ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 295 นี่มันความเข้าใจผิดแบบไหนกัน
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 295 นี่มันความเข้าใจผิดแบบไหนกัน
ตอนที่ 295 :นี่มันความเข้าใจผิดแบบไหนกัน?
เรื่องการเข้าโรงเรียนของลูก เจียงเสี่ยวไป๋มีความคิดเป็นของตัวเอง
เขาไม่เห็นด้วยกับการส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็วนัก เขาอยากให้ลูกอยู่ข้างกายเขาและใช้ช่วงเวลาวัยเด็กกับเขา
พ่อแม่หลายคนใช้ข้ออ้างว่าอยากปักธงชัยที่เส้นสตาร์ทให้ลูกจึงส่งลูกไปโรงเรียนเร็ว แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาในการดูแลลูกและเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานมากกว่า
สุดท้ายแล้ว หากให้เลือกระหว่างทำงานหาเงินกับดูแลลูก ๆ พวกเขาย่อมเลือกทำงานหาเงินอยู่แล้ว
แน่นอนว่ายังมีพ่อแม่อีกหลายคนที่ไม่คิดเช่นนั้นด้วย
แต่ความคิดของพวกเขาน่าสงสารมากกว่า
เพราะบางคนส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลเพียงเพราะคิดว่าลูกบ้านอื่นต่างก็เข้าโรงเรียนอนุบาลกันหมดแล้ว ฉะนั้นลูก ๆ ของพวกเขาก็ควรต้องเข้าเรียนได้แล้วเช่นกัน
พวกเขาไม่คิด แค่ทำตามคนอื่นเท่านั้น
เขาคิดว่าหลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงก็น่าจะเป็นแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“ที่จริงผมคิดว่าลูกเราไม่ต้องไปโรงเรียนเร็วขนาดนั้นก็ได้ เพราะพวกเขามีช่วยวัยเด็กแค่ช่วงเดียว และในวัยเด็กแบบนี้ เราควรปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลโดยไม่ต้องกดดันเรื่องการเรียน”
“เมื่อเทียบกับเวลาที่เด็กคนหนึ่งจะต้องใช้ไปกับการเรียนแล้ว พวกเขาต้องใช้เวลาเรียนชั้นประถมรวมอนุบาล 7 ปี ชั้นมัธยมต้น 3 ปี มัธยมปลาย 3 ปี มหาวิทยาลัย 4 ปี รวมทั้งหมดเป็น 17 ปี”
“ส่วนช่วงวัยเด็กของพวกเขา ดูเหมือนแทบจะไม่มีความทรงจำในช่วง 3 ขวบปีแรกเลย พออายุ 6 ขวบก็ต้องเข้าเรียนแล้ว”
“ครั้งเดียวที่พวกเขาสามารถเล่นได้อย่างมีความสุขได้จริง ๆ คือเมื่อพวกเขาอายุได้ 4-5 ขวบเท่านั้น”
“เวลาเล่นแค่ 2 ปีนั้นสั้นมากเมื่อเทียบกับที่พวกเขาต้องเรียน 17 ปี ! ”
นี่มันความเข้าใจผิดแบบไหนกันนะ ?
หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงได้ยินก็ตะลึงไปตาม ๆ กัน
“หรือว่าเด็กไม่ควรเข้าโรงเรียนเร็ว ? ” หลินเจียอินถามย้อนอย่างไม่ยอม
“นั่นน่ะสิ การที่เด็ก ๆ เข้าเรียนเร็ว พวกเขาก็จะได้เรียนความรู้มากมาย มันดีกับอนาคตของพวกเขานะ” เฝิงเยี่ยนหงช่วยแย้งเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “แน่นอนว่าเด็ก ๆ ควรไปโรงเรียนเมื่อถึงวัยเรียนตามกฎหมาย แต่ไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนก่อนวัย”
หลังจากพูดจบ เขายังกล่าวเสริมว่า “ในเมื่อกฎหมายกำหนดว่าเด็กควรเริ่มเรียนหนังสือเมื่ออายุ 6 ขวบ แสดงว่าทางการเขาต้องพิจารณาอย่างครอบคลุมแล้วว่าวัยนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการไปโรงเรียน”
“ช่างเถอะ ฉันเถียงสู้คุณไม่ได้ ! ” หลินเจียอินพูดอย่างโมโห “กลับบ้านไปแล้ว ฉันจะพูดกับพ่อแม่ ดูสิว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ภรรยาของเขานี่ร้ายนัก เธอคิดแผนการแบบนี้มาได้อย่างไร
ไม่จำเป็นต้องถามว่าพ่อแม่คิดอย่างไร เพราะพวกเขาจะต้องสนับสนุนให้ส่งชานชานไปโรงเรียนอนุบาลอย่างแน่นอน
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็อับจนหนทางจะพูดโน้มน้าวหลินเจียอินแล้ว
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงาน ตอนแรกเขากะจะโทรหาพ่อตาเพื่อถามว่าโทรหาเขามีธุระอะไร แต่พอคิดดูแล้วก็ช่างมันดีกว่า
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน พ่อตาของเขาน่าจะไปกินข้าวกลางวันแล้ว
เขาหวังแค่ว่าพ่อตาจะโทรกลับหาเขาเร็ว ๆ เพราะไม่อย่างนั้นหากเขากลับบ้านในตอนเย็น เขาก็คงรับสายไม่ได้อยู่ดี
แต่ยังดีที่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วง 14.00 น. หลินต้าเหว่ยก็ได้โทรมาหาเขาพอดี
“พ่อ พ่อโทรหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า ? ”
หลินต้าเหว่ยดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับคำถามของเขา “ไม่มีธุระแล้วโทรหาไม่ได้หรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่อย่างนั้น ๆ พ่อสามารถโทรหาผมได้ตลอด แต่ทุกทีพ่อก็จะโทรมาเฉพาะตอนมีธุระเท่านั้น ! ”
หลินต้าเหว่ยทำเสียงฮึดฮัด “เราก็ไม่ต่างกันหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เขาจึงพูดขอโทษว่า “พ่อ ผมผิดเอง ต่อไปนี้ผมจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่บ่อย ๆ แล้ว ! ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลินต้าเหว่ยดีใจมาก “ให้มันได้แบบนี้สิ แม่ของพวกลูกบ่นอยู่หลายครั้งว่าพวกลูกไม่ได้มาเยี่ยมเธอนานมากแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอโทษอีกครั้ง “อีก 2-3 วันผมจะไปเที่ยวหานะครับ”
หลินต้าเหว่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะอย่างชอบใจ “ไม่ต้องอีก 2-3 วันหรอก มาพรุ่งนี้เลย เพราะรถบรรทุกที่ลูกต้องการมาถึงแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก ในใจเขาคิดว่าพ่อตาของเขาช่างมีเครือข่ายกว้างขวางจริง ๆ เพราะเขาขออนุมัติรถบรรทุก 10 คันในนามของโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมจินเคอ แต่กลับได้รถเร็วกว่าของรองนายกเทศมนตรีจางเสียอีก
“แต่มีแค่ 5 คันเท่านั้นนะ ! ”
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลินต้าเหว่ยก็พูดมาอีกประโยคหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างขมขื่น เพราะเขาต้องการ 10 คัน แต่รถได้มาแค่ 5 คันเท่านั้น มันหายไปครึ่งหนึ่งเลยนะ
“พ่อ ทำไมถึงได้มาแค่ 5 คันล่ะ ? ”
หลินต้าเหว่ย: “เดิมทีอนุมัติได้ 10 คันนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ รถก็ถูกโยกย้ายออกไป 5 คัน”
ห๊ะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงทันที
ถูกโยกย้ายออกไป ? นั่นหมายความว่ารถบรรทุกที่เดิมทีเป็นของเจี้ยนหยาง 5 คันได้ถูกโยกย้ายมาที่ชิงโจวแล้วใช่ไหม ?
เพราะคราวก่อน รองนายกเทศมนตรีจางบอกว่ารอบนี้เขาอนุมัติได้ 60 คัน ทั้งยังไประดมขอโยกย้ายมาจากเขตอำเภอรอบนอกและเมืองอื่น ๆ ด้วย
นี่มันไม่ต่างอะไรจากการออกจากมือซ้ายมาเข้ามือขวาเลย
เขาจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปขับรถออกไป”
“ขับออกไป ? ” หลินต้าเหว่ยรีบถามต่อทันที: “มันคือรถบรรทุกของโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอไม่ใช่หรือ ? จะขับไปไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “เรื่องนี้ไว้คุยกันตอนเจอกันดีกว่าครับ ค่าโทรศัพท์มันแพง”
พูดจบเขาก็รีบวางสายทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าพ่อตาของเขาจะเป็นคนที่ตั้งใจฟังคำพูดของคู่สนทนาขนาดนี้ เขาแค่พูดคำว่า ‘ขับออกไป’ คำเดียวก็ทำให้พ่อตาจับพิรุธได้แล้ว
เพราะเขายังไม่ได้บอกพ่อตาเรื่องการเปิดบริษัทโลจิสติกส์ และการจัดการใช้รถในนามของบริษัทโลจิสติกส์
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดกับหลินเจียอินว่า “เมียจ๋า ผมจะไปดูโรงงานฟิล์มพลาสติกหน่อยนะ”
หลินเจียอินมุ่ยปาก “คุณอยากไปก็ไปสิ”
เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงโกรธที่เขาไม่ให้ลูกสาวเข้าโรงเรียนอนุบาลในตอนนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เฮ้อ คืนนี้ค่อยกลับไปโน้มน้าวเธอที่ห้องแล้วกัน !
เมื่อมาถึงโรงงานฟิล์มพลาสติก เขาก็ไปที่ห้องทำงานของเมิ่งเสี่ยวเป่ย แต่แล้วเขาก็บังเอิญพบเฉินอันผิงที่โถงทางเดินพอดี
“สวัสดีครับผู้ช่วยเจียง ! ”
เฉินอันผิงเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มทันที
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ แล้วถามว่า “คุณกลับมาเมื่อไร ? ”
เฉินอันผิงยิ้มตอบ “กลับมาถึงเมื่อวานตอนบ่ายครับ เมื่อเช้านี้ผมเขียนรายงานที่ไปออกนอกพื้นที่มา กำลังเตรียมนำไปส่งให้รองผู้จัดการเมิ่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พอดีเลย ฉันกำลังจะไปหาเธออยู่เหมือนกัน”
เฉินอันผิงพยักหน้ารับ เขาเปิดแฟ้มในมือแล้วหยิบรายงานที่เขียนออกมา พลางพูดว่า “ผู้ช่วยเจียง คุณอ่านดูก่อนสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋อยากรู้สถานการณ์ที่พวกเขาออกนอกพื้นที่ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงโบกมือปฏิเสธ “ให้รองผู้จัดการเมิ่งอ่านก่อน แล้วค่อยเล่าสถานการ์คร่าว ๆ ให้ฉันฟังทีหลังก็ได้”
“ครับ งั้นรอให้คุณคุยธุระกับรองผู้จัดการเมิ่งเสร็จแล้ว คุณไปที่ห้องทำงานผมนะ ผมจะรายงานให้ฟังอย่างละเอียดเลยครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีห้องทำงานส่วนตัวที่โรงงานฟิล์มพลาสติก เขาจึงพยักหน้ารับ
ทั้งสองมาถึงประตูห้องทำงานของเมิ่งเสี่ยวเป่ยแล้ว เฉินอันผิงก็ก้าวไปเคาะประตู
“เชิญเข้ามาค่ะ ! ”
เสียงใสไพเราะราวกับเสียงนกขมิ้นดังมาจากในห้องทำงาน
ทั้งสองผลักประตูเดินเข้าไป เมิ่งเสี่ยวเป่ยเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นเจียงเสี่ยวไป๋และเฉินอันผิงเดินเข้ามาด้วยกัน เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้ช่วยเจียงมีตาลับอยู่ในโรงงานแน่ ๆ พอหัวหน้าเฉินกลับมา คุณก็มาทันที”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ผู้หญิงคนนี้ถึงกับคุยล้อเล่นกับเขาแล้ว
ไม่เลว อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้มองเขาเป็นคนนอก
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นรองผู้จัดการเมิ่งก็ต้องระวังแล้ว อย่าให้ฉันเห็นในสิ่งที่ฉันไม่ควรเห็นเข้าล่ะ”
“ผู้ช่วยเจียงล้อฉันเล่นแล้ว”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยหน้าแดง เธอไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะพูดล้อเล่นเก่งแบบนี้ จากนั้นเธอก็รีบเชิญให้ทั้งสองนั่งลง แล้วไปต้มชามาให้
คราวนี้แก้วชาที่ใช้ไม่ใช่แก้วกระดาษใช้แล้วทิ้งจากโรงพิมพ์ของสำนักข่าวรายวันแล้ว
แต่ใช้เป็นถ้วยชาพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแทน
เจียงเสี่ยวไป๋ประหลาดใจ ไม่คิดว่าโรงงานจะผลิตแก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่นี่หลายวันแล้วก็ตาม
หวังชิ่งซีทำงานได้รวดเร็วดีมาก !
ในขณะที่กำลังรู้สึกทึ่งอยู่ในใจนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าใบชาที่เมิ่งเสี่ยวเป่ยนำมาต้มคือใบชาหลงจิ่ง ทำให้เขาตกตะลึงอีกครั้ง