ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 339 อย่าเอาเปรียบ
ตอนที่ 339 :อย่าเอาเปรียบ
วันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ขับรถไปที่โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ
ไม่ไกลจากทางเข้าโรงงาน เขาเห็นเจียงเสี่ยวเฟิงขับรถบรรทุกออกจากโรงงานพอดี เจียงเสี่ยวไป๋จึงขับรถจี๊ปไปจอดข้างถนนเพื่อหยุดรอให้เจียงเสี่ยวเฟิงขับผ่านไปก่อน
เมื่อเจียงเสี่ยวเฟิงขับรถมาข้าง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็เหยียบเบรกแล้วพูดว่า “พี่ ผมขอไปส่งถิงถิงที่บ้านแม่ยายของพี่ก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมาครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ได้ ๆ ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ขับไป”
“ผมรู้ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงตอบรับแล้วขับรถบรรทุกเข้าไปในตัวเมืองทันที
“เถ้าแก่ คุณกลับมาแล้วหรือครับ ! ”
ยามเฝ้าประตูเห็นเจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“ลุงยาม ผมต้องขอบคุณลุงมากนะครับที่ยอมทำงานหนักให้ผม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากจอดรถแล้ว เขาก็เดินไปยื่นบุหรี่ให้ลุงยาม คุยกับลุงยามอย่างเป็นกันเองอีกสองสามคำ แล้วมองไปรอบ ๆ
ขณะนี้การก่อสร้างโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว จวงปี้เฉิงก็ได้พาคนงานออกไปแล้ว โรงงานได้เริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการแล้วด้วย และมีคนงานในโรงงานเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อหลายสิบวันก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าหลังจากที่หลัวเจาตี้ถูกย้ายมาดูแลโรงงานนี้ การทำงานในโรงงานราบรื่นขึ้นมาก
บางทีอาจเป็นเพราะหลัวเจาตี้เก่งในด้านการจัดการมากกว่าเจียงเสี่ยวเฟิง !
เขาเดาอย่างนั้น
“พี่ มาแล้วหรือ มานั่งในห้องทำงานก่อน เสี่ยวเฟิงไปส่งถิงถิงที่บ้านแม่ยายของพี่ เดี๋ยวก็กลับมา”
หลัวเจาตี้เข้ามาทักทาย
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลัวเจาตี้และเห็นว่าเธอผอมลงมาก เขาจึงได้กล่าวขอโทษเธอออกมา “ต้องขอโทษด้วยนะที่ให้มาทำงานหนักแบบนี้ ! ”
หลัวเจาตี้พูดขึ้นมาทันที “อย่าพูดแบบนั้นพี่รอง งานหนักอะไรกัน”
เธอยกข้อมือขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันยังไม่ได้ขอบคุณพี่ที่ซื้อนาฬิการาคาแพงขนาดนั้นมาฝากฉันเลย”
เธอไม่รู้ว่าโอเมก้าคืออะไร เพราะเธอไม่รู้จักโลโก้บนนาฬิกา แต่เมื่อเห็นตัวเรือนนาฬิกาอันประณีต เธอก็รู้ว่าราคาของมันต้องสูงมากแน่ ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือแล้วพูดว่า “ฉันไปที่อื่นที่ไกลมา ก็ต้องซื้อของฝากมาให้ทุกคนในครอบครัวอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไร”
เมื่อพูดจบ เขาและหลัวเจาตี้ก็เดินไปที่ห้องทำงาน
ในออฟฟิศนั้นเรียบง่ายมาก มีโต๊ะเพียง 3 ตัว เก้าอี้ 2 ตัว และตู้ 2 ตู้ ข้างกันมีโกดัง
หลัวเจาตี้เอาน้ำเย็นมาให้เจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นก็นั่งฝั่งตรงข้ามและเล่าสถานการณ์ในโรงงานช่วงที่ผ่านมาให้เขาฟัง
ที่นี่มีการเก็บเมล็ดแตงโมตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนและสามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดแตงโมได้เกือบหนึ่งหมื่นกิโลกรัมต่อวัน จากนั้นก็เอาเมล็ดทั้งหมดไปตากแห้งด้วยเครื่องอบแห้งพลังงานลม ซึ่งรับประกันคุณภาพของแตงโมว่าจะไม่โดนความร้อนมากเกินไปจนเมล็ดลีบ
ในตอนนี้ที่โรงงานมีการคั่วเมล็ดแตงโม 5 รสวันละหลายพันกิโลกรัม ส่วนเมล็ดแตงโมรสเค็มและรสดั้งเดิมมีอย่างละห้าร้อยกิโลกรัมต่อวัน นำส่งไปที่ชิงโจวสามวันครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจฟังและพูดว่า “เธอมีหน้าที่บริหารจัดการทุกอย่างในเวลานี้ใช่ไหม ? ”
หลัวเจาตี้ยิ้มและพูดว่า “พี่รอง พี่ก็รู้ว่าเสี่ยวเฟิงเป็นคนพูดไม่เก่ง ฉันจึงต้องจัดการแทนเขาในบางเรื่อง”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นถูกต้อง
นิสัยของเจียงเสี่ยวเฟิงยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่หลัวเจาตี้จะอยู่ข้าง ๆ เพื่อช่วยเขาในบางเรื่อง เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เธอทำได้ดีมากแล้ว เห็นอะไรที่แก้ได้ก็ลงมือทำได้เลย”
หลัวเจาตี้ดูมีความสุขมากที่ได้รับการยอมรับจากเจียงเสี่ยวไป๋
ทั้งสองคุยกันสักพัก จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “หากเธอมีปัญหาอะไรก็บอกฉันได้ตลอดเลยนะ”
หลัวเจาตี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พี่รอง ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่เงินรับซื้อฟักทองคงไม่เพียงพอ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตอนเจียงเสี่ยวเฟิงมาที่เจี้ยนหยาง หลินเจียอินขอให้เขาเปิดบัญชีและให้เงิน 200,000 หยวน หลินเจียอินจ่ายค่าก่อสร้างและอุปกรณ์ของโรงงานแยกต่างหาก แล้วเงินมันจะไม่เพียงพอได้ยังไง
“เงินในบัญชีเหลือเท่าไหร่ ? ”
“เหลือเพียง 17,066 หยวนเท่านั้น ! ”
หลัวเจาตี้รายงานตัวเลขที่แม่นยำออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องดูบัญชีด้วยซ้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงเหลือเท่านั้น”
หลัวเจาตี้กล่าวว่า “มีออเดอร์เมล็ดแตงโมคั่วเข้ามา แต่หลังจากที่ส่งเมล็ดแตงโมคั่วไปยังชิงโจวและกระจายไปยังร้านโยวผิ่น ปลายทางยังไม่จ่ายเงินให้กับโรงงานเราเลยค่ะ”
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตระหนักได้ว่าเขาต้องโทษตัวเองในเรื่องนี้
ร้านโยวผิ่นยังไม่มีคนบริหาร เนื่องจากเขาไปที่เจียงเฉิงนานกว่า 10 วัน
“ได้ ฉันรับเรื่องแล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกให้พี่สะใภ้โอนเงินอีก 300,000 หยวนมาให้กับโรงงานในภายหลัง เมื่อฉันกลับไปที่ชิงโจว ฉันจะโอนยอดที่ค้างจ่ายมาให้ นับจากนี้ฉันจะหาคนมาทำบัญชี และทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน จะต้องมีการคิดบัญชีของทั้งสองฝ่าย และจะรวมยอดก่อนวันชำระเงิน คือวันที่ 1 ของทุกเดือน”
หลัวเจาตี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ดีเลย ฉันจะได้จัดการได้อย่างถูกต้องในอนาคต”
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวเฟิงก็กลับมาจากการไปส่งเจียงถิง
หลังจากรู้ว่าหลัวเจาตี้รายงานเรื่องทุกอย่างในโรงงานให้เจียงเสี่ยวไป๋แล้ว เขาก็พูดเสียงแผ่วว่า “พี่ ฉันมันโง่ ต่อไปให้เจาตี้รายงานเรื่องต่าง ๆ ในโรงงานให้พี่เถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เขาบอกทั้งสองเกี่ยวกับกำหนดการรับซื้อฟักทอง แล้วขอให้ทั้งสองส่งคนงานออกไปรับซื้อ
ก่อนอื่นเขาไปที่ไลน์ผลิตเพื่อดูเครื่องบดและที่กด จากนั้นก็กลับมาที่ห้องทำงาน หยิบกระดาษและปากกาเอามาเขียนวิธีทำขนมเปี๊ยะฟักทอง
หลังจากเสร็จงาน เขาก็ขับรถตรงไปที่ที่ว่าการอำเภอ
“พี่เจียงกำลังมองหานายอำเภอหลินอยู่ใช่ไหมครับ ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ หลี่ซิ่งฮวาก็ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ฉันก็กำลังมองหาคุณอยู่เหมือนกัน ! ”
หลี่ซิ่งฮวาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “พี่เจียงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ ? ลองบอกมาสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ที่ว่าการอำเภอคิดเงินค่าเครื่องบดและเครื่องกดขนมเปี๊ยะกับโรงงานเท่าไหร่ ? รบกวนพาฉันไปจ่ายที”
หลี่ซิ่งฮวามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “เรื่องนี้ทางอำเภอได้ให้พี่นำไปใช้ฟรีเลย พี่ก็ใช้ไปเถอะ จะให้เงินอะไรอีกล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
การซื้ออุปกรณ์ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล และในครั้งนี้ รัฐบาลก็ยังช่วยติดต่อผู้ผลิตอุปกรณ์และยังช่วยจัดซื้อให้อีกด้วย แบบนี้จะให้เขานิ่งนอนใจได้อย่างไร
เขาต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เองถึงจะถูก
นี่ไม่ได้ดีไปกว่าการที่เขายึดที่ดินคนอื่นมาทำกินเลย !
แต้ถ้าเป็นเรื่องที่ดิน เขากล้ายึดที่ดินมาใช้ฟรี เพราะปัจจุบันประเทศมีนโยบายการใช้ที่ดินอุตสาหกรรมอย่างเสรีซึ่งถูกกฎหมายขอแค่ปฏิบัติตาม
แต่การใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ฟรีนั้นไม่เหมือนกัน
เพราะรัฐไม่มีนโยบายจัดหาอุปกรณ์ฟรีให้กับองค์กรหรือโรงงาน ไม่มีนโยบายภาระผูกพันดังกล่าว
เขาไม่ต้องการให้ค่าอุปกรณ์เพียงสองชิ้นนี้มาสร้างปัญหามากมายในอนาคต
หลี่ซิ่งฮวากับเขาพูดคุยกันเป็นเวลานาน และเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ยืนกรานที่จะจ่าย หลี่ซิ่งฮวาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพาเขาไปที่สำนักงานอุตสาหกรรมและจ่ายค่าอุปกรณ์ทั้งสองชิ้น
หลังจากเสร็จจากตรงนี้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาเชื่อมาโดยตลอดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ แต่พวกเขาไม่สามารถเอาเปรียบผู้อื่นได้
ความโลภเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นรากฐานสำคัญและเป็นแรงผลักดันของความทะเยอทะยาน แต่ในขณะที่การเอาเปรียบเป็นเพียงสันดานที่ไม่ดีเท่านั้น ดูเหมือนฉลาด แต่ที่จริงแล้วมันคือการเก็บเมล็ดงาแต่สูญเสียเมล็ดแตงโม
ผู้ที่ไม่เข้าใจพื้นฐานในจิตใจของมนุษย์ มักไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างทั้งสองได้
เมื่อส่งหลี่ซิ่งฮวากลับไปที่หน่วยงานแล้ว เขาก็ถามว่า “เอ่อ เลขาหลี่ คุณพอรู้ไหมว่าที่กรมการค้าได้นำรถบรรทุกคันเล็กมาส่งหรือยัง ? ”
หลี่ซิ่งฮวากล่าวว่า “ถ้าพี่ไม่ถาม ผมคงลืมไปแล้ว อำเภออนุมัติรถบรรทุกคันเล็กจำนวน 2 คัน ให้กับโรงงานเมล็ดแตงโม มันจอดอยู่ที่กรมการค้า ยังไม่ได้มีการรับรถ”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาจึงพูดว่า “เลขาหลี่ คุณช่วยไปกับฉันอีกครั้งได้ไหม ฉันจะไปรับรถ”
หลี่ซิ่งฮวาก็ได้ตอบตกลงไป