ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 285 สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 285 สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ
ตอนที่ 285 :สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ
วันรุ่งขึ้น ในที่สุดท้องฟ้าก็แจ่มใส มีหมู่เมฆสีขาวลอยอยู่บนท้องฟ้าสีคราม
เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ไปเจี้ยนหยางแล้ว เจียงถิงอยู่ที่เจียงวานโดยเจียงไห่หยางและภรรยาเป็นคนเลี้ยงเอง
เจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวเหลย และเจียงเสี่ยวหยูออกไปแจกใบปลิว ทำกิจกรรมของร้านโยวผิ่นตามปกติ
หวังผิงยังคงขับรถบรรทุกคันเล็กไปรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชตามที่ต่าง ๆ และนำไปส่งให้ร้านสาขาแต่ละแห่ง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
เจียงไห่โป เจี่ยงชุ่ยหยู และเจียงเสี่ยวเฟิ่งต่างเข้าเมืองมาด้วยกัน สองแม่ลูกช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ดังนั้นหลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงจึงอยู่รอฟังข่าวเป็นเพื่อนสองแม่ลูก
เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงไห่โปเริ่มต้นวันใหม่ของการค้นหาด้วยกัน
ภายใต้การจัดการของเหรินฉางเซี่ย วันนี้ได้มีการระดมกำลังค้นหามากกว่าเมื่อวาน พวกเขาขยายวงค้นหาจากฝายต้าซาออกไปสิบกว่าลี้ แต่แม้จะทำภารกิจค้นหาทั้งวัน แต่ก็ยังคงหาร่างของเจี่ยงจงฉือไม่พบ
“อาสาม อาว่า……”
ระหว่างทางกลับมายังโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เอ่ยถาม
เจียงไห่โปถอนหายใจและพูดด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งว่า “อีกเดี๋ยวอาจะไปที่อิงซาน เพื่อบอกเรื่องจงฉือให้พี่ชุ่ยซานและวังผิงรู้”
“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ ! ”
บ้านเกิดของเจี่ยงชุ่ยหยูอยู่ที่อิงซาน เป็นหมู่บ้านหนึ่งในเขตอำเภอชิงซาน อยู่ห่างจากเจียงวานไปประมาณ 5-6 ลี้
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมจะไปส่งอา ! ”
เจียงไห่โปโบกมือปัด “อาไปวันนี้ คืนนี้อาจนอนที่นั่นเลย แม้ว่าเราจะยังหาร่างของจงฉือไม่พบ แต่เรื่องงานศพยังต้องจัดการ”
“จงฉือจากไปแล้ว เหลือเพียงพี่ชุ่ยซานวัยชราและวังผิงก็ต้องมากลายเป็นแม่หม้าย ที่บ้านของเขาไม่มีเสาหลักคอยดูแลครอบครัวแล้ว อาจึงต้องไปช่วย”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกหนักใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
แม้ว่าเจี่ยงชุ่ยหยูจะเป็นอาสะใภ้สามของเขา แต่ครอบครัวของเจี่ยงชุ่ยซานอยู่ห่างไกลจากเขาและไม่ถือว่าเป็นญาติกัน ปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กันและไม่เคยผูกสัมพันธ์อะไร ฉะนั้นจึงไม่คุ้นเคย เป็นแค่คนนอกต่อกันเท่านั้น
แต่เจี่ยงจงฉือตายเพราะช่วยชีวิตคน เขารู้สึกนับถือใจของเจี่ยงจงฉือมาก และรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเจี่ยง
วีรบุรุษที่ช่วยชีวิตคนไม่ควรถูกลืม และครอบครัวของวีรบุรุษก็ไม่ควรถูกทิ้งไว้ให้ตกระกำลำบาก
“ผมจะไปกับลุงด้วย เผื่อมีอะไรที่ผมพอช่วยได้บ้าง ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เจียงไห่โปเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้น่าจะยังไม่มีอะไร แต่หากในอนาคตหลานสามารถหางานให้วังผิงทำได้ ให้เธอมีเงินมาดูแลจืออันและจือเสวียน อาก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “อาสามอย่าพูดแบบนี้เลย ผมเองก็อยากทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้างเหมือนกัน ส่วนเรื่องงานของพี่วังผิง เดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง”
เจียงไห่โปพยักหน้ารับ ราวกับเขาได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอกแล้ว
เพราะสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนั้นหลังจากเจี่ยงจงฉือจากไป ?
ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋เต็มใจช่วย ในที่สุดเขาก็โล่งใจแล้ว
เฉินชวนพูดจากด้านข้างว่า “ลุงไห่โป ในอนาคตผมจะพยายามดูแลทั้งสามคนให้ดีที่สุดครับ”
พูดจบ เขาก็หันไปขอบคุณเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความซาบซึ้งใจ “เถ้าแก่เจียง สองวันมานี้ทำให้คุณเดือดร้อนแล้ว ผมจะตอบแทนคุณในวันหน้าอย่างแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “อย่าพูดแบบนั้นเลย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว คงไม่มีใครไม่สนใจหรอก”
เฉินชวนกล่าวอย่างจริงใจ “เถ้าแก่เจียง คุณเป็นคนดีมาก ! ”
ชายธรรมดาในชนบทที่ไม่เคยอ่านหนังสือเลย แต่กลับแสดงความรู้สึกของเขาด้วยวิธีง่าย ๆ เช่นนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คิดว่าเขาจะได้การ์ดคนดีเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่
เขาถามตัวเองว่า: ฉันเป็นคนดีหรือเปล่า ?
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก !
เมื่อเขาเกิดใหม่ เขาเพียงต้องการชดเชยความเสียใจที่มีต่อภรรยาและลูกสาวในชาติก่อน เพื่อให้ครอบครัวและญาติพี่น้องของเขามีชีวิตที่ดีเท่านั้น
ที่จริงเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำ
แต่ในชีวิตคนเรา มักมีบางสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น เหตุไฟไหม้ที่เจี้ยนหยางเมื่อคราวก่อน หรือการสละชีวิตของเจี่ยงจงฉือในการช่วยชีวิตคน เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจละเลยได้
บางทีอาจเป็นยีนทางวัฒนธรรมที่อยู่ในกระดูกของชาวจีน ที่ทำให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นครอบครัวและคนในประเทศชาติเดียวกัน และเคารพวีรบุรุษอย่างลึกซึ้ง
จู่ ๆ ร่างของหลี่ม่านม่านก็แวบขึ้นมาในความคิดของเขา
เพื่อนร่วมชั้นที่เลือกไปสอนหนังสือในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลในเมืองตู้เฉิง
การตัดสินใจเลือกของเธอจะไม่ถือเป็นแบบอย่างของวีรบุรุษ แบบอย่างของคนที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่นได้อย่างไร !
คนดีที่แท้จริงควรเป็นอย่างเจี่ยงจงฉือและหลี่ม่านม่านมากกว่า !
กลับมาถึงห้องทำงานในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส เจี่ยงชุ่ยหยูเห็นว่าสามีกลับมาแล้ว เธอจึงรีบเข้าไปถาม “หาเจอไหม ? ”
“ไม่ ! ”
เจียงไห่โปส่ายหัวอย่างหนัก
หลังผ่านไปทั้งวัน เจี่ยงชุ่ยหยูก็ค่อย ๆ รับเรื่องนี้ได้แล้ว แม้เธอจะยังเศร้าโศกใจอยู่ แต่อารมณ์ของเธอดูสงบขึ้นมาก
“ยังหาไม่เจออีกหรือ ! ”
เจี่ยงชุ่ยหยูหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบ ๆ พลางพูดสะอึกสะอื้น “ฉันจะบอกเรื่องนี้กับพี่ชายของฉันได้อย่างไร ? ”
เจียงไห่โปปลอบใจภรรยาว่า “คุณกลับบ้านไปกับเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน เดี๋ยวผมจะไปบอกพี่คุณเอง”
“อืม คุณช่วยพูดกับเขาหน่อยนะ ฉันกลัวว่าเขาจะรับเรื่องนี้ไม่ไหว ! ” เจี่ยงชุ่ยหยูพูดอย่างเป็นกังวล
แม้ว่าเธออยากกลับไปพร้อมกับเจียงไห่โปมากแค่ไหน แต่ตอนนี้คงต้องเตรียมจัดพิธีศพของเจี่ยงจงฉือได้แล้ว ตามธรรมเนียมของคนยุคนี้ เมื่อเป็นงานศพของญาติใกล้ชิด โดยทั่วไปญาติพี่น้องจะไม่กลับบ้านก่อนจนกว่าจะมีการจัดงานศพขึ้นอย่างเป็นทางการ
“ไม่ต้องกังวล ผมทำได้แน่นอน ! ” เจียงไห่โปพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
วันนี้คนที่กลับเจียงวานไปด้วยมีหลินเจียอิน เจียงชาน เจี่ยงชุ่ยหยูและเจียงเสี่ยวเฟิ่ง ส่วนเจียงไห่โปและเฉินชวนต้องติดรถไปลงระหว่างทางด้วย ดังนั้นวันนี้จึงมีผู้ใหญ่ห้าคนและเด็กหนึ่งคนนั่งอัดกันไปในเบาะผู้โดยสารของรถจี๊ป
เมื่อรถขับมาถึงทางแยกไปเจียงวานและอิงซาน เจียงไห่โปกำชับให้เจียงเสี่ยวเฟิ่งคอยดูแลเจี่ยงชุ่ยหยูให้ดี จากนั้นเขากับเฉินชวนก็ไปบ้านของเจี่ยงชุ่ยซานด้วยกัน
ระยะทางราว 5-6 ลี้ไม่ถือว่าไกลกันมาก ด้วยความแข็งแรงของเจียงไห่โปและเฉินชวน พวกเขาใช้เวลาเดินแค่ประมาณ 40 นาทีก็ไปถึงแล้ว แต่วันนี้ทั้งสองเดินไม่เร็วมาก พวกเขาจึงใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าถึงไปถึงที่หมาย
ที่ลานเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้านดินสภาพทรุดโทรม เจี่ยงจืออันในวัย 7 ขวบกำลังให้อาหารไก่ เขาถือกะละมังเก่า ๆ ปากก็ร้อง “กุ๊กกุ๊กกุ๊ก……” เรียกไก่มากินข้าว แล้วหยิบแกลบจากในกะละมังโปรยไปบนพื้น
“คุณปู่ ! ”
“ลุงเฉิน ! ”
แต่พอเด็กน้อยเห็นเจียงไห่โปและเฉินชวนมาด้วยกัน เจี่ยงจืออันก็ยิ้มให้แล้วทักทายทั้งสองอย่างสุภาพ
เจียงไห่โปดูเด็กน้อยที่ฉลาดรู้เรื่องรู้ราวคนนี้ ในใจก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
ตอนนี้เด็กน้อยยังยิ้มอยู่โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้สูญเสียพ่อของตนเองไปแล้ว
“อื้ม” เขาพยักหน้าให้เด็กน้อย แล้วถามว่า: “แล้วปู่ของหนูล่ะ ? ”
เจี่ยงจืออันกล่าวว่า “หม้อใหญ่ที่ใช้ทำอาหารให้หมูที่บ้านพัง ปู่ซ่อมหม้ออยู่ในบ้าน”
เจียงไห่โปรู้สึกเศร้าอีกครั้ง เขารู้ว่าหม้อเหล็กใบใหญ่นั้นถูกซ่อมมาหลายครั้งแล้ว
เจี่ยงจืออันพูดจบก็ตะโกนเข้าไปในบ้านว่า “ปู่ ปู่เขยมา ! ”
สักพักหนึ่ง ชายชราท่าทางง่อนแง่นอายุหกสิบกว่าปีก็เดินออกมา ในมือของเขาถือไปป์ไม้ไผ่ที่มีใบยาสูบอยู่ในนั้น ข้าง ๆ เขามีเด็กหญิงตัวเล็กอายุประมาณห้าขวบตามออกมาด้วย เด็กหญิงคนนี้ก็คือเจี่ยงจือเสวียน
“อ้าว ไห่โปเองหรือ ! ”
เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงไห่โป เจี่ยงชุ่ยซานก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม
เจียงไห่โปรู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงคำที่จะพูดมานับครั้งไม่ถ้วนระหว่างทางมาที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถพูดออกไปได้ ราวกับว่ามีบางอย่างจุกอยู่ที่คอของเขา
เกรงว่าคงเป็นเพราะเจี่ยงชุ่ยซานกำลังดีใจที่เจียงไห่โปมาเยี่ยมเยียนเขาอย่างกะทันหันแบบนี้ ทำให้เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของเจียงไห่โปดูเศร้าสร้อยผิดปกติ เขายังคงทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “มาสิ เข้าไปนั่งในบ้านกันก่อน ข้าวสุกพอดี กับข้าวไม่ได้มีมากมายนักหรอกนะ คิดเสียว่าเรามาดื่มกันตามประสาพี่น้องแล้วกัน”
พูดจบ เขาถึงได้หันไปเห็นเฉินชวน
เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไมเฉินชวนถึงมากับน้องเขยของเขาล่ะ
แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคิดว่าทั้งสองคงพบกันระหว่างทาง
เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชวนจื่อกลับมาแล้ว แล้วจงฉือล่ะ ? เขาไม่ได้กลับมาพร้อมกันหรือ ? ”
เฉินชวนเรียกเขา “ลุงชุ่ยซาน ! ”
เสียงของเขาดูติดขัดเล็กน้อย