ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 284 ยังไม่บอก
ตอนที่ 284 :ยังไม่บอก
จะบอกอาสะใภ้สามอย่างไรนั้น เจียงเสี่ยวไป๋เองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน
เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ยากที่จะยอมรับได้
เมื่อกลับมาถึงร้าน เจี่ยงชุ่ยหยูที่รออย่างใจจดใจจ่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาแล้ว จึงรุดเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง หาเจอไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหน้าอย่างยากลำบาก
ที่ด้านหลังของเขา เจียงเสี่ยวเฟิง หวังผิงและเจียงเสี่ยวเหลยต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาเจี่ยงชุ่ยหยู
เจี่ยงชุ่ยหยูเข่าอ่อนล้มพับลงไป เจียงเสี่ยวไป๋มือไวตาไว รีบเข้าไปพยุงเธอได้ทัน
“หลานชายของฉันเป็นคนดีมาก เขาแค่ช่วยชีวิตคน แต่ทำไมสวรรค์ถึงต้องขังเขาไว้ใต้น้ำด้วย ! ”
เจี่ยงชุ่ยหยูพูดไปร้องไห้ไป
ในชนบท เมื่อมีคนจมน้ำตายแล้วหาศพไม่เจอ ชาวบ้านจะเล่าลือกันว่าพวกเขาล่านั้นถูกกักตัวไว้ใต้น้ำ ไม่ให้ขึ้นมา
แน่นอนว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เชื่อในเรื่องงมงายพวกนี้ เขาจึงรีบพูดว่า “อาสะใภ้สามไม่ต้องร้อนใจ พรุ่งนี้เราจะค้นหาเขาต่อ”
เจี่ยงชุ่ยหยูพยักหน้าอย่างมึนงง นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งวัน แต่เธอกลับดูแก่ขึ้นเป็นสิบปี
เฉินชวนตามกลับมาด้วยเช่นกัน เขาตัวเปียกปอน ดูเหนื่อยและเศร้า เขาพููดพลางสะอึกสะอื้นว่า “ป้าชุ่ยหยู ป้าต้องรักษาสุขภาพตัวเอง เพราะลุงชุ่ยซานยังต้องการป้า……”
ขณะที่พูด น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเขา
เจี่ยงชุ่ยหยูร่างกายสั่นเทาอีกครั้ง เธอนึกถึงพี่ชายคนโตที่น่าสังเวชของเธอ เธอก็ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรว่าจงฉือไม่อยู่แล้ว
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะสงสาร แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้คงปิดไว้ไม่ได้ เขาจึงพูดว่า “อาสะใภ้สาม งั้นให้ผมไปบ้านเกิดของอาสะใภ้เพื่อบอกข่าวให้ลุงเจี่ยงรู้ก่อนดีไหม ? ”
“อย่า……”
เจี่ยงชุ่ยหยูส่ายหัวแล้วพูดทั้งน้ำตา “รอ……รอถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ครับ งั้นอาสะใภ้กลับบ้านกับผมก่อน แล้วเราไปปรึกษาอาสามของผมกัน”
เจี่ยงชุ่ยหยูพยักหน้าเห็นด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปกำชับหวังผิงว่า “ฝากนายดูแลเฉินชวนก่อนนะ ! ”
หวังผิงพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดกับพวกเจียงเสี่ยวชิงว่า “พวกเธอรออยู่ที่นี่สักพักก่อน อีกเดี๋ยวเราจะมารับ”
พูดจบ เขาก็เรียกให้เจียงเสี่ยวเฟิงมาช่วยเขาพยุงเจี่ยงชุ่ยหยูไปขึ้นรถจี๊ป
เจียงเสี่ยวเฟิงกำลังจะเดินกลับเข้าร้าน เจียงเสี่ยวไป๋กลับเรียกให้เขามาขึ้นรถไปด้วยกัน
“พี่ ไม่ให้ผมรออยู่กับพวกเสี่ยวชิงหรือ ? ”
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงจึงถามพี่ชายด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เดี๋ยวนายไปที่โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกับฉันก่อน จากนั้นก็ไปขับรถบรรทุกคันเล็กของโรงงานมารับพวกเสี่ยวชิงกลับบ้าน”
ในตอนนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อรถมา 3 คัน เป็นรถจี๊ปเทียนจิง 1 คัน และรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่น 130 อีก 2 คัน เขาขับรถจี๊ป ส่วนรถบรรทุกเล็กให้หวังผิงและถานชิงซานขับคนละคัน
วันนี้มีคนกลับไปที่เจียงวานหลายคน รถจี๊ปของเขาจึงนั่งได้ไม่พอ
เจียงเสี่ยวไป๋จึงให้เจียงเสี่ยวเฟิงไปขับอีกคันกลับบ้าน
“ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงตอบรับแล้วกล่าวว่า “ผมจะขับช้าหน่อยนะ ! ”
เขา เจียงเสี่ยวชิง และเจียงเสี่ยวเหลยต่างเรียนขับรถจนเป็นแล้ว แต่เนื่องจากปกติไม่มีรถให้ขับ เขาจึงมีโอกาสฝึกน้อย
หากเป็นตอนปกติ เจียงเสี่ยวไป๋เรียกให้เขาขับรถกลับไปแบบนี้ เขาคงจะดีใจมาก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เขาดีใจไม่ออก
ทางด้านโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส หลินเจียอินรอจนกระทั่งเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่กลับมารับเธอและลูก เธอเป็นกังวลว่ากลับบ้านช้าแล้วจะโดนแม่สามีตำหนิ ดังนั้นเธอจึงโทรไปที่ร้านกุ้งอบน้ำมันสาขาหลัก
และเธอก็ต้องตกใจและเป็นกังวลยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายของอาสะใภ้สามถูกน้ำพัดหายไป เจียงเสี่ยวไป๋กำลังนำผู้คนไปค้นหา
หลังจากรอมาทั้งวัน เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋
หลังจากนั้น ทุกคนก็ไม่มีการล่าช้าอีก หลังจากที่ไปขอกุญแจรถบรรทุกมาจากถานชิงซานได้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขับรถจี๊ปนำอยู่ด้านหน้า ส่วนเจียงเสี่ยวเฟิงขับรถบรรทุกตามอยู่ด้านหลัง
เจียงเสี่ยวไป๋ไปรับเจียงเสี่ยวเฟิ่งที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขาแรกก่อน
เมื่อเจียงเสี่ยวเฟิ่งรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว สองแม่ลูกก็ร้องไห้กอดกันอยู่ในรถ เจียงชานน้อยที่เห็นแบบนั้นจึงกระซิบถามหลินเจียอิน “หม่าม๊า ทำไมย่าสามกับอาเสี่ยวเฟิ่งถึงร้องไห้ล่ะคะ ? ”
หลินเจียอินตอบยาก จึงแค่บอกลูกว่าอย่าถาม
แต่ที่จริงแล้วเด็กมีอารมณ์ที่อ่อนไหวมาก ความเศร้าของผู้ใหญ่สามารถถ่ายทอดสู่เด็กน้อยได้ง่าย
หนูน้อยจึงไม่มีความสุขเช่นกัน
ไม่นาน พวกเขาก็กลับมาถึงร้านหลักที่ถนนชิงซาน เจียงเสี่ยวชิงและเจียงเสี่ยวหยูขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ป ส่วนเจียงเสี่ยวเฟิง หลัวเจาตี้ เจียงถิง และเจียงเสี่ยวเหลยขึ้นไปนั่งบนรถบรรทุกคันเล็ก รถทั้งสองคันมีคนนั่งเต็มทุกเบาะ ก่อนจะค่อย ๆ ขับกลับไปยังเจียงวานด้วยกัน
กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
ลูก ๆ กลับมากันช้าขนาดนี้ เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋อารมณ์ไม่ดีจนอยากจะบ่นพวกเขาเต็มที แต่แล้วทั้งสองก็เห็นว่าเจี่ยงชุ่ยหยูและเจียงเสี่ยวเฟิ่งร้องไห้โฮวิ่งไปหาเจียงไห่โป
หวังซิ่วจวี๋: ? ? ?
เจียงไห่หยาง: ? ? ?
ทั้งสองมองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรอีก
เจียงไห่โปเห็นเจี่ยงชุ่ยหยูกับเจียงเสี่ยวเฟิ่งกลับมาด้วย ตอนแรกเขานึกว่าสองแม่ลูกจะกลับมาฉลองวันสารทจีนด้วยกัน ตอนแรกเขาดีใจมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภรรยาและลูกสาวของเขาจะร้องห่มร้องไห้หนักขนาดนี้ เขาจึงถามด้วยความกังวลว่า “ที่รัก เสี่ยวเฟิ่ง พวกคุณเป็นอะไรไป ? ”
เจี่ยงชุ่ยหยูเพียงจับมือสามีแล้วร้องไห้ ยังคงเป็นเจียงเสี่ยวเฟิ่งที่ปาดน้ำตาแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวนี้ จากนั้นทุกคนก็เข้ามาปลอบใจสองแม่ลูก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เจี่ยงชุ่ยหยูและเจียงเสี่ยวเฟิ่งถึงได้สงบลง
“แม่คะ อาสะใภ้สามไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน แม่ช่วยทำอาหารหน่อย ! ” เจียงเสี่ยวชิงกล่าว
เจี่ยงชุ่ยหยูกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องทำหรอก ฉันกินไม่ลง”
หวังซิ่วจวี๋โน้มน้าวว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เราทุกคนรู้ว่าเธอเสียใจมาก แต่เธอจะไม่กินอะไรเลยได้อย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “อาสะใภ้สาม ผมกับเสี่ยวเฟิงก็ยังไม่ได้กินอะไรมาตลอดทั้งวัน อากินเป็นเพื่อนพวกผมเถอะ”
เจี่ยงชุ่ยหยูได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเสียใจ จึงต้องพยักหน้ารับ
ตอนนั้นเองที่หวังซิ่วจวี๋เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวเฟิง และเจียงเสี่ยวเหลยต่างเนื้อตัวเปียกปอน ความขุ่นเคืองในก่อนหน้านี้สลายไป ความปวดใจเข้ามาแทนที่ “พวกลูกตัวเปียกปอนหมดแล้ว รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
“แม่จะไปอุ่นอาหารให้ ! ” พูดจบ เธอก็รีบเดินเข้าครัวไป
เจียงเสี่ยวชิงและหลัวเจาตี้ตามไปช่วยเช่นกัน
อาหารทำไว้เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้แค่ตั้งไฟอุ่นเท่านั้น หลัวเจาตี้คิดว่าสามพี่น้องต่างตากฝนมาทั้งวัน เธอจึงต้มซุปขิงให้พวกเขาชามใหญ่
เจียงเสี่ยวไป๋อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว อาหารก็พร้อมเสิร์ฟพอดี
“ดื่มซุปขิงก่อนแล้วค่อยกินข้าว ! ”
เจียงไห่หยางสูบบุหรี่แล้วพูดออกมา
วันนี้เป็นวันสารทจีน เดิมทีก่อนกินข้าว จะต้องเรียกบรรพบุรุษมากินก่อน แต่เมื่อคำนึงถึงสภาพจิตใจของเจี่ยงชุ่ยหยูในตอนนี้ เกรงว่าเธอจะรับไม่ไหว เจียงไห่หยางจึงข้ามขั้นตอนนี้ไป
ทุกคนกินข้าวกันอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าบนโต๊ะจะเต็มไปด้วยอาหารอร่อยพร้อมพรั่ง แต่เจี่ยงชุ่ยหยูกลับกินได้เพียงไม่กี่คำก็กินไม่ลงแล้ว
นึกถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เจี่ยงจงฉือและเฉินชวนมาเยี่ยมเธอ เธออยากเลี้ยงกุ้งอบน้ำมันหลานชาย แต่ตอนนั้นหลานชายบอกว่ามันแพงเกินไป จึงปฏิเสธเธอ
ในเวลานั้น เธอไม่ได้สนใจมากนัก
แต่พอมาคิดดู เธอรู้สึกเสียใจมาก ถ้ารู้ว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้ เธอคงคะยั้นคะยอให้หลานชายได้กินอาหารอร่อย ๆ สักมื้อแล้ว
ความจริงแล้วชีวิตก็แบบนี้ หลายครั้งที่เรามักคิดว่าอนาคตยังอีกยาวไกล แต่เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเมื่อไหร่
แต่ที่น่าเศร้าคือ เรามักจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดีและพร่ำบอกพร่ำสอนกันทุกวันว่าให้หวงแหนปัจจุบันและทำทุกวันให้ดีที่สุด แต่เรากลับปล่อยผ่านมันไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะมาคิดได้ทีหลังก็ต่อเมื่อเรื่องราวหรือผู้คนที่ควรจะหวงแหนได้พลัดพรากจากไปแล้ว สุดท้ายเราก็ทำได้เพียงตำหนิตัวเองและเสียใจกับเหตุการณ์นั้นไม่รู้จบ
คืนนี้เงียบมาก
ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ได้คิดอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง