ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 286 ข่าวร้าย
ตอนที่ 286 :ข่าวร้าย
“ชวนจื่อ เป็นอะไรหรือ ? ”
ในตอนนี้เอง เจี่ยงชุ่ยซานเพิ่งสังเกตว่าสีหน้าของเฉินชวนดูไม่ปกติ เขาเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง จึงถามด้วยความสงสัย
เฉินชวนไม่กล้าสบตาเจี่ยงชุ่ยซาน เขาพูดเสียงแผ่วว่า: “จงฉือ เขา……เขา……ไม่กลับมา ! ”
เจี่ยงชุ่ยซานได้ยินแบบนี้ก็โล่งใจแล้วพูดว่า “ไม่กลับมาก็ดี เพราะกลับมาก็จะเสียเวลา หากเขาอยู่ที่เหมืองนานขึ้นหนึ่งวัน เขาก็จะหาเงินได้มากขึ้น”
พูดแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา “นี่ก็สิ้นเดือนสิงหาคมแล้ว พริบตาเดียวจะถึงเดือนกันยายนแล้ว อันอันต้องใช้เงินก้อนใหญ่ไปจ่ายค่าเทอม ! ”
เจี่ยงจืออันได้ยินปู่พูดถึงเรื่องค่าเทอมก็บอกว่า “ปู่ ผมไม่อยากเรียนแล้ว พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อหาค่าเล่าเรียนให้ผม”
เจี่ยงชุ่ยซานหันไปตำหนิหลานชายว่า “เด็กอย่างหลานหากไม่เรียนหนังสือแล้วจะไปทำอะไร ? ”
เจี่ยงจืออันพูดว่า “ผมสามารถขึ้นเขาไปตัดฟืน ถอนหญ้าในทุ่ง เกี่ยวหญ้าหมู ทำอาหารให้หมู ทั้งยังเลี้ยงไก่ได้หลายตัว พอลูกไก่โตแล้ว ผมจะเอามันไปขาย แล้วจะเก็บเงินไว้ให้น้องสาวของผมเรียนหนังสือ ! ”
เป็นเด็กดีอะไรเช่นนี้ !
ทั้งเป็นเด็กรู้เรื่องและอดทนต่อความยากลำบากได้ !
เจียงไห่โปและเฉินชวนได้ยินก็รู้สึกสงสารจับใจ
เจียงไห่โปพยายามระงับความเศร้าในใจ เขาไม่ได้พูดข่าวร้ายนั้นในทันที เพราะกลัวว่าหากพูดโพล่งไป เจี่ยงชุ่ยซานอาจจะรับไม่ไหวจนอาจเป็นลมล้มหัวฟาดได้
สิ่งที่กลัวในผู้สูงอายุมากที่สุดก็คือการล้มนั่นเอง
ผู้สูงอายุในชนบทจำนวนมากดูเหมือนจะมีสุขภาพที่ดี แต่เมื่อพวกเขาล้มแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีกเลย
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องหลัก เจี่ยงชุ่ยซานเชิญให้เจียงไห่โปและเฉินชวนนั่งลง ส่วนเขาไปนั่งตรงข้ามเจียงไห่โป ยื่นถ้วยน้ำชาที่เขาดื่มให้เจียงไห่โป
“เพิ่งต้มได้ไม่นาน ดื่มสิ ! ”
เจียงไห่โปรับมาจิบ แล้วยื่นแก้วชาให้เฉินชวน เฉินชวนบอกว่าไม่หิวน้ำ เขาจึงวางแก้วชาลงบนพื้นด้านข้าง
ในยุคนี้ ผู้มาเยือนจากพื้นที่ชนบทจะผลัดกันดื่มชาในแก้วเดียวกัน พวกเขาไม่ได้ระวังเรื่องสุขอนามัยมากนัก
“อาเขยเองหรือ ! ”
วังผิงกำลังทำอาหารอยู่ในครัวข้าง ๆ เมื่อเธอได้ยินเสียงในห้องหลักก็สวมผ้ากันเปื้อนเข้ามากล่าวทักทายว่า “ลุงเล่นไพ่กับพ่อไปก่อนนะ อีกเดี๋ยวอาหารก็จะเสร็จแล้ว”
เจียงไห่โปรีบพูดว่า “ไม่เป็นไร ไปทำธุระต่อเถิด”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะ” วังผิงพูดแล้วก็หันไปพูดกับเจี่ยงจืออันว่า “อันอัน ไปเอาไข่ไก่มาให้แม่ 3 ฟอง แล้วก็ปอกมันฝรั่งให้แม่สัก 2-3 ลูกด้วย”
“ครับแม่ ! ”
เจี่ยงจืออันขานรับแล้วเดินไปที่เล้าไก่
“พี่ หนูจะไปเอามันฝรั่งมาให้พี่นะ”
เจี่ยงจือเสวียนวิ่งผละออกไป หนูน้อยวิ่งไปด้วยพลางตะโกนไปด้วย น้ำเสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข
วังผิงพูดจบก็กลับเข้าไปในครัว ในกระทะยังมีผัดที่ต้องทำต่อ เธอแค่ออกจากครัวมาทักทายเท่านั้น แล้วก็ถือโอกาสเรียกให้เจี่ยงจืออันไปเอาไข่ไก่และปอกมันฝรั่งให้เธอด้วย
ตอนนี้มีแขกมาที่บ้าน เธอจึงต้องทำอาหารเพิ่มอีกสักจานสองจาน
ที่บ้านไม่มีเนื้อสัตว์ ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือไข่ไก่ ตอนนี้ต้นหอมที่สวนหลังบ้านถูกถอนไปทีละต้น ซอยต้นหอมสักกำมือหนึ่งก็สามารถทำต้นหอมผัดไข่ได้ แล้วค่อยทำผัดเปรี้ยวมันฝรั่ง
เวลากระชั้นชิดไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอคิดได้
แต่ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ต้องเพิ่มเมนูหน่อย
เจี่ยงชุ่ยซานพอใจกับการจัดการของวังผิงมาก เขาสูบยาสูบพลางแย้มยิ้มออกมา
แม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่ลูกชายของเขายังทำงานหาเงินได้ และลูกสะใภ้ก็จัดการงานต่าง ๆ ในบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาพอมีความหวังอยู่บ้าง
เจียงไห่โปมองฉากตรงหน้า น้ำตาก็เอ่อล้นอยู่ที่มุมตาของเขาโดยไม่รู้ตัว ความสุขของเจี่ยงชุ่ยซาน ความกระตือรือร้นของวังผิง ความเป็นเด็กรู้เรื่องของจืออัน และความมีชีวิตชีวาของจือเสวียน……
ทุกอย่างสวยงามมาก !
สวยงามเสียจนเขาไม่อยากจะพูดข่าวร้ายเลยจริง ๆ
“ไห่โป เป็นอะไรหรือเปล่า ? ”
สีหน้าของเจียงไห่โปทำให้เจี่ยงชุ่ยซานมีลางสังหรณ์บางอย่าง เขาจึงถามว่า: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชุ่ยหยูหรือ ? ”
เจียงไห่โปตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเช็ดมุมตาของเขา “ชุ่ยหยูไม่ได้เป็นอะไร ! ”
เจี่ยงชุ่ยซานขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ เขามองไปที่เจียงไห่โปแล้วมองสลับไปที่เฉินชวน เหมือนจู่ ๆ ชายชราก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสั่นเทาว่า “หรือว่า……เกิดเรื่องกับจงฉือ ? ”
เจียงไห่โปและเฉินชวนใจหล่นวูบ
อะไรที่ต้องเผชิญก็ต้องเผชิญ !
เฉินชวนแค่พยักหน้า แต่ไม่กล้าพูดต่อ
เจียงไห่โปอดทนต่อความโศกเศร้าในใจและพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เมื่อวานฝนตกหนักมาก เป็นเหตุให้เหมืองถล่ม คนงานหลายคนในเหมืองตกลงไปในแม่น้ำ จงฉือลงน้ำไปช่วยชีวิตคน เขาช่วยขึ้นมาได้สองคน แต่ตัวเองหมดแรง……”
“พลั่ก ! ”
ไปป์ไม้ไผ่ในมือของเจี่ยงชุ่ยซานหล่นลงพื้น ส่วนเขาก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้
“เคร้ง ! ”
มีเสียงดังมาจากในห้องครัวเช่นกัน ทัพพีในมือของวังผิงร่วงลงพื้น จากนั้นเธอก็วิ่งออกมาจากในครัวอย่างรวดเร็ว “อาเขย จงฉือหมดแรง มัน……มันหมายความว่าอะไร ? ”
จากนั้น เธอก็หันไปตะโกนใส่เฉินชวน “จงฉือล่ะ เขาอยู่ไหน ? เขาอยู่ไหน ? ”
เหตุการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ แม้เด็กทั้งสองจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความเศร้าโศกก็ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขา หนูน้อยจือเสวียนที่รับรู้ความเศร้าของผู้ใหญ่ได้ก็ร้องไห้โฮออกมา
แม้ว่าเจี่ยงจืออันจะไม่ได้ร้องไห้ แต่เขากลับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของวังผิง เฉินชวนจึงพูดอย่างรู้สึกผิด “น้องสะใภ้ จงฉือ……จงฉือเขา……เรายัง……หาร่างเขาไม่พบ ! ”
ผึ่ง !
วังผิงรู้สึกหัวหมุน เธอตะโกนเรียกชื่อสามีด้วยความเศร้าแทบขาดใจ ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มพับลงไป
เฉินชวนรีบเข้ามาพยุงเธอ เขายื่นมือไปหยิกเธอเบา ๆ เพื่อเรียกสติเธอ
“แม่ ! แม่ ! ”
“แม่เป็นอะไร ? ”
จือเสวียนน้อยวิ่งร้องไห้เข้ามาเขย่าร่างแม่ของเธออย่างแรงด้วยมือเล็ก ๆ ทั้งสองของเธอ
เจี่ยงชุ่ยซานทรุดตัวลงบนเก้าอี้ หยาดน้ำตาไหลอาบใบหน้าชราขของเขา ปากที่แห้งแตกของเขาสั่นเทา เขาพึมพำไม่หยุดว่า “จงฉือลูกพ่อ ทำไมจากพ่อไปเร็วแบบนี้ ? ”
เจี่ยงจืออันอายุ 7 ขวบแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพ่อของเขา เขาวิ่งไปหาเจี่ยงชุ่ยซานแล้วพูดเสียงดัง “ปู่ ปู่ พ่อเป็นอะไร ? พ่อเป็นอะไร ? ”
เจียงไห่โปดึงเจี่ยงจืออันมาแล้วพูดว่า “อันอัน พ่อของเธอเป็นวีรบุรุษ เขาสละชีวิต……ช่วยเหลือคนอื่น ! ”
คำว่าสละชีวิตมักโหดร้ายเสมอ
โดยเฉพาะเมื่อต้องบอกต่อหน้าเด็กวัย 7 ขวบว่าพ่อของเขาสละชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น
เจียงไห่โปพูดอย่างยากลำบาก เขาพูดไปก็หลั่งน้ำตาไป “อันอันเป็นเด็กผู้ชาย ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว อันอันจะต้องดูแลปู่ แม่ และน้องสาวให้ดี ไปดูแม่เขาเถอะ ! ”
เจี่ยงจืออันเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แล้วและเข้าใจความหมายของคำว่าสละชีวิต น้ำตาหยดใหญ่ไหลอาบแก้มเล็ก ๆ ของเขา
แม้ปากจะคร่ำครวญหา “พ่อ ! พ่อ ! ”
แต่เขาก็ยังเดินไปหาแม่อย่างเชื่อฟัง
เจียงไห่โปนั่งยองตรงหน้าเจี่ยงชุ่ยซานแล้วพูดเสียงเศร้าว่า “พี่ใหญ่ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ผมเองก็เสียใจเหมือนกัน แต่หากพี่เป็นอะไรไปอีกคน อันอันและเสวียนเสวียนยังเด็ก พี่จะต้องยืนหยัดไว้”
เจี่ยงชุ่ยซานหน้าชา เขามองดูลูกสะใภ้ที่หมดสติกับหลานน้อยสองคนที่กำลังร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาพยายามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ ก้มตัวลงและยื่นมือที่สั่นเทาออกไปหยิบไปป์ที่อยู่บนพื้น
เจียงไห่โปเอื้อมมือจะไปช่วยหยิบให้ แต่เจี่ยงชุ่ยซานห้ามไว้
“ไห่โป ฉันทำเอง ! ”
ในที่สุดเขาก็หยิบไปป์ขึ้นมาอย่างสั่นเทา จากนั้นเขาก็หยิบใบยาสูบออกมาจากในกระเป๋าแล้วใส่ลงไปในไปป์
เจียงไห่โปหยิบไม้ขีดออกมาจุดไฟและช่วยจุดบุหรี่ให้เขา
ต้องจุดไม้ขีดอยู่หลายตัว กว่าจะจุดใบยาสูบติด
เจี่ยงชุ่ยซานสูบยาสูบ แล้วพ่นควันหนาทึบออกมาจำนวนมาก
“แค่ก ๆ ๆ ……”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาสูบแรงเกินไป ทำให้เขาสำลักจนไอหอบออกมา
ทางด้านนั้น วังผิงที่เพิ่งได้สติก็เข้าไปกอดลูก ๆ สามคนแม่ลูกกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา