ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 294 ลูกสาวขี้อ้อน
ตอนที่ 294 :ลูกสาวขี้อ้อน
เมนูอาหารกลางวันวันนี้คือ: ข้าวต้มหัวปลาเสฉวน ผัดไก่กังเปา ผัดผักโขม ผักดองผัดพริกแห้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฝิงเยี่ยนหงและเฉินซินได้กินข้าวต้มหัวปลาเสฉวน พวกเธอกินไปต่างก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก
อาจเป็นเพราะท้องอยู่ หรือไม่ก็เป็นเพราะเพิ่งกินข้าวต้มหัวปลาเสฉวนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้หลินเจียอินชอบเมนูผักดองผัดพริกแห้งมากกว่า
“ผักดองนี้อร่อยมาก พรุ่งนี้ฉันจะกินอีก”
เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมไม่ปฏิเสธคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้อยู่แล้ว เขาหันไปพูดกับพ่อครัวหลิวว่า “พ่อครัวหลิว พรุ่งนี้ทำเมนูผักดองอีกนะ ! ”
“ได้ ! ”
พ่อครัวหลิวตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอวดว่า “พ่อครัวหลิวเอาผักดองนี้มาจากบ้านของเขาเองเลยนะ ไม่มีขายในตลาด”
หลินเจียอินพูดชมจากใจ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงอร่อยขนาดนี้ ที่แท้เป็นผักดองฝีมือพ่อครัวหลิวนี่เอง ! ”
พ่อครัวหลิวรีบโบกมือปฏิเสธทันควัน “ผักดองนี้ไม่ใช่ฝีมือผมหรอก แต่เป็นหลานสาวของผมต่างหาก ถ้าผู้จัดการหลินชอบกิน ผมจะผัดให้กินบ่อย ๆ ได้ครับ”
“งั้นฉันต้องขอบคุณพ่อครัวหลิวมาก ๆ เลยนะ ! ”
หลินเจียอินกล่าวอย่างมีความสุข
เธอตั้งท้องแล้ว ตอนนี้อยากกินแต่ของเปรี้ยว แถมผัดผักดองนี้ยังอร่อยกว่าข้าวต้มหัวปลาเสฉวนและกุ้งนึ่งเสียอีก
เฝิงเยี่ยนหงเอ่ยชมเช่นกัน “ผักดองนี้อร่อยมากจริง ๆ พ่อครัวหลิว พรุ่งนี้เอามาเยอะหน่อยได้ไหม ฉันอยากซื้อสักหน่อย”
พ่อครัวหลิวไม่คิดว่าจะมีคนอยากซื้อผักดองจริง ๆ เขาทั้งดีใจและเป็นกังวล “ผู้จัดการเฝิง ผักดองที่บ้านของผมเหลือแค่ไม่เท่าไรแล้ว เดี๋ยวผมจะกลับไปบอกให้หลานสาวทำไว้ให้คุณแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยิน ในใจก็คิดว่าภรรยาของเขาชอบกินผักดองมาก งั้นก็ทำเยอะ ๆ หน่อย ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พ่อครัวหลิว คุณไปรับหลานสาวมาที่โรงงาน แล้วให้เธอช่วยทำผักดองให้สักสองสามไห แล้วผมจะให้ค่าจ้างเธอ”
พ่อครัวหลิวมีสีหน้าลำบากใจ เพราะหลานสาวของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองน่ะสิ
หากอยากให้เธอช่วยทำผักดอง ก็ต้องกลับไปรับเธอมาจากชนบท
แถมเขาก็ไม่รู้ว่าเธองานยุ่งไหม มีเวลาว่างมาทำหรือเปล่า
แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเองก็ไม่อยากปฏิเสธ ฉะนั้นเขาจึงต้องฝืนตอบรับไปว่า “ตกลง งั้นวันนี้ผมจะกลับไปคุยกับหลานดู ดูว่าวันไหนเธอพอจะมีเวลามาทำผักดองที่โรงงานได้บ้าง”
เจียงเสี่ยวไป๋นั่งหันหลังให้พ่อครัวหลิว จึงไม่เห็นสีหน้าลำบากใจของพ่อครัวหลิว เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงจึงพูดด้วยความดีใจว่า “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อไหมาหลาย ๆ ใบ จะได้ทำเยอะ ๆ หน่อย”
เฝิงเยี่ยนหงพูดด้วยความดีใจเช่นกัน “เดี๋ยวฉันจะช่วยตอนทำผักดองด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “มีพ่อครัวหลิวคอยช่วยอยู่ เธอไม่ต้องลงมือเองหรอก อ่านหนังสือของเธอไปดีกว่า ผ่านไปสักระยะ ฉันจะมาทดสอบเธอ”
เฝิงเยี่ยนหงทำหน้าทุกข์ระทมขึ้นมาทันที ลูกพี่ลูกน้องของสามีคนนี้ดีหมดทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ชอบบังคับให้เธออ่านหนังสือไปหน่อย
เธออ่านไม่เข้าสมองจริง ๆ
“แม่ตั้งใจเรียนนะ จะได้สอบได้คะแนนดี ๆ ! ”
หวังกังได้ยินคำพูดของลุงแล้ว ก็ให้กำลังใจแม่ของตนเอง
เฝิงเยี่ยนหงถลึงตาใส่หวังกัง ในใจคิดว่าลูกชายของฉันยังไม่ได้เข้าเรียนเลย แต่ฉันกลับต้องมาเรียนหนังสือเองเสียแล้ว !
เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “รอเดือนกันยายนที่โรงเรียนเปิดเทอมเมื่อไร แม่จะส่งลูกไปเรียนหนังสือ ! ”
ห๊ะ !
หวังกังได้ยินแบบนั้นก็ตกใจมากจึงรีบพูดขึ้นว่า “ผมยังเด็ก ผมไม่ไปเรียนหนังสือ ผมจะเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนพี่ชานชาน”
เฝิงเยี่ยนหงเคาะหน้าผากลูกชาย “เด็กอะไรกัน ตอนนี้ลูกอายุ 5 ขวบแล้ว ปีหน้าก็เข้าเรียนประถมได้แล้วด้วยซ้ำ เดี๋ยวปีนี้แม่จะส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาล”
เมื่อก่อนสมัยที่หวังผิงเปิดร้านน้ำชา ครอบครัวของพวกเขาทำเงินได้เพียงเดือนละ 20-30 หยวนเท่านั้น หากส่งลูกชายไปเรียนโรงเรียนอนุบาลก็จะทำให้สถานะทางการเงินของครอบครัวค่อนข้างตึง เธอจึงคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนประถมเลย ถือว่าเรียนก่อนเกณฑ์ไป
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนี้หวังผิงได้รับเงินปันผลจากธุรกิจที่ทำร่วมกับเจียงเสี่ยวไป๋ตกเดือนละ 100,000 หยวน ไหนจะส่วนต่างที่เขาได้จากการซื้อขายกุ้งเครย์ฟิช ทำให้แต่ละเดือนมีรายได้ตกประมาณเดือนละ 200,000 หยวน เธอจึงคิดว่ารอให้โรงเรียนเปิดเทอม เธอจะส่งหวังกังไปเรียนโรงเรียนอนุบาลที่ดีที่สุด
หวังกังถูกตำหนิจึงเอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไร
เจียงชานที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างก็หัวเราะเสียงดัง “หวังกัง เธอมันปากพาซวยจริง ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า……”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นจึงพูดกับลูกสาวว่า “ลูกหัวเราะอะไร ? ถ้าโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ขึ้นมา ลูกก็ต้องไปโรงเรียนอนุบาลเหมือนกัน ไปเรียนที่เดียวกับเสี่ยวกังนั่นแหละ จะได้เป็นเพื่อนกัน”
“ใช่ ใช่แล้ว ! ”
เฝิงเยี่ยนหงพยักหน้าเห็นด้วยไม่หยุด
เจียงชานได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าสลดยิ่งกว่าหวังกังเสียอีก
“ฮ่าฮ่าฮ่า……” หวังกังหัวเราะเช่นกัน “พี่ชานชาน พี่ก็ปากพาซวยเหมือนกัน พวกเราเหมือนกันเลย”
“ฉันไม่อยากเหมือนนายหรอก แต่เราแค่เป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ในวันสิ้นโลกเหมือนกันต่างหาก ! ” เจียงชานพูดด้วยความโมโห
คำพูดของเด็กน้อยทั้งสองต่างทำให้หลินเจียอิน เฝิงเยี่ยนหงและเฉินซินต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หลินเจียอินจึงถามว่า: “ชานชาน เสี่ยวกัง พวกลูกไปเรียนสำบัดสำนวนพวกนี้มาจากไหน ? ”
“ป่าป๊าเป็นคนสอนหนู ! ”
“ลุงเจียงเป็นคนสอนครับ ! ”
เจียงชานและหวังกังตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เวลาที่เขาสอนเด็กน้อยทั้งสองเล่นหมากรุกหรือไม่ก็ตอนเล่นหมากรุกด้วยกัน เขามักจะอธิบายพวกสำนวนให้เด็ก ๆ ฟัง พอพวกเขาซึมซับมันไปเรื่อย ๆ จึงทำให้พวกเขาสามารถจำสำนวนได้ไม่น้อย
เฝิงเยี่ยนหงเห็นแบบนี้จึงพูดด้วยความดีใจว่า “เด็กสองคนนี้ฉลาดมาก สมควรเริ่มเรียนเร็ว ๆ เอาแบบนี้แล้วกัน ให้พวกเขาเริ่มเรียนในเทอมใหม่ที่จะถึงนี้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะลองไปหาดูโรงเรียนอนุบาลว่าที่ไหนดีที่สุด”
หลินเจียอินพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “เดี๋ยวฉันจะไปช่วยหาเอง”
การเรียนของลูกน้อยทั้งสองย่อมเป็นความสุขและความคาดหวังของผู้เป็นแม่
แต่เด็กน้อยทั้งสองคนนี้กลับไม่ยินดีเลยสักนิด
“หม่าม๊าตั้งท้องลูกอีกคนก็เลยไม่รักหนูแล้ว ! ”
เจียงชานมุ่ยปาก พูดอย่างไม่พอใจ
หลังจากพูดจบแล้ว หนูน้อยก็วิ่งไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเขา แขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างกอดคอของเจียงเสี่ยวไป๋เอาไว้ พร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาอย่างแรง “ป่าป๊าดีกับหนูที่สุดแล้ว หนูจะหอมแก้มป่าป๊าคนเดียว ไม่หอมแก้มหม่าม๊า ! ”
ท่าทีเง้างอนของเด็กน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน
ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ใจละลายหมดแล้ว
เจ้าปุยนุ่นของพ่อ ทำเอาพ่อใจละลายหมดแล้ว
หลินเจียอินกลับทำหน้าบึงตึงยิ่งกว่าเดิม เพราะประโยคที่ลูกสาวพูดมันช่างแทงใจเธอเหลือเกิน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘หม่าม๊าตั้งท้องลูกอีกคนก็เลยไม่รักหนูแล้ว’
หวังกังน้อยมองการกระทำของพี่ชานชานก็รู้สึกอิจฉา
เพราะเด็กน้อยก็อยากให้พ่อของเขาอยู่ที่นี่ในตอนนี้เช่นเดียวกัน
“ป่าป๊า พวกหนูไม่ไปโรงเรียนได้ไหม ? ”
“ถ้าหากหนูไปโรงเรียน หนูก็ไม่ได้อยู่กับป่าป๊าน่ะสิ ! ”
“หนูอยากอยู่กับป่าป๊าทุกวันเลย ! ”
หนูน้อยซุกอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร ดวงตากลมโตของเธอคล้ายกับใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มที
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนี้ก็ใจอ่อนทันที “ได้ พวกเราจะไม่ไปโรงเรียน ! ”
หลินเจียอินที่ได้ยินดังนั้นก็โมโหทันที
เธอกลอกตาใส่เจียงเสี่ยวไป๋ แล้วบ่นเขาด้วยความโมโห “เจียงเสี่ยวไป๋ ทำไมคุณถึงตามใจลูกขนาดนี้ ? คุณจะตามใจให้เธอเสียคนเลยหรือไง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินภรรยารักเรียกชื่อเต็มของตัวเองก็สะดุ้ง: แย่แล้ว มัวสนใจแต่จะปลอบลูกสาวจนทำให้ภรรยาโกรธเข้าแล้ว
ถ้าทำให้เธอโกรธขึ้นมา ซี๊ด ! ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าจะจบลงอย่างไร
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้ตามใจ ! ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ! ”
หลินเจียอินพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า “ไม่ตามใจอะไร ? คุณตามใจลูกมากต่างหาก ลูกเราก็โตขนาดนี้แล้ว สมควรที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋แอบเถียงในใจว่า : อายุ 6 ขวบต่างหากถึงจะเป็นวัยที่สมควรเข้าโรงเรียน !
แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา เพราะภรรยาของเขาใหญ่สุดในบ้าน ตัวเขาเองไม่กล้าแม้แต่จะทำให้เธอโมโหด้วยซ้ำ
เฝิงเยี่ยนหงเห็นด้วยกับหลินเจียอินเช่นกัน “พี่ ฉันว่าเรื่องนี้พี่ควรฟังพี่เจียอินนะ การเข้าโรงเรียนเร็วมันดีต่ออนาคตของเด็ก ๆ ! ”