ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 290 ขอให้ไปสู่สุคติ
ตอนที่ 290 :ขอให้ไปสู่สุคติ
เรื่องราวของเจี่ยงจงฉือเป็นที่ถูกกล่าวขานไปทั่วในเมืองชิงโจว ผู้คนนับไม่ถ้วนไปสักการะที่แม่น้ำชิงเจียงและไว้อาลัยให้แก่วีรบุรุษในแบบของตนเอง
เมื่อรู้กำหนดการคืนไว้อาลัยก่อนฝังโลงศพของเจี่ยงจงฉือแล้ว ผู้คนต่างก็พากันไปที่หมู่บ้านอิงซาน
อิงซานเป็นที่ฝังวีรบุรุษของเมือง ไม่ว่าใครต่างก็อยากไปร่วมส่งวีรบุรุษเป็นครั้งสุดท้าย
เจียงไห่โปเป็นคนดูแลเรื่องงานศพของเจี่ยงจงฉือ เมื่อพิจารณาว่าครอบครัวเจี่ยงมีญาติพี่น้องไม่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงจัดพิธีแบบเรียบง่าย ขนาดงานรวมเหล้ายังเตรียมโต๊ะไว้แค่ 20 โต๊ะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ตั้งแต่เที่ยงวันนั้น ได้มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมแสดงความเสียใจกันอย่างต่อเนื่อง
บรรดาผู้ที่มาเห็นบ้านที่ทรุดโทรมของครอบครัวเจี่ยง รวมถึงพ่อเจี่ยงที่แก่ชรา และวังผิงกับลูก ๆ ทั้งสองคนที่ร้องห่มร้องไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ทุกคนต่างรู้สึกสะเทือนใจจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา
ทุกคนต่างมามอบพวงหรีดไว้อาลัยเขา แล้วเขียนรายชื่อมอบน้ำใจที่ห้องโถงไว้ทุกข์
แต่มีน้อยคนนักที่จะอยู่กินอาหารต่อ
ผู้ที่ยังอยู่อาสาช่วยงาน หลังจากเห็นคนมาแสดงความเสียใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมกับผู้ที่ช่วยงานก่อนหน้านี้ ทำให้มีคนอย่างล้นหลาม
ตั้งแต่เที่ยงวันถึงเย็น มีผู้มามอบสินน้ำใจกว่า 2,000 คน
คนหนุ่มสาวไม่มีเงินมาก แต่ก็มาที่นี่เพื่อบอกลา แสดงความเคารพและรำลึกถึงเจี่ยงจงฉือโดยเฉพาะ
เหรินฉางเซี่ยมาแล้ว !
ฟู่เต๋อเจิงมาแล้ว !
เจียงเสี่ยวไป๋ก็มาแล้ว !
เมื่อวานพวกเขามาในนามของหน่วยงาน
แต่วันนี้พวกเขามาร่วมพิธีเป็นการส่วนตัว !
รองนายกเทศมนตรีจางก็มาเช่นกัน เขามาร่วมแสดงความเสียใจและมอบพวงหรีดกับเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวของเจี่ยงจงฉือในนามของเทศบาลเมือง
เจ้าหน้าที่ประจำอำเภอชิงซานและหมู่บ้านอิงซานต่างมาร่วมไว้อาลัยเช่นเดียวกัน
เจิ้งซานเพ่า เถ้าแก่เหมืองหินก็มาร่วมแสดงความเสียใจด้วย
เพื่อนร่วมงานในเหมืองหินก็มาเช่นกัน
สวีฟู่ไฉและลู่ชางซิ่งที่เจี่ยงจงฉือช่วยชีวิตขึ้นมาจากแม่น้ำก็พาครอบครัวมาร่วมแสดงความเสียใจเช่นเดียวกัน
ทั้งสองกล่าวขอโทษเจี่ยงชุ่ยซานไม่หยุด พวกเขาพาคนทั้งครอบครัวมาคำนับศพเจี่ยงจงฉือ
เสียงฆ้อง กลอง และประทัดดังก้องไปทั่วหมู่บ้านอิงซานตลอดทั้งวันทั้งคืน
หมู่บ้านอิงซานไม่เคยมีชีวิตชีวาเหมือนทุกวันนี้ และไม่เคยเศร้าเท่าทุกวันนี้มาก่อน
บางที แม้แต่สวรรค์ก็หลั่งน้ำตาให้กับวีรบุรุษด้วย
กลางดึก ฝนก็เริ่มตกอีก ทว่าฝนตกไม่หนักมาก คล้ายกับฝนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถึงกระนั้นมันก็ช่วยเพิ่มความเศร้าให้กับหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้
เวลาประมาณตีสี่กว่า โลงศพที่บรรจุเสื้อผ้าชุดฤดูหนาวของเจี่ยงจงฉือได้ถูกยกออกมาจากประตูใหญ่ของครอบครัวเจี่ยง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในอำเภอชิงซานหรือบางคนที่เพิ่งมาจากในเมืองชิงโจวต่างพากันมาร่วมไว้อาลัย ทำให้ในหมู่บ้านอิงซานแน่นขนัดไปด้วยผู้ที่มาร่วมส่งวีรบุรุษเจี่ยงจงฉือเป็นครั้งสุดท้าย จากลานรั้วเล็ก ๆ ของบ้านครอบครัวเจี่ยงไปจนถึงสุสาน ถนนทั้งสายเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนเรียงกันเป็นชั้นแล้วชั้นเล่า
ไม่มีใครถือร่ม
ทุกคนเปียกโชกไปด้วยสายฝนอันเย็นเยียบ
มีเพียงโลงศพเท่านั้นที่ถูกผ้าร่มหนาทึบปกคลุมไว้ ป้องกันไม่ให้ฝนตกใส่แม้แต่หยดเดียว
“ขอให้ไปสู่สุคติ ! ”
“ขอให้ไปสู่สุคติ ! ”
“ขอให้ไปสู่สุคติ ! ”
“……”
เมื่อโลงศพเคลื่อนผ่านไป ทุกคนต่างกล่าวอวยพรให้ดวงวิญญาณของเจี่ยงจงฉือไปสู่สุคติ
ฝนตกลงมาใส่ผู้ที่มาร่วมไว้ทุกข์ น้ำตาไหลจากดวงตาของพวกเขาด้วยความอาลัยสู่ดินแดนอันเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวแห่งนี้
ผืนดินชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตาของผู้คน !
ที่ใต้หน้าผาของหมู่บ้านอิงซานแห่งนี้ได้มีหลุมฝังศพเพิ่มมาอีกหนึ่งหลุม
ใต้ผืนดินของอิงซานได้ฝังร่างของวีรบุรุษเอาไว้
ชื่อหมู่บ้านอิงซานนั้น ในที่สุดก็มีผู้สร้างชื่อให้สมญานามชื่อหมู่บ้านที่แปลว่า ‘หุบเขาแห่งวีรบุรุษ’ เสียที
หลังจากที่ทุกคนร่วมส่งวีรบุรุษเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็จากไปอย่างเงียบ ๆ และหมู่บ้านอิงซานก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ไป ชื่อเสียงของหมู่บ้านอิงซานจะไม่เงียบเชียบเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
ทุกคนที่มาจากหมู่บ้านอิงซานสามารถยืดอกพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันคือคนอิงซาน ที่อิงซานมีวีรบุรุษผู้กล้าหาญ เขาคนนั้นมีชื่อว่าเจี่ยงจงฉือ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตรงกลับไปที่ชิงโจว
แม้จะบอกว่าจะหางานให้เจี่ยงชุ่ยซานและวังผิง แต่เขาไม่ได้รีบร้อน
เพราะหลังผ่านพ้นความโศกเศร้านี้ไป เขายังต้องให้เวลาครอบครัวเจี่ยงได้เยียวยาจิตใจตัวเองก่อน
ฝนยังคงตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ฟู่เต๋อเจิงทอดถอนใจ “เสี่ยวไป๋ คุณคิดว่าสวรรค์มีตาหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ฟู่เต๋อเจิงไม่ต้องการคำตอบจากเจียงเสี่ยวไป๋ เขาถามเองตอบเองว่า “หากสวรรค์มีตา ทำไมเราถึงยังหาศพของเขาไม่พบ ? แต่หากสวรรค์ไม่มีตา แล้วทำไมฝนจึงตกมาราวกับฟ้าร้องไห้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เงียบ
เขาคิดว่า สวรรค์จะต้องมีจริงอย่างแน่นอน ! ไม่อย่างนั้นเรื่องที่มันสุดมหัศจรรย์อย่างการกลับมาเกิดใหม่ก็คงไม่เกิดขึ้นกับตัวของเขา
และเขาก็คิดอีกว่า ขนาดตัวเขาเองยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ เจี่ยงจงฉือที่เป็นคนดีขนาดนั้นก็น่าจะกลับมาเกิดใหม่ได้เช่นกัน !
ขณะที่เขากำลังคิดเพลิน ๆ รถก็ขับเข้ามาถึงในเมืองแล้ว
เขาไปส่งฟู่เต๋อเจิงที่สำนักข่าวรายวันแล้ว ก็ไปส่งเหรินฉางเซี่ยที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ
ก่อนลงรถ เหรินฉางเซี่ยได้พูดว่า “ฉันหาคนขับรถบรรทุกเพิ่มให้คุณได้อีก 2-3 คนแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณ เขาพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “พรุ่งนี้เถอะ ให้พวกเขามาหาที่ห้องทำงานของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส”
“อืม ! ”
เหรินฉางเซี่ยรับคำแล้วพูดอีกว่า “คนที่ปลดประจำการจากกองทัพกลับมาถึงชิงโจวแล้วเช่นกัน เดี๋ยวฉันจะให้พวกเขาไปหาคุณพรุ่งนี้”
หลังจากที่ทั้งสองแยกกัน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่ร้านโยวผิ่น
วันนี้ฝนตก จึงทำให้แจกใบปลิวไม่ได้ แต่ร้านก็ยังเปิดทำการปกติ
ในตอนที่เขามาถึง หลี่ลี่ หลี่เจีย หวังฉินและหวังเจี้ยนต่างก็อยู่ที่ร้าน
“พี่เสี่ยวไป๋ ! ”
“พี่ ! ”
“……”
ทั้งสี่คนกล่าวทักทายเขา
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วถามว่า “สถานการณ์เมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่ลี่พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เมื่อวานมีลูกค้ามามากกว่าวันแรก เมื่อวานเราแจกลูกค้าไป 11,000 กว่าถุง ขายออกไปได้ 2,000 กว่าถุง”
ขายได้ 2,000 กว่าถุง นั่นหมายความว่าทำยอดขายได้ประมาณ 600-700 หยวน
เจียงเสี่ยวไป๋ค่อนข้างภูมิใจกับผลลัพธ์นี้ “ลำบากทุกคนแล้ว ! ”
ทั้งสี่คนรีบโบกมือปฏิเสธ และพร้อมใจกันพูดว่าไม่ลำบากเลย
หลี่ลี่พูดว่า “พี่ วันนี้ฝนตก ลูกค้าคงไม่เยอะ พวกเราสี่คนอยู่ที่ร้านก็คงไม่มีอะไรทำ ไม่อย่างนั้นให้ฉันเอาเมล็ดแตงโม 5 รสไปขายที่หน้าโรงหนังดีไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมาก ไม่คิดเลยว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงคนนี้จะมีความคิดดี ๆ เยอะเหมือนกัน
แต่เรื่องขายช่างมันเถอะ
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แทนที่จะขาย ไม่สู้เอาไปแจกดีกว่า เดี๋ยวเธอเอาเมล็ดแตงโมแบบแจกไป 100 ถุงใบปลิว 1,000 ใบไปแจกให้ลูกค้าที่หน้าโรงหนังเพื่อดึงดูดให้พวกเขามาที่ร้านของเรา”
หลี่ลี่ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่ลูกน้องของเธอถึงยอมแจกเมล็ดแตงโมฟรีมากกว่าเอาไปขายหน้าโรงหนัง
แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจ แต่เธอก็ยังคงพูดว่า “เอาล่ะ วันนี้ฉันจะลองดู”
เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมไม่ขัด
ผลิตภัณฑ์แจก 100 ถุงไม่ถือว่าเยอะมาก สามารถใส่ในกระเป๋าใบปลิวได้สบาย หลี่ลี่แพคของแล้วก็นำใบปลิวไปหนึ่งปึก จากนั้นก็กางร่มเดินไปที่โรงหนัง
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปถามอีกสามคนที่เหลือ “พวกเธออยากไปหาที่แจกใบปลิวด้วยไหม ? ”
หลี่เจีย หวังฉิน และหวังเจี้ยนต่างส่ายหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้บังคับเช่นกัน เขาพูดคุยกับทั้งสามคนอีกสักพักแล้วก็กลับไป
จากนั้น เขาก็ไปพบเจียงเสี่ยวชิงเพื่อมอบหมายงานให้ วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้ว อีกทั้งเมื่อวานเขาก็ไปอยู่งานศพทั้งคืน เจียงเสี่ยวไป๋จึงขับรถกลับเจียงวาน
เมื่อวานเจียงเสี่ยวไป๋ไปที่อิงซานมาทั้งคืน วันนี้หลินเจียอินจึงไม่ได้เข้าเมือง เธออยู่ที่บ้านทั้งวัน
“วันนี้คุณไม่ต้องไปทำงานหรือ ? ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาเร็ว หลินเจียอินจึงถาม
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณทำงานไง ! ”
หลินเจียอินมองค้อนเขา “ปากคุณนี่มันลื่นไหลดีจังเลยนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋แอบบ่นในใจ ตอนนี้คุณตั้งท้อง ผมก็เหลือแค่ปากนี่แหละที่พอจะลื่นไหลได้
เขายิ้มกรุ้มกริ่มและพูดว่า “เมียจ๋า ไปนอนกันเถอะ ! ”
หลินเจียอินตกใจมาก “คุณจะนอนตอนกลางวันแสก ๆ เนี่ยนะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมื่อวานผมมัวยุ่งกับงานของจงฉือจนไม่ได้นอน นี่ก็กลับมานอนชดเชยไง คุณไปนอนเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ! ”