ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 313 ความคิดที่บ้ามาก
ตอนที่ 313 :ความคิดที่บ้ามาก
ปลายสายกดรับอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่นัดดื่มกับเหรินฉางเซี่ยในตอนบ่าย
คราวนี้เขาไม่ได้นัดที่ร้านกุ้งอบน้ำมัน แต่นัดพบกันที่โรงอาหารของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปตลาดและซื้อปลาไนขนาดเล็ก และส่วนผสมอื่น ๆ อีกหลายสิบอย่าง
วันนี้เขาวางแผนที่จะทำหัวปลาหม้อไฟอีกครั้ง ซึ่งเป็นอาหารจานเดียวกับที่เขาทำที่บ้านพ่อตาเมื่อวันก่อน
พ่อครัวหลิวที่อยู่ในโรงอาหารเห็นเขาซื้อปลามามากมายจึงถามขึ้น “เถ้าแก่เจียง วันนี้คุณจะทำเมนูอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นถุงใส่ปลาให้เขา แล้วพูดว่า “ทำปลาให้ฉันด้วย ฉันจะสอนคุณทำหัวปลาหม้อไฟ”
คราวที่แล้วเขาเรียนทำข้าวต้มหัวปลาเสฉวน วันนี้เถ้าแก่จะสอนเขาทำหัวปลาหม้อไฟอีก พ่อครัวหลิวตื่นเต้นมาก เขาเริ่มเตรียมปลาพร้อมกับพูดชมไม่ขาดปากว่า “เถ้าแก่เจียง คุณรู้จักสูตรอาหารมากมายจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ในอนาคตยังมีสูตรอาหารเมนูปลาอีกมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากข้าวต้มหัวปลาเสฉวนและหัวปลาหม้อไฟแล้ว ยังมีเมนูผัดปลาสด ปลาผัดเปรี้ยวหวาน ปลาต้มพริกเสฉวน เป็นต้น
เขาเชื่อว่าต่อให้นำเมนูไหนออกมา รับรองเลยว่ามันจะกลายเป็นที่นิยมในยุคนี้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังสามารถขยายธุรกิจทำเป็นร้านอาหารแฟรนไชส์ได้อีกด้วย
เขายิ้มและพูดว่า “พ่อครัวหลิว ยังอยากเปิดร้านอาหารอยู่หรือเปล่า ? เมื่อถึงเวลาคุณสามารถเลือกมาเปิดร้านสักเมนูได้ ผมจะเป็นคนลงทุนให้ ส่วนคุณใช้ความสามารถมาร่วมหุ้น”
ตอนเที่ยงที่เขาได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋คุยกับจางชุ่ยฮวาเกี่ยวกับการตั้งโรงงานผักดอง ตอนนั้นเขายังรู้สึกอิจฉามาก และเขารอประโยคนี้มานานแล้ว
เขายิ้มและพูดว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เจียง ผมยินดีเปิดรับทุกข้อตกลงที่เหมาะสม”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “คงต้องใช้เวลาสักพัก ผมจะหาสถานที่ที่เหมาะสม แล้วจะมาพูดคุยเรื่องนี้กับคุณอีกที”
ตอนนี้มีร้านกุ้งอบน้ำมันผุดขึ้นมากมายในชิงโจว คงไม่สามารถขยายร้านได้มากกว่านี้แล้ว แต่การเปิดร้านอาหารเมนูปลายังสามารถพัฒนาเป็นแฟรนไชส์ได้เช่นกัน และนี่อาจเป็นหนทางใหม่ของธุรกิจ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าพ่อครัวหลิวนิสัยดี ทั้งยังมีฝีมือการทำอาหาร สามารถลองเปิดตลาดเมนูปลาได้
แน่นอนว่าตำแหน่งของเขาจะไม่เหมือนกับจางชุ่ยฮวา หุ้นที่เขาได้รับจะมาจากหุ้นร้านของเขาเท่านั้น ซึ่งเทียบเท่ากับผู้จัดการร้านที่ถือหุ้นเท่านั้น
และแบรนด์แฟรนไชส์ทั้งหมดจะถือครองโดยเจียงเสี่ยวไป๋
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน เวลาก็ล่วงเลยว่าถึงช่วงเย็น
เหรินฉางเซี่ยมาถึงโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส และหลังจากเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็พูดติดตลกว่า “เฮ้ น้องชาย คุณประหยัดมากจนไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านเลยหรือ ? ทำไมถึงชวนฉันมาดื่มที่โรงอาหารพนักงานล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ “เพราะที่ร้านอาหารไม่มีเมนูใหม่ ผมกำลังทำหัวปลาหม้อไฟ และคุณจะเป็นคนแรกในชิงโจวที่ได้ลองชิมเมนูนี้”
เหรินฉางเซี่ยเริ่มสนใจทันทีที่เขาได้ยิน จึงพูดเร่งเร้าว่า “ฟังดูดีมาก ! ไปโรงอาหารกันเถอะ ฉันรอไม่ไหวแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่จงฮั๋วให้เขาแล้วพูดว่า “โรงอาหารคนแน่น ผมจะนำอาหารไปทานที่ออฟฟิศ แล้วเราจะกินข้าวและคุยกันที่นั่น ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”
เหรินฉางเซี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันก็สงสัยว่าทำไมจู่ ๆ คุณถึงชวนฉันมาดื่ม ที่แท้คุณก็มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากฉันนี่เอง”
“มาคุยกันก่อน ผมไม่ขออะไรที่ละเมิดหลักการของเราหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋ให้คำมั่น และบอกให้เหรินฉางเซี่ยนั่งรอสักพัก ขณะที่เขาไปที่โรงอาหารเพื่อยกอาหารมา
ในไม่ช้า เขาและพ่อครัวหลิวก็นำหัวปลาหม้อไฟมาเสิร์ฟ พร้อมกับอาหารอีกสามจานและถั่วลิสงคั่วอีกหนึ่งจาน
พวกเขายังนำเหล้าเหมาไถสองขวดมาด้วย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหรินฉางเซี่ยก็ยิ้มและพูดว่า “นี่กะไม่เมาไม่กลับใช่ไหม ! ”
เขาพยักหน้า “อ้อ” ด้วยความสงสัยและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ภรรยาของคุณและชานชานไม่อยู่ ไม่แปลกใจเลยที่คุณกล้าดื่มอย่างอิสระแบบนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋เทเหล้าแล้วพูดว่า “ทั้งสองอยู่ที่เจี้ยนหยาง วันนี้ผมไม่กลับไปที่เจียงวาน ดังนั้นผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณเอง”
เหรินฉางเซี่ยไม่เกรงใจเขาเช่นกัน เขามองหัวปลาหม้อไฟแล้วพูดว่า “อาหารดี ๆ แบบนี้ ขอฉันกินข้าวสองสามชามก่อน แล้วเราจะค่อยคุยกันเรื่องของคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ไม่กินข้าวเที่ยงมาอีกแล้วสินะ ! ”
เหรินฉางเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ในสายงานของเรา การข้ามมื้อเที่ยงไปเป็นเรื่องปกติ”
จากนั้น เขาก็เริ่มกินอาหารอย่างเต็มที่
หลังจากกินข้าวไปสองชามเสร็จแล้ว เขาก็พูดว่า “เอาล่ะ พูดเรื่องสำคัญของคุณมาได้เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ก็เรื่องพนักงานขับรถบรรทุกนั่นแหละครับ”
เมื่อเหรินฉางเซี่ยมาถึง เขาเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่หลายสิบคันจอดอยู่ในลานจอดรถ เขาไม่แปลกใจเลยที่เจียงเสี่ยวไป๋จะขอพนักงานขับรถจากเขา
เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฉันได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อหาคนให้กับคุณ นอกจากคนที่จัดโดยผู้บัญชาการกองร้อยเก่าแล้ว ฉันทำอะไรไม่ได้มาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รีบร้อนและยกแก้วขึ้น “ผมต้องขอบคุณสำหรับความพยายามของคุณ มาดื่มกันเถอะ”
พวกเขาชนแก้วและดื่มกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ผมอยากตั้งโรงเรียนสอนขับรถ ! ”
เหรินฉางเซี่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไป และมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความเหลือเชื่อ
ต้องรู้ว่าช่วงก่อนปี 1980 ยานยนต์ทั้งหมดถือเป็นของรัฐบาล และบุคคลธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัว นอกจากนี้ การเรียนขับรถในสมัยนั้นสามารถทำได้โดยการฝึกกับใครสักคนในที่ทำงานของคุณที่ขับรถเป็นเท่านั้น อีกทั้งโควตารายชื่อของใบขับขี่ก็มีอยู่อย่างจำกัด ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีจึงแล้วเสร็จ
การได้รับใบอนุญาตขับขี่ที่ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและผ่านการทดสอบคุณสมบัติโดยรัฐบาลจึงจะมีสิทธิ์สมัครได้
นอกจากนี้ ยังต้องใช้จดหมายแนะนำจากหน่วยงานอีกด้วย หากใครไม่มีการจ้างงานอย่างเป็นทางการก็จะไม่สามารถยื่นขอใบขับขี่ส่วนบุคคลได้
จนกระทั่งช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 80 ข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวเริ่มผ่อนปรนลง
โรงเรียนสอนขับรถเอกชนสำหรับพลเรือนยังไม่ปรากฏให้เห็น จนกระทั่งช่วงปี 1990
ในช่วงปี 1990 ประเทศจีนได้เปิดตัวใบขับขี่รุ่นแรก ในเวลานั้น ผู้ขับขี่จะต้องลงทะเบียนสอบที่สำนักงานขนส่ง และสำนักงานขนส่งจะประทับตราในใบอนุญาตให้
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจและพูดว่า “ผมรับสมัครพนักงานขับรถได้ไม่พอ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับสมัครและฝึกฝนพวกเขาด้วยตัวเอง”
“ผมมีคนขับและมีรถพร้อม แต่หลังจากที่พวกเขาเรียนขับรถเป็นแล้ว พวกเขาต้องการใบขับขี่จึงจะสามารถขับรถได้ ดังนั้นผมจึงมาหารือเรื่องนี้กับคุณ”
เหรินฉางเซี่ยมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างครุ่นคิด
ต้องชมเลยว่าวิธีการที่เจียงเสี่ยวไป๋เสนอมาสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานขับรถได้ แต่เรื่องนี้เกินอำนาจของเขา
ไม่สิ มันเกินความเข้าใจของเขาด้วย
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนสอนขับรถด้วยซ้ำ
“โอ้ นี่เป็นเรื่องฉันไม่คาดคิดมาก่อน ! ”
เหรินฉางเซี่ยหมุนแก้วในมือของเขาแล้วถอนหายใจออกมา “ความคิดของคุณยอดเยี่ยมมาก แต่ฉันไม่มีอำนาจพอ”
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ท้ายที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในประเทศ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงในพื้นที่ระดับเมืองอย่างชิงโจวเลย
“อธิบดีเหริน คุณเองก็น่าจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้การควบคุมของสำนักงานขนส่งไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
เหรินฉางเซี่ยพยักหน้า แม้ว่ารัฐจะไม่ได้ผ่อนคลายนโยบายเกี่ยวกับการจัดการยานยนต์อย่างชัดเจน แต่ก็ผ่อนปรนลงมาก
มิฉะนั้นเจียงเสี่ยวไป๋คงไม่สามารถซื้อรถจี๊ปได้
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่อว่า “ผมคาดการณ์ว่าอย่างมากที่สุดในอีก 1 ปี จะมีการเปิดกว้างในการครอบครองยานยนต์มากขึ้น”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ
จากความทรงจำในชาติก่อนของเขา ในปี 1984 มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อซุนกุ้ยอิง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘เจ้าแม่ฟาร์มไก่’ ในเขตฉางผิงเหนือ เธอซื้อรถโตโยต้ามือสอง และในเวลานั้น การซื้อรถของเธอค่อนข้างเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เธอและครอบครัวถ่ายรูปข้างรถและได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วย โดยอ้างว่าเป็นครอบครัวในชนบทครอบครัวแรกในประเทศที่ซื้อรถเก๋ง
ในปี 1986 นับเป็นครั้งแรกที่สำนักงานขนส่งของสำนักจัดการจราจรเทียนจินได้แยกจดทะเบียนรถเก๋งส่วนตัวเป็นหมวดหมู่แยก และมีรถยนต์ส่วนตัวทั้งหมด 1,789 คันในช่วงเวลานั้น
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถบอกเรื่องนี้ให้เหรินฉางเซี่ยรู้ได้
เหรินฉางเซี่ยเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเจียงเสี่ยวไป๋มาโดยตลอด เขากล่าวว่า “ฉันเชื่อในการวิเคราะห์ของคุณ แต่ฉันไม่สามารถตัดสินใจเรื่องตั้งโรงเรียนสอนขับรถที่คุณพูดถึงได้จริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แผนกจัดการยานพาหนะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของคุณใช่ไหม”
เหรินฉางเซี่ยมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ผมสามารถร่วมมือกับกองบังคัญการจราจรของคุณเพื่อร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนสอนขับรถ ผมจะดูแลการลงทุน การลงทะเบียน และการสอน ในขณะที่กองบังคัญการจราจรสามารถจัดการทดสอบและออกใบขับขี่หลังจากที่สอบผ่าน”