ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 298 คำโน้มน้าวของเฝิงเยี่ยนหง
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 298 คำโน้มน้าวของเฝิงเยี่ยนหง
ตอนที่ 298 :คำโน้มน้าวของเฝิงเยี่ยนหง
เฝิงเยี่ยนหงโน้มน้าวเฝิงเจียเหออยู่นาน แต่เฝิงเจียเหอกลับไม่มีท่าทีจะยอม
ในตอนนี้เอง เว่ยเหวินเจินยกผัดแครอทและไข่คนมะเขือเทศมาวางบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอาหารดี ๆ ต้อนรับเลย หวังผิง เยี่ยนหง พวกเธอกินข้าวก่อนนะ”
“ลำบากพี่สะใภ้แล้ว พี่เองก็นั่งลงกินด้วยกันเถอะ” หวังผิงพูดอย่างเกรงใจ
เว่ยเหวินเจินนั่งลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอกำลังคุยอะไรกันล่ะ ? ”
เฝิงเจาหลงแย่งพูดขึ้นว่า “แม่ อาเยี่ยนหงกำลังโน้มน้าวให้พ่อเปลี่ยนงาน แต่พ่อไม่ยอม”
เว่ยเหวินเจินหันไปถามเฝิงเยี่ยนหงด้วยความงุนงง “มันเรื่องอะไรกันหรือ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เว่ยเหวินเจินเองก็พูดว่า “เงินเดือนพอกัน ไม่ต้องลาออกหรอก อีกอย่างการขับรถบรรทุกลำบากกว่ารถแทรคเตอร์เสียอีก ทั้งต้องขับทางไกลและกลับบ้านไม่ได้หลายวัน”
เฝิงเยี่ยนหงพูดอย่างร้อนใจว่า “ไม่ต่างกันตรงไหน ? ตอนนี้ขั้นเงินเดือนของพี่ใหญ่ตันยังไม่ถึง 100 หยวน แต่หากรับงานพาร์ทไทม์ในบริษัทโลจิสติกส์ด้วย เงินเดือนพื้นฐานเพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 200 หยวน ซึ่งเพิ่มจากรายได้เดิมเป็นสองเท่า ไม่ต้องพูดถึงค่าคอมมิชชั่น”
เว่ยเหวินเจินกล่าวว่า “ค่าคอมมิชชั่นอะไรนั่นก็แค่คำพูดลม ๆ จะได้สักเท่าไหร่กันเชียว ? ”
เฝิงเยี่ยนหงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เสี่ยวไป๋บอกว่าถ้าทำได้ดี ค่าคอมมิชชั่นอาจได้มากกว่าเงินเดือนไป 10-20 เท่าหรืออาจมากกว่านั้น”
เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินต่างตกใจ 10 เท่าของเงิน 200 หยวนก็ 2,000 หยวนแล้ว ส่วน 20 เท่าก็เท่ากับ 4,000 หยวน
มันมากเกินไปหรือเปล่า !
เว่ยเหวินเจินได้ยินสิ่งนี้ เธอก็เริ่มสนใจจึงถามว่า “เยี่ยนหง ที่เธอพูดกับพี่มันคือเรื่องจริงใช่ไหม ? ”
เฝิงเยี่ยนหงหัวเราะ “พี่สะใภ้ ฉันจะหลอกพี่ชายแท้ ๆ ของฉันได้อย่างไร ? ”
เว่ยเหวินเจินคิดดูแล้วมันก็จริง เพราะเธอเชื่อมั่นในนิสัยของเฝิงเยี่ยนหง
เฝิงเยี่ยนหงเห็นว่าพี่สะใภ้เริ่มสนใจแล้ว จึงถือโอกาสนี้พูดโน้มน้าวต่อ “พี่สะใภ้เชื่อฉัน ให้พี่ใหญ่ทำงานกับพี่เจียงเสี่ยวไป๋ รับรองเลยว่าเขาจะมีรายได้มหาศาลแน่นอน ! ”
เว่ยเหวินเจินและเฝิงเจียเหอมองหน้ากัน เฝิงเจียเหอมองน้องสาวแล้วกล่าวว่า “เยี่ยนหง ไม่ใช่ว่าพี่เรื่องมากนะ แต่พี่ขอถามเธอหน่อย เธอเองก็ทำธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋มาหลายเดือนแล้ว พวกเธอได้ส่วนแบ่งเท่าไรหรือ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ แต่ละเดือนฉันได้ส่วนแบ่งหลายหมื่นหยวนอยู่เหมือนกัน ! ”
ที่จริงเดือนที่แล้วเธอได้รับส่วนแบ่งมาแสนกว่าหยวน แต่เธอไม่กล้าพูดจำนวนตัวเลขที่มากเกินไป เพราะกลัวจะทำให้พี่ชายและพี่สะใภ้ตกใจ ดังนั้นเธอจึงพูดให้มันน้อยลงเล็กน้อย
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกตะลึงไม่ได้
เขาสองคนกับภรรยาทำงานมาหลายปีขนาดนี้ แต่ก็ยังมีเงินเก็บรวมกันได้ไม่ถึง 7,000 หยวน ไม่คิดเลยว่าน้องสาวของเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากธุรกิจแค่เดือนเดียวก็หลายหมื่นหยวนแล้ว
นี่มันต่างกันเกินไปแล้ว !
เว่ยเหวินเจินพูดด้วยความตกใจว่า “งั้นพวกเธอก็มีเงินเก็บเป็นแสนหยวนแล้วน่ะสิ ? พระเจ้าช่วย ! ”
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวอย่างเก้อเขินว่า “เงินเก็บไม่ได้มีมากขนาดนั้น เพราะฉันกับหวังผิงเอาเงินไปซื้อบ้านไว้บางส่วน”
“ซื้อบ้าน ? ”
เฝิงเจียเหอตกตะลึง “แล้วซื้อไปกี่หลังแล้ว ? ”
เฝิงเยี่ยนหงลังเลเล็กน้อย เพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะบอกพี่ชายดีหรือไม่
แต่หนูน้อยหวังกังที่อยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้นว่า “แม่เคยบอกว่าเธอซื้อบ้านหลังที่ 42 แล้ว ! ”
ห๊ะ ?
เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินต่างหันขวับไปมองหนูน้อยหวังกังด้วยความตกตะลึง
เฝิงเยี่ยนหงไม่คิดว่าลูกชายจะปากไวขนาดนี้ เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “ลูกอย่าพูดจาซี้ซั้วสิ”
หวังกังแย้งกลับว่า “ผมไม่ได้พูดจาซี้ซั้ว ตอนที่แม่บอกกับพ่อ ผมได้ยินนะ”
เฝิงเจียเหอหันกลับไปถามเฝิงเยี่ยนหงว่า “ที่เสี่ยวกังพูดเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ? ”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เฝิงเยี่ยนหงจึงต้องพยักหน้ายอมรับ
เฝิงเจียเหอตกใจมาก เขาจึงถามว่า “แล้วเธอซื้อบ้านไปทำไมหลายหลัง ? ”
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวว่า “พี่เสี่ยวไป๋บอกว่าการฝากเงินไว้ในธนาคารจะทำให้เงินอ่อนค่าลง จึงแนะนำให้ฉันลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฉันก็เลยซื้อไว้บางส่วน”
เดิมที เจียงเสี่ยวไป๋ยังเคยบอกอีกว่าหากหวังผิงยินดี ก็สามารถร่วมลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ของเขาได้ แต่หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงปรึกษากันแล้ว ทั้งสองคิดว่าตอนนี้เงินปันผลที่ได้รับในแต่ละเดือนก็มีมากพอแล้ว อีกทั้งตอนนี้ทั้งคู่กำลังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ร่วมลงทุนในโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองกับโรงงานที่เจี้ยนหยางกับเจียงเสี่ยวไป๋
เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินทั้งตกใจและตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าครอบครัวของน้องเขยที่แต่เดิมมีฐานะเทียบพวกเขาไม่ได้ แต่พอทำธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว แค่ไม่กี่เดือนก็กลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวย
“คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้พวกเธอจะมีเงินเยอะขนาดนี้แล้ว ! ”
เฝิงเจียเหอมองดูน้องสาวกับน้องเขย และพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวว่า “ดังนั้นฉันถึงได้มาคุยกับพี่ไง ทำงานกับพี่เจียงเสี่ยวไป๋ทำให้เรามีเงินมากมายจริง ๆ นะ”
เฝิงเจียเหอพูดว่า: “แต่……พี่ไม่เหมือนกับพวกเธอ พี่มีงานทำแล้ว”
เฝิงเยี่ยนหงได้ยินแบบนั้นจึงเสนอว่า “พี่ ไม่อย่างนั้นพี่ก็พักงานชั่วคราวแบบไม่รับเงินเดือนก็ได้ ! ”
พักงานชั่วคราวแบบไม่รับเงินเดือน !
เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินตาเป็นประกาย พวกเขารู้นโยบายนี้ดี นโยบายนี้เพิ่งออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน เพียงแต่พวกเขาแค่ไม่คิดว่าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ใช้นโยบายนี้
“เจียเหอ ฉันคิดว่าคำแนะนำของเยี่ยนหงก็ไม่เลวเหมือนกัน ! ”
เว่ยเหวินเจินดูตื่นเต้นราวกับได้เห็นเส้นทางแห่งดวงดาว
เฝิงเจียเหอรู้สึกสนใจเช่นกัน เดิมทีในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาดูเหมือนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดแล้ว เพราะเขาและภรรยาต่างก็มีงานทำทั้งคู่ อีกทั้งเขายังเป็นรองหัวหน้าสถานีรถแทรคเตอร์ ถือได้ว่าเป็นที่อิจฉาของญาติพี่น้องในชีหลี่ผิงไม่น้อย ซึ่งเขาเองก็รู้สึกพอใจเหมือนกัน
แต่หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่เจ็บปวด เมื่อรู้ฐานะในปัจจุบันของครอบครัวน้องเขย เขาคิดว่าความสำเร็จของตนเองดูเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ
“แม่เจ้า เจียงเสี่ยวไป๋จะยังรับคนเพิ่มหรือ ? ” เฝิงเจียเหอถามอย่างเป็นกังวล
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมจะไม่รับล่ะ ? ตอนนี้เขาซื้อรถบรรทุกเทียนจิง 140 มา 65 คันแล้ว ที่ขาดก็คือพนักงานขับนี่แหละ”
เฝิงเจียเหอและเว่ยเหวินเจินตกตะลึงอีกครั้ง การจะซื้อรถบรรทุกเทียนจิง 140 มากถึง 65 คันต้องใช้เงิน 3 ล้านกว่าหยวนเลยนะ !
นึกถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เขาและหวังผิงไปช่วยลากมันฝรั่งและฟักเขียวจากเจียงวานเข้ามาในเมือง ตอนนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เพียงแต่ให้ค่ารถเท่านั้น แต่ยังให้บุหรี่เขาด้วย……
ตอนนั้นเขายังพูดกับหวังผิงว่า “ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของนายใช้ได้เลย ! ”
เป็นดั่งสำนวนไม่มีผิด เจียงเสี่ยวไป๋ได้กลายเป็นปลากระโดดเข้าประตูมังกรไปแล้ว เขากลายเป็นคนที่มากความสามารถและร่ำรวยเงินทองอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นไม่นาน เฝิงเจียเหอกล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ ถ้าเขายังรับสมัคร ฉันก็จะพักงานแบบไม่รับเงินเดือนไว้ก่อน”
เฝิงเยี่ยนหงพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว แล้วพูดว่า “งั้นพี่รีบไปหน่อยนะ พรุ่งนี้เขาจะไปเจี้ยนหยาง”
“ได้ ! เดี๋ยวฉันจะไปแต่เช้าเลย ! ”
เฝิงเจียเหอดูมีความสุขมาก เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “มา หวังผิง เรามาดื่มกันเถอะ ตอนนี้นายกลายเป็นเศรษฐีแล้วนะ”
หวังผิงจะรับก็ไม่รับ จะปฏิเสธก็ไม่เชิง เขาหันไปมองภรรยาด้วยสีหน้าเก้อเขิน
ตอนนี้เฝิงเยี่ยนหงดีใจมากที่โน้มน้าวพี่ชายสำเร็จ เธอจึงพูดว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่ให้ดื่ม งั้นคุณก็ดื่มกับเขาหน่อยเถอะ”
หวังผิงดีใจมาก จึงพูดขึ้นทันทีว่า “รับประกันเลยว่าผมจะไม่ดื่มจนเมาแน่นอน”
ทางด้านนี้ หวังผิงและเฝิงเจียเหอกำลังดื่มเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับบ้านและกำลังทานอาหารเย็นเช่นกัน
“อาสะใภ้สามกับเสี่ยวเฟิ่งเป็นอย่างไรบ้าง ? ” เจียงไห่หยางจิบเหล้าแล้วเอ่ยถาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พวกเธอสบายดีครับ พ่อไม่ต้องกังวล”
เจียงไห่หยางจึงพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ก็อย่าให้พวกเธอสองคนแม่ลูกทำงานหนักเลย ดูแลพวกเธอให้มาก ๆ เพราะเรื่องนั้นมันกระทบกระเทือนจิตใจของพวกเธอไม่น้อย”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ “ผมรู้”
หลินเจียอินที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง วัน ๆ คุณไม่เข้าร้าน จะไปรู้ได้อย่างไร”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดขึ้นว่า “ได้ ๆ คุณควรจัดการ เพราะคุณคือผู้จัดการของร้าน”
“ชิ ! ”
หลินเจียอินกลอกตาใส่เขา “อย่าคิดว่าคุณจะตีเนียน แล้วฉันจะไม่พูดเรื่องของคุณนะ”
จากนั้น เธอก็หันไปพูดกับเจียงไห่หยางว่า “พ่อ หนูคิดว่าจะส่งชานชานเข้าโรงเรียนอนุบาลตอนเปิดเทอมใหม่นี้”