ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 288 ไปอิงซาน
ตอนที่ 288 :ไปอิงซาน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า: “เดี๋ยวเราไปชวนประธานฟู่ให้ไปด้วยกัน ให้เขาไปเห็นบ้านเกิดของเจี่ยงจงฉือกับตาสักครั้ง ดูว่าเขาพอจะเขียนบทความประชาสัมพันธ์วีรกรรมอันกล้าหาญของเจี่ยงจงฉือได้หรือไม่”
“อืม ฉันเห็นด้วย ! ”
เหรินฉางเซี่ยตอบตกลงในทันที
เมื่อมาถึงที่จอดรถ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินตรงไปยังรถตำรวจของเหรินฉางเซี่ย ในขณะที่เหรินฉางเซี่ยกลับเดินไปทางรถจี๊ปของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วเรียกเขา “คุณเดินไปที่รถของฉันทำไม มานี่เร็วเข้า เดี๋ยวเราจะขับรถคุณไป”
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แต่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะของพวกคุณจะไปมอบเงินเยียวยาให้พวกเขาไม่ใช่หรือ ? เราก็ต้องขับรถตำรวจไปสิ จะขับรถผมไปทำไม ? ”
เหรินฉางเซี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขับรถนายไป ฉันก็ยังพอช่วยประหยัดน้ำมันให้กลับสำนักงานได้บ้าง”
“มันใช่หรือ ! อธิบดีเหริน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋หมดคำจะพูด เขาไม่เคยเห็นอธิบดีตำรวจคนไหนที่ขี้เหนียวขนาดนี้มาก่อน
“น้ำมันของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะเป็นของรัฐ คุณไม่ได้เสียเงินจ่ายค่าน้ำมันเองเสียหน่อย แต่หากขับรถของผมไปก็ต้องใช้เงินของตัวเองจ่ายค่าน้ำมัน” เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “ใครใช้ให้คุณเป็นเศรษฐีล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ผมไม่เคยเห็นใครเอาเปรียบเศรษฐีแบบคุณเลย ไม่อย่างนั้นก็ขับรถของตัวเองไป ผมไม่ยอมให้คุณมาเอาเปรียบผมหรอกนะ”
เหรินฉางเซี่ยพูดอย่างไม่พอใจ “คุณให้เงินเยียวยาครอบครัวเจี่ยงจงฉือตั้ง 2,000 หยวนแบบไม่ต้องคิดมากเลย จะมาขี้เหนียวเงินเติมน้ำมันแค่ไม่กี่หยวนทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เถียงกลับ “มันไม่เหมือนกัน วันนี้ต้องขับรถคุณไป”
เหรินฉางเซี่ยจนปัญญาแล้ว เขาทำได้เพียงเดินกลับมายังรถประจำตำแหน่งของตัวเองแล้วขับออกไป
“ฉันไม่เคยเห็นนักธุรกิจแบบคุณ ! ”
ในรถ เหรินฉางเซี่ยกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ผมก็ไม่เคยเห็นอธิบดีแบบคุณมาก่อนเหมือนกัน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋เถียงกลับแทบจะในทันที
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงสำนักข่าวรายวันชิงโจว เพื่อมาพบฟู่เต๋อเจิง
“เฮอะ ๆ ลมอะไรหอบอธิบดีเหรินมาถึงที่นี่กัน ? ”
ฟู่เต๋อเจิงทักทายด้วยรอยยิ้ม
เหรินฉางเซี่ยพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ประธานฟู่ คุณรู้เรื่องที่เจี่ยงจงฉือช่วยชีวิตคนไหม ? ”
ฟู่เต๋อเจิงพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังหาร่างของเขาไม่พบเลยใช่ไหม ? ”
เหรินฉางเซี่ยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่ ยังหาร่างเขาไม่พบเลย แต่วันนี้ทีมค้นหายังคงทำภารกิจค้นหาร่างของเขาอยู่ ผมก็หวังว่าจะหาร่างเขาพบโดยเร็ว วันนี้ผมอยากมาชวนคุณไปบ้านของเจี่ยงจงฉือพร้อมกับพวกเรา”
ฟู่เต๋อเจิงเข้าใจทันทีและพูดว่า “คุณอยากให้ฉันเขียนเล่าวีรกรรมอันกล้าหาญของเจี่ยงจงฉือใช่ไหม ? ”
เหรินฉางเซี่ยพยักหน้าแทนคำตอบ
ฟู่เต๋อเจิงกล่าวว่า “เดิมทีฉันเองก็ตั้งใจจะเขียนเล่าวีรกรรมของเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้กำลังเกิดเหตุดินถล่ม อีกทั้งเรายังหาร่างของเจี่ยงจงฉือไม่พบ จึงยังไม่ได้เขียนจนถึงตอนนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่เรื่องนี้มันคนละเรื่องกันนะครับ”
ฟู่เต๋อเจิงไม่เถียง “ไม่ผิด มันคือคนละเรื่องกัน แต่การรายงานข่าวต้องเขียนตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่อารมณ์”
นักข่าวต้องมีจรรยาบรรณของนักข่าว
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นจึงกล่าวว่า “แบบนั้นก็หมายความว่า วีรกรรมอันกล้าหาญของเจี่ยงจงฉือไม่สามารถนำมาเป็นข่าวได้ใช่ไหม ? ”
ฟู่เต๋อเจิงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการนำเสนอข่าวไป เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัด แต่ตอนนี้อธิบดีเหรินยืนยันให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเจี่ยงจงฉือคือวีรบุรุษที่สละชีพเพื่อช่วยชีวิตคน ดังนั้นทางสำนักข่าวจึงสามารถเขียนข่าวเรื่องนี้ได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่ามีกฎเกณฑ์มากมายภายในระบบของสำนักข่าว เขาขี้เกียจจะเถียงกับฟู่เต๋อเจิงแล้ว ถึงอย่างไรก็ขอแค่ให้เขียนยกย่องวีรกรรมของเจี่ยงจงฉือก็พอ
ฟู่เต๋อจิงถือกล้องและสมุดไว้จดบันทึกคำสัมภาษณ์ แล้วทั้งสามก็ออกจากออฟฟิศไป
เมื่อเดินผ่านแผนกโฆษณา ฟู่เต๋อเจิงพูดว่า “หัวหน้าเจียง พาพนักงานของคุณไปด้วยไหม เขาจบวารสารศาสตร์มา ตั้งแต่เขาไปทำงานในแผนกของคุณ เขาก็ไม่เคยออกไปสัมภาษณ์เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแล้วจึงไปเรียกเย่กวงโต้วให้ไปด้วยกัน
ทั้งสี่คนขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอิงซาน
หมู่บ้านอิงซานมีทางลูกรังตัดผ่าน รถตำรวจมาถึงทางเข้าหมู่บ้านอิงซานอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกเขาทั้งสี่คนต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านของเจี่ยงชุ่ยซานอยู่ตรงไหน
“เย่กวงโต้ว ไปหาคนถามทางสิ” เจียงเสี่ยวไป๋พูด เขาคิดว่าการพาเย่กวงโต้วมาด้วยก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องออกไปถามทางจากชาวบ้านคงเป็นเขาอย่างแน่นอน
เย่กวงโต้วพาชาวบ้านคนหนึ่งมาด้วยอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องขึ้นที่บ้านครอบครัวเจี่ยง ได้ยินมาว่าเจี่ยงจงฉือตายเพราะช่วยชีวิตคน ตอนนี้ครอบครัวเจี่ยงกำลังจัดงานศพ พวกคุณจะไปที่นั่นทำไมล่ะ ? ”
เมื่อชาวบ้านคนนั้นเห็นว่าเป็นรถตำรวจ จึงถามด้วยความสงสัย
“ผมเป็นคนจากสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำเมือง เจี่ยงจงฉือเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น พวกเรามาเพื่อร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเขา”
เหรินฉางเซี่ยพูดออกไปตามตรง
ชาวบ้านคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ถนนลูกรังไปไม่ถึงบ้านของเจี่ยงชุ่ยซาน ตรงนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปตามถนนเล็ก ๆ อีก 2 ลี้กว่า เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปเอง มันมีตรอกซอกซอยเยอะระหว่างทางไปบ้านของเขา เดี๋ยวพวกคุณจะเดินหลงได้ง่าย”
เหรินฉางเซี่ยขอบคุณชาวบ้านคนนั้น ทั้งสามลงจากรถแล้วตามชาวบ้านไปที่บ้านของเจี่ยงชุ่ยซาน
“ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร ? ”
ระหว่างทาง ฟู่เต๋อเจิงได้เอ่ยถาม
ชาวบ้านคนนั้นแนะนำตัว “ผมชื่อหลี่ชวงฉวน ”
ฟู่เต๋อเจิงกล่าวว่า “คุณอายุน้อยกว่าฉัน งั้นฉันเรียกคุณว่าเสี่ยวหลี่แล้วกัน คุณรู้จักเจี่ยงจงฉือไหม ? ”
หลี่ชวงฉวนพยักหน้า “เราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ทำไมจะไม่รู้จักกันล่ะ ? เขาแก่กว่าผม 2 ปี เมื่อก่อนเราเคยทำงานด้วยกัน ตอนเขาแต่งงานมีลูก ผมยังมาร่วมงานเลี้ยงเหล้าของเขาอยู่เลย”
พูดไป หลี่ชวงฉวนก็ถอนหายใจออกมา “เขาเป็นคนดี ไม่คิดว่าเขาจะจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ ! ”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยความเสียใจ
“งั้นคุณช่วยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขาให้เราฟังได้ไหม ! ”
ฟู่เต๋อจิงพูดขณะหยิบสมุดสัมภาษณ์ออกมา
หลี่ชวงฉวนนำทางไปด้วย พลางเล่าเรื่องราวของเจี่ยงจงฉือไปด้วย
“เมื่อเจี่ยงจงฉืออายุได้ 5 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย เขาและน้องสาววัย 2 ขวบเลยอาศัยอยู่กับลุงเจี่ยงกันสามพ่อลูก”
“เพราะครอบครัวยากจน ทั้งพี่ชายและน้องสาวจึงไม่เคยได้ไปโรงเรียน”
“แต่เขาฉลาดและรู้เรื่องรู้ราวมาตั้งแต่เด็ก พออายุ 7-8 ขวบก็เริ่มเข้าป่าไปหาส้มผด น้ำเต้า น้ำผึ้งป่า ไปขุดกวาวเครือขาวมาขาย หาเงินมาช่วยพ่อจุนเจือครอบครัว”
“ในตอนนั้น พ่อกับแม่ของผมก็มักจะเปรียบเทียบความขยันของเขาให้พวกเราฟังอยู่เป็นประจำ”
“เมื่อปี 1979 ป้าหวังในหมู่บ้านถูกงูพิษกัดที่เท้า เจี่ยงจงฉือใช้ปากดูดพิษงูออกให้เธอ”
“ในปี 1980 ผู้เฒ่าเซี่ยงถูกวัวเหยียบขาหัก เป็นเจี่ยงจงฉือที่อุ้มเขาไปส่งที่โรงพยาบาลเมืองชิงซาน”
“เมื่อปีก่อน ลูกของครอบครัวหวังเอ้อร์โก่วตกลงไปในบ่อน้ำ เจี่ยงจงฉือบังเอิญมาเห็นเข้าพอดี เขาจึงกระโดดลงไปช่วยเด็กขึ้นมาได้”
“……”
เขาเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต แต่สามารถฟังออกเลยว่าเขารู้จักและชื่นชมเจี่ยงจงฉือมากแค่ไหน
ฟู่เต๋อเจิงถามด้วยความตกใจ “เมื่อปีที่แล้วเขาเคยช่วยชีวิตเด็กที่ตกน้ำหรือ ? ”
หลี่ชวงฉวนพยักหน้า “ใช่แล้ว เจี่ยงจงฉือลงน้ำจับปูจับปลามาตั้งแต่เด็ก เขาว่ายน้ำเก่งมาก”
ฟู่เต๋อเจิงและเหรินฉางเซี่ยต่างก็ตกตะลึงอย่างมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คิดว่าชาวนาธรรมดาอย่างเจี่ยงจงฉือจะทำสิ่งดี ๆ ได้มากมายขนาดนี้
ชีวิตของเขาช่างโชคร้าย แต่เขาไม่ทำให้ตัวเองจมอยู่กับการใช้ชีวิตที่ทุกข์ยากนั้น เขากลับมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นและนำแสงสว่างและความอบอุ่นมาสู่ผู้คนรอบตัวเขา
และเมื่อคนรอบข้างตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะยืนหยัดคอยช่วยเหลือคนเหล่านั้นเสมอ
คนแบบนี้สมควรแล้วที่ถูกเรียกว่า ‘คนดี’ !
หลี่ชวงฉวนกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตัวเองว่ายน้ำเก่ง ครั้งนี้เขาก็คงไม่……”
เขาพูดไม่ออกแล้ว ได้แต่ถอนหายใจลึก ๆ เพื่อกลั้นน้ำตาไว้
ฟู่เต๋อเจิงปิดการสัมภาษณ์และไม่ถามคำถามอะไรอีก เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องราวของเจี่ยงจงฉือช่างบีบคั้นจิตใจของเขาเหลือเกิน
ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นบ้านดินทรุดโทรมอยู่ข้างหน้าไม่ไกล มีกระดาษสีขาวติดโคลงกลอนไว้อาลัย มีดอกไม้สีขาวแขวนอยู่ที่ลานบ้าน และมีผู้คนมากมายอยู่ในลานรั้ว
“นั่นก็คือบ้านของเจี่ยงจงฉือ”
“ร่างของเขายังหาไม่พบ ลุงเจี่ยงเลยมอบโลงไม้ของตนเองให้เขา ด้านในนั้นใส่เสื้อผ้าชุดฤดูหนาวของเขาเอาไว้”
หลี่ชวงฉวนกล่าว