ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 330 ความโมโหของน้องภรรยา
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 330 ความโมโหของน้องภรรยา
ตอนที่ 330 :ความโมโหของน้องภรรยา
“พี่เขย ? ”
หลินเจียลี่ตะลึงไปชั่วขณะ คิ้วของเธอขมวดขณะที่จ้องมองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความสงสัย “คุณคือเจียงเสี่ยวไป๋จริง ๆ หรือ ? ”
เจียงเสี่ยวชิงมองไปที่พี่ชายของเธอ จากนั้นก็มองสลับไปที่หลินเจียลี่ด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย หลินเจียลี่จำพี่เขยของตัวเองไม่ได้งั้นหรือ ? นี่มันอะไรกัน ?
“เจียลี่ พี่เอง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นสีหน้าของหลินเจียลี่เป็นแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจียงเสี่ยวไป๋ กล้าดียังไงมาหาฉัน ! ”
เมื่อได้รับการยืนยัน หลินเจียลี่ก็ตะโกนเสียงดังและคว้าไม้กวาดด้ามไม้ไผ่จากประตูเข้าหอแล้วฟาดมันไปทางเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี
โชคดีที่เจียงเสี่ยวไป๋เดาว่ามันอาจมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ทันทีที่เขาเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ เขาก็รีบหลบการถูกฟาดได้อย่างหวุดหวิด
“ยังคิดจะวิ่งหนีอีกหรือ ดูสิว่าวันนี้ฉันจะทุบตีคุณให้ตายยังไง ! ”
เนื่องจากเธอฟาดไม้กวาดไม่โดนตัวเขา ความโกรธในใจของหลินเจียลี่ปะทุขึ้นทันที เธอยังคงตะโกนด่าและโบกไม้กวาดด้ามไม้ไผ่ไล่ตามเจียงเสี่ยวไป๋
“เจียลี่ วางไม้กวาดลงก่อน ให้พี่อธิบายก่อน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หลบ ในขณะที่พยายามให้เหตุผลกับเธอ
“อธิบายอะไร ! ”
ความโกรธที่สั่งสมมาตลอด 6 ปีปะทุขึ้นในขณะนี้ หลินเจียลี่ไม่อยากจะฟังคำอธิบายใด ๆ เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะทุบตีชายชั่วคนนี้เพื่อระบายความโกรธของเธอ
เจียงเสี่ยวชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง !
ต่อให้พี่รองของเธอจะมีสภาพเหมือนคนไม่ได้เรื่องเหมือนเมื่อก่อน เธอก็แค่เพิกเฉย ไม่สนใจเขา แต่ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับเขาเลย
แต่เกิดอะไรขึ้นกับหลินเจียลี่ ?
เธอไม่เพียงแต่จำพี่เขยของตัวเองไม่ได้เท่านั้น แต่เธอยังทุบตีเขาทันทีที่พบหน้ากันอีกด้วย บนโลกมีน้องสาวภรรยาแบบนี้ด้วยหรือ ?
“เฮ้ ทำไมเธอถึงตีเขาล่ะ ! ”
เมื่อเห็นพี่รองของตัวเองถูกไล่ทุบตี เจียงเสี่ยวชิงก็ตะโกนและรีบวิ่งไปยืนคั่นกลางระหว่างหลินเจียลี่และเจียงเสี่ยวไป๋
ดังนั้น ทำให้มีฉากดราม่าเกิดขึ้นนอกหอพักของหลินเจียลี่ เป็นภาพที่เด็กผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งถือไม้กวาดด้ามไม้ไผ่กำลังไล่ตีผู้ชายคนหนึ่ง และเด็กผู้หญิงอีกคนก็กำลังปกป้องผู้ชายคนนั้นและคอยขวางไม่ให้เด็กผู้หญิงคนนั้นตีผู้ชาย
ความโกลาหลนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากให้ออกมาดู
“นั่นไม่ใช่หลินเจียลี่หรือ ? ทำไมเธอถึงตีผู้ชายคนนั้นล่ะ ? ”
“ผู้ชายคนนั้นคือใคร ? ทำไมเขาถึงทำให้หลินเจียลี่โกรธขนาดนั้น ? ”
“เห็นผู้หญิงอีกคนปกป้องผู้ชายไหม ? ฉันว่ามันต้องเป็นรักสามเส้าแน่นอน ! ”
“หลินเจียลี่เกลียดผู้ชายมากเลยไม่ใช่หรือ ? เธอไปเริ่มออกเดตตั้งแต่เมื่อไรกัน ? ”
“ผู้ชายคนนั้นหล่อมาก ฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน เขาคือรุ่นพี่คณะไหนกันนะ ? ”
“หล่อแล้วมีประโยชน์อะไร ? เขาคงเป็นคนเจ้าชู้แน่ ๆ เฮอะ ! ”
“ฉันไม่คุ้นหน้าเด็กผู้หญิงที่ปกป้องผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน บางทีเธออาจเป็นนักศึกษาใหม่ล่ะมั้ง ! ”
“เป็นไปได้มากว่าผู้ชายคนนั้นไปชอบนักศึกษาใหม่ หลินเจียลี่รู้เข้า เลยเป็นสาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกัน”
“ฉันล่ะสงสารหลินเจียลี่จริง ๆ ! ”
“……”
เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรเริ่มคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา
เสียงพูดคุยดังไปถึงหูของเจียงเสี่ยวไป๋และเจียงเสี่ยวชิง ทำให้สองพี่น้องรู้สึกขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้ทุกคนกำลังเข้าใจผิดไปหมดแล้ว !
เจียงเสี่ยวไป๋รีบตะโกนขึ้นว่า “เจียหลี่ หยุดแล้วฟังคำอธิบายของพี่ก่อน ! ”
เมื่อเห็นเพื่อนนักศึกษามามุงดูและได้ยินเสียงซุบซิบพวกนั้น ใบหน้าของหลินเจียลี่ก็กลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความอายและโกรธ ทำให้เธอเริ่มตีแรงขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋จนปัญญา แม้เขาจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการมาพบน้องสาวของภรรยาคงไม่ราบรื่นอย่างที่คิด แต่เขาไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นฉากเช่นนี้ได้
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าน้องสะใภ้ของเขาไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดการกระทำของเธอเลย !
“เฮ้อ ! น้องเมียฉันยังคงอารมณ์รุนแรงเหมือนในชาติที่แล้วไม่มีผิด ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจและตัดสินใจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าชั่วคราว เขาตะโกนเรียกเจียงเสี่ยวชิงว่า “เสี่ยวชิง พี่ไปก่อนนะ ! ”
พูดจบ เขาก็วิ่งหนีไป
หลินเจียลี่อยากจะไล่ตีเขาต่อ แต่เธอไม่สามารถตามไปได้ เพราะเจียงเสี่ยวชิงเข้ามาขวางเธอเอาไว้ ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋หายตัวไปในชั่วพริบตา
“หลินเจียลี่ พี่ทำเกินไปแล้ว ! ”
“พี่รองของฉันมาที่นี่ด้วยความตั้งใจดีที่จะมาพบพี่ แต่พี่กลับตีเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ ! ฉันจะโทรหาพี่สะใภ้และให้เธอจัดการกับพี่ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพูดต่อว่าหลินเจียลี่ด้วยความโกรธ ก่อนจะวิ่งตามเจียงเสี่ยวไป๋ไปในทิศทางที่เขาหายตัวไป
เหลือเพียงหลินเจียลี่ที่กำลังปั้นหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโห
“ครั้งนี้ถือว่านายวิ่งเร็ว เลยรอดตัวไป ! ”
“อย่าให้ฉันเห็นหน้านายอีกนะ ฉันจะไม่ไว้ชีวิตนายแน่ ! ”
เมื่อมองไปรอบ ๆ เธอเห็นเพื่อนนักศึกษาหลายสิบคนดูอยู่ เธอมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกนว่า “พวกเธอกำลังดูอะไรอยู่ ถ้ายังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ อย่ามาโทษว่าฉันหยาบคายแล้วกัน”
พูดจบ เธอก็โยนไม้กวาดด้ามไม้ไผ่ลงพื้น แล้วเดินกระทืบเท้าเข้าไปในหอพัก ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง ! ’
ในขณะเดียวกัน เจียงเสี่ยวชิงก็วิ่งตามเจียงเสี่ยวไป๋ เธอวิ่งไปได้ไกลกว่าร้อยเมตรถึงจะตามทัน เธอหายใจหอบและพูดว่า “พี่รอง น้องสาวพี่สะใภ้ดุเกินไปแล้ว เธอดูไม่เหมือนนักศึกษาวิทยาลัยเลย เธอเหมือนนักเลงมากกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองน้องสาวของเขาแล้วพูดว่า “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวชิงพูดด้วยความโกรธ “ฉันสบายดี แต่เกิดอะไรขึ้นกับพี่และเธอ ? เธอเป็นน้องสาวภรรยาของพี่ไม่ใช่หรือ ? ทำไมเธอถึงจำพี่ไม่ได้ แล้วทำไมเธอถึงทุบตีพี่ทันทีที่พบหน้ากัน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มีสีหน้ารู้สึกผิดในขณะที่เขาอธิบายเหตุการณ์ในอดีตให้เธอฟัง
หลังจากทราบเหตุผลแล้ว เจียงเสี่ยวชิงก็อดไม่ได้ที่จะมองพี่ชายของเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่แปลกใจเลยที่หลินเจียลี่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ถ้าเป็นเธอ เธอก็คงโกรธแบบนี้เหมือนกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นถุงสะดวกซื้อในมือของเขาให้เจียงเสี่ยวชิง แล้วพูดว่า “ลืมไปเถอะ พี่จะยังไม่ไปพบเธอตอนนี้ เธอหาเวลาคุยกับเจียลี่และมอบของพวกนี้ให้แทนพี่หน่อยแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวชิงรับมันด้วยรอยยิ้มแล้วพูดอย่างทะเล้น “ขอฉันดูหน่อยว่าพี่รองซื้ออะไรให้น้องสาวของภรรยาตัวเองบ้าง ? ”
เมื่อเธอเปิดมันออกมา เธอก็เห็นชุดเดรส 2 ตัว กล้องถ่ายรูป 1 ตัว ฟิล์ม 2 ม้วนและกล่องกำมะหยี่สีดำใบเล็กอยู่ข้างใน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเปิดกล่องและเห็นนาฬิกาผู้หญิงเรือนหนึ่ง ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เธออุทานว่า “พี่รอง พี่ใจดีกับน้องสาวของพี่สะใภ้จริง ๆ นาฬิกาเรือนนี้ดูแพงมากเลยนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบด้วยท่าทีรำคาญว่า “ของขวัญของเธอก็ดีเหมือนกัน เลิกพูดประชดประชันฉันได้แล้ว ! ”
“โอ้ ฉันก็ได้นาฬิกาด้วยหรือ ! ” เจียงเสี่ยวชิงอุทานด้วยความดีใจ
ก่อนหน้านี้ เธอวางถุงที่เจียงเสี่ยวไป๋ให้เธอไว้ในหอพักและออกมาเลย ยังไม่ได้เปิดดู
เจียงเสี่ยวไป๋ถลึงตาใส่น้องสาวตัวแสบพลางพูดว่า “ยังพูดว่าฉันปฏิบัติต่ออื่นดีกว่าอยู่หรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวชิงหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ขอบคุณนะพี่รอง ไม่ต้องกังวล ฉันจะหาเวลาไปพูดคุยกับพี่เจียลี่ เพื่อที่เธอจะได้ไม่เข้าใจพี่ผิดอีก”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ พี่จะไปแล้ว ตั้งใจเรียน และถ้าเงินหมดก็โทรหาพี่นะ”
“ค่ะพี่ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพยักหน้าอย่างมีความสุข เธอส่งเจียงเสี่ยวไป๋ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย จากนั้นก็รีบกลับไปที่หอพักเพื่อดูนาฬิกาของเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่ายังเช้าอยู่ เขาจึงไม่รีบกลับไปที่เกสต์เฮาส์ แต่เริ่มเดินไปรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียง
ขณะที่เขาเดินไปตามทางนั้น เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลจีนตอนกลาง
“ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็เข้าไปดูดีกว่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จ่ายเงิน 5 เหมาเป็นค่าตั๋วเข้าชม ในใจได้แต่รู้สึกทึ่งที่ค่าตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในยุคนี้ไม่ใช่ถูก ๆ เลย
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมชมมากนัก และภายในพิพิธภัณฑ์ก็ค่อนข้างว่างเปล่า
ชาติที่แล้ว เขาเคยมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้มากกว่าหนึ่งครั้ง และครั้งนี้เป็นการกลับไปสู่ดินแดนที่คุ้นเคย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะมากี่ครั้ง เขาก็ยังรู้สึกทึ่งเสมอ
เมื่อมองขึ้นไป เค้าโครงโดยรวมของพิพิธภัณฑ์เป็นไปตามแกนสมมาตรและรูปแบบสถาปัตยกรรมของแคว้นฉู่โบราณ โดยมีอาคารที่มีระเบียงสูง ชายคากว้าง และหลังคาลาดขนาดใหญ่ การรวมกันของห้องนิทรรศการ เช่น หอนิทรรศการครบวงจร หอวัฒนธรรมชู และหอนิทรรศการระฆัง ทำให้เกิดรูปทรง “品” (พิน) ขนาดมหึมา ช่วยสร้างบรรยากาศทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานได้อย่างน่าทึ่ง
เนื่องจากระยะเวลาที่จำกัด เจียงเสี่ยวไป๋จึงมุ่งเน้นไปที่สมบัติหลักสี่ประการของพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก ได้แก่ กระบี่ของเยวี่ยหวังโกวเจี้ยน ระฆังของเจิงโหวอี่ ฟอสซิลกะโหลกศีรษะมนุษย์หยุนเซียน และแจกันลายครามโบราณสมัยราชวงศ์หยวน
นอกจากนี้ เขายังเดินดูสิ่งของต่าง ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผาสีเปลือกไข่ กระบี่จีนโบราณ กระถางธูปสัมฤทธิ์ ขวานทองสัมฤทธิ์ เข็มขัดหยกแกะสลักลายมังกร จี้หยกนกเฟิ่งหวงและหีบใส่ผ้าโบราณลายกลุ่มดาว
เมื่อถึงเวลา 11.00 น. เจียงเสี่ยวไป๋ก็ออกจากพิพิธภัณฑ์อย่างเสียดาย เขาใช้เวลาเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ไปกว่าชั่วโมงแล้ว
เขาเดินกลับมายังเกสท์เฮาส์หงซานตามถนนสายหลัก ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร เจียงเสี่ยวไป๋ค่อนข้างคุ้นเคยกับบริเวณนี้ของเจียงเฉิงเป็นอย่างดี เขาจึงใช้ทางลัด ซึ่งระยะทางสั้นกว่ากันเกือบครึ่ง
เขาเพิ่งมาถึงใกล้ตรอกด้านหลังพิพิธภัณฑ์ ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งอยู่ที่ทางเข้าตรอก ชายคนนั้นได้ปูเสื่อน้ำมันขนาดพอเหมาะบนพื้น และตั้งสิ่งของบางอย่างไว้บนนั้น ซึ่งบางชิ้นก็ฝุ่นจับดูสกปรก
ดูเหมือนพ่อค้าท้องถิ่นที่มาตั้งแผงลอยขายของ