกเยาะเย้ยโดยกลุ่มบริษัทและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากในสหรัฐอเมริกา
แต่หลังจากนั้น บรรดาผู้ที่หัวเราะเยาะร็อคกี้เฟลเลอร์ในตอนแรก ก็ถูกตบหน้าในไม่ช้า
เพราะร็อคกี้เฟลเลอร์ได้ซื้อที่ดินโดยรอบทั้งหมดแล้ว ก่อนที่จะมอบที่ดินดังกล่าวให้กับสหประชาชาติ
หลังจากที่สหประชาชาติได้รับที่ดินที่ร็อคกี้เฟลเลอร์บริจาคแล้ว พวกเขาก็ได้สร้างอาคารสหประชาชาติขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่การก่อสร้างอาคารสหประชาชาติเสร็จสมบูรณ์ ราคาที่ดินโดยรอบก็เพิ่มสูงขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยเท่าในทันที จากนั้นความมั่งคั่งมหาศาลก็ได้ไหลเข้าสู่มือของร็อคกี้เฟลเลอร์
……
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ก็ได้กลับมาที่โรงงานแล้ว พวกเขารับซื้อฟักทองใส่รถมาห้าคัน ซึ่งมีน้ำหนักประมาณเกือบสี่หมื่นกิโลกรัม
แต่ก็น้อยกว่าที่รวบรวมในหมู่บ้านหยางซู่ครั้งที่แล้วมาก
ครั้งนี้พวกเขาแค่ไปขนฟักทองกลับมาเท่านั้น ไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่ต้องให้ชาวบ้านช่วยกันคว้านเมล็ดออกให้
เพียงแต่จะเสียเวลาตอนบรรทุกขึ้นรถและการวิ่งรถไปกลับ
เมื่อพวกเขาทั้งสามพบกัน เจียงเสี่ยวไป๋ก็โยนกุญแจรถบรรทุกคันเล็กทั้งสองคันให้กับเจียงเสี่ยวเฟิง และพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะให้คนมาขับรถบรรทุกออกไป แล้วหาคนขับรถให้นายอีกคน”
หลัวเจาตี้พูดว่า “พี่ ไม่จำเป็นหรอก ฉันขับรถเองได้”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า “แล้วเธอมีใบขับขี่หรือเปล่า ? ”
หลัวเจาตี้พูดอย่างเมินเฉย “ฉันไม่มีใบขับขี่หรอก ฉันคิดว่าถ้าฉันขับรถเป็นมันคงจะง่ายในอนาคต ดังนั้นตั้งแต่เสี่ยวเฟิงมีรถ ฉันจึงขอให้เขาสอนฉันขับ จึงได้ฝึกซ้อมทุกวัน จนตอนนี้ฉันขับมันคล่องแล้ว ไปไหนมาไหนก็สะดวก”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ งั้นฉันก็จะไม่หาคนมาขับรถให้แล้ว พวกเธอสองคนก็ขับคนละคันไปเลย แล้วหลังจากนี้ก็เรียนรู้กฎจราจรและไปสอบเอาใบขับขี่ด้วย”
หลัวเจาตี้ดีใจมากและตอบตกลงทันที
เจียงเสี่ยวเฟิงก็มีความสุขไม่ต่างกัน จากนั้นเขาก็พูดว่า “พี่ กินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยสอนผมทำขนมเปี๊ยะฟักทอง”
“ดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปที่โรงอาหารพร้อมกัน