ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 283 สารทจีนปีนี้
ตอนที่ 283 :สารทจีนปีนี้
ที่เจียงวาน
เมื่อเวลาจวนจะใกล้เที่ยง ครอบครัวของเจียงไห่เทียนและเจียงไห่โปได้มาถึงที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว
เจียงเสี่ยวเยว่พาเฉินปินและเฉินหงกลับมาบ้านแม่เช่นเดียวกัน
ปกติวันสารทจะมีการเชือดสัตว์มาทำอาหาร เจียงไห่หยางจึงไปเชือดไก่เชือดแพะ
ปีที่ผ่าน ๆ มา แค่เชือดไก่สักตัวก็ยากมากแล้ว แต่ตอนนี้ครอบครัวของเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาจึงไม่เสียดายที่จะซื้อแพะมาเชือดสักตัว
เจียงไห่เทียนและเจียงไห่โปกำลัง “ทำกระดาษเงินกระดาษทอง ! ”
สิ่งที่เรียกว่า “ทำกระดาษเงินกระดาษทอง” คือการตัดกระดาษให้มีขนาดใหญ่กว่าธนบัตรสิบหยวน แบ่งพื้นที่บนกระดาษออกเป็น 3 บรรทัด แล้วใช้สิ่วตอกเป็นรูปเหรียญเงินโบราณ
เพียงประทับตราเงินลงบนแบบนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
เจียงไห่เทียนตัดกระดาษ เจียงไห่โปทำ “กระดาษเงินกระดาษทอง” ทั้งสองทำงานนี้ด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน ต่างคนต่างรู้ใจกันดี ส่วนเจียงเสี่ยวจี๋และเจียงเสี่ยวโจวต่างก็นั่งดูอยู่ข้าง ๆ
“ตอนที่ทำกระดาษเงินกระดาษทอง เราจะทำเป็นเลขคี่ ไม่ทำเลขคู่……”
เจียงไห่โปทำกระดาษเงินกระดาษทองไปด้วย พลางอธิบายกฎการทำกระดาษเงินกระดาษทองให้เจียงเสี่ยวจี๋และเจียงเสี่ยวโจวฟัง
นี่ถือเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อคนรุ่นพวกเขามีอายุมากขึ้น ประเพณีและกฎเกณฑ์บางอย่างจะถูกสอนให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้พวกเขาซึมซับและสามารถสืบทอดได้
เจียงเสี่ยวจี๋และเจียงเสี่ยวโจวต่างตั้งใจเรียนรู้เช่นกัน ตอนนี้พวกเขาทั้งสองกลายเป็นพ่อคนแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป พวกเขารู้ว่าถึงเวลาต้องรับภาระบนบ่าของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่พวกเขาแล้ว
ทำกระดาษเงินกระดาษทองเสร็จแล้ว เจียงไห่เทียนใช้กระดาษแผ่นใหญ่มาห่อกระดาษเงินกระดาษทองให้เป็นเหมือนซองจดหมาย จากนั้นเขียนชื่อบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วลงไปบนหน้าซอง พร้อมทั้งเขียนเหตุผลที่เผากระดาษและเขียนว่าใครเป็นคนเผาให้
ดังนั้น บรรพบุรุษคนหนึ่งจะมีสามชุด เพราะสามพี่น้องเขียนให้คนละชุด
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีชาวบ้านบางคนที่ไม่เขียนชื่อบรรพบุรุษลงไป นั่นเป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเขามีมากเหลือเกิน พวกเขากลัวว่าถ้าเขียนแล้วอาจพลาดชื่อใครไป ดังนั้นจึงเลือกที่จะเผากระดาษเงินกระดาษทองแบบไม่มีชื่อเพื่อสื่อว่าใครก็ตามที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขาล้วนสามารถรับผลบุญนี้ไปได้
ทุกอย่างเตรียมไว้อย่างพร้อมเพียงแล้ว เหลือก็แต่รออาหารพร้อมบูชาบรรพบุรุษ
เจียงเสี่ยวเยว่และหวังซิ่วจวี๋กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว
“แม่ แล้วพวกเสี่ยวชิงล่ะ ? ”
เมื่อไม่เห็นน้องชายและน้องสาว เจียงเสี่ยวเยว่จึงเอ่ยถาม
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “เจ้ารองพาพวกเขาเข้าเมืองไปแล้ว อีกเดี๋ยวคงกลับมา”
“นี่ก็วันสารทจีนแล้ว ทำไมพวกเขายังเข้าเมืองอีกล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวเยว่ถามอย่างไม่เข้าใจ
เธอมีอายุมากกว่าพี่น้องหลายคน ทั้งยังมีครอบครัวแล้ว เธอจึงให้ความสำคัญกับวันสารทจีนมาก
หวังซิ่วจวี๋บ่นว่า “พวกเขาไปกันหลายวันแล้ว เห็นบอกว่าจะไปแจกใบปลิวอะไรสักอย่าง ก็เพราะพวกเขาเข้าเมืองกันหมดนี่แหละ ที่บ้านถึงได้เงียบเหงาขนาดนี้”
“อีกอย่าง เจียอินก็ไม่ยอมฟังแม่เลย ขนาดตั้งครรภ์อยู่ก็ยังจะเข้าไปทำงานในเมือง ! ”
“เยว่เยว่ ลูกเป็นพี่ใหญ่ รอให้เจียอินกลับมาแล้ว ลูกก็ช่วยพูดกับน้องสะใภ้ให้แม่ที”
เจียงเสี่ยวเยว่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน เธอจะโน้มน้าวหลินเจียอินได้อย่างไร ?
แต่เธอก็ทำได้เพียงรับปากไปว่า “หนูจะลองดู”
สองแม่ลูกคุยกันและทำอาหารไปด้วย ไม่นาน อาหารก็พร้อม
แต่เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่นยังไม่กลับมา
“นี่พวกเขายังไม่กลับมาอีกหรือ ? ”
เจียงไห่หยางเริ่มร้อนใจแล้ว
หวังซิ่วจวี๋บ่นขึ้นว่า “ฉันก็อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาให้เขารีบกลับมาตอนกลางวัน เฮ้อ……ลูกคนนี้ไม่ฟังที่แม่พูดเลย”
เจียงไห่เทียนกล่าวว่า “ตอนนี้เสี่ยวไป๋ทำธุรกิจหลายอย่าง คงมีเรื่องอะไรทำให้เขาล่าช้า พวกเรารอเขาก่อนดีกว่า”
ทุกคนรอเกือบหนึ่งชั่วโมง กระทั่งเลยเที่ยงวันไปแล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังคงไม่กลับมา
“ไม่ต้องรอแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้มัวไปทำอะไรของมัน ! ”
เจียงไห่หยางพูดด้วยความโมโห
หวังซิ่วจวี๋และเจียงเสี่ยวเยว่ยกอาหารไปวางไว้บนโต๊ะไม้แปดเซียน บนโต๊ะมีชามและตะเกียบเตรียมไว้หมดแล้ว แต่กลับไม่มีใครไปนั่งที่โต๊ะ
เพราะพวกเขาต้องกราบไหว้บรรพบุรุษก่อน
ในชนบทจะเรียกธรรมเนียมนี้ว่า “เรียกบรรพบุรุษมากินข้าว”
วันนี้มีคนมาร่วมฉลองวันสารทจีนที่บ้านค่อนข้างเยอะ ดังนั้นพวกเขาจึงจัดโต๊ะอาหารไว้ 3 โต๊ะ
สามพี่น้องเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยางและเจียงไห่โปจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษ ส่วนเจียงเสี่ยวจี๋ เจียงเสี่ยวโจวและลูกหลายคนอื่นยืนดูอยู่ข้าง ๆ
จากนั้น เจียงไห่เทียนได้วางชาม 2 ชามไว้ที่แต่ละด้านของโต๊ะแปดเซียน ในชามมีข้าวอยู่ครึ่งชาม เขาวางตะเกียบที่ปากชามทุกชาม
แล้วเขาก็เทเหล้าใส่จอกอีก 8 จอก
หลังจากที่เตรียมของบนโต๊ะไหว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นำกระดาษเงินกระดาษทองที่ทำไว้ก่อนหน้านี้มาจุดไฟเผาที่ใต้โต๊ะ เขาเผากระดาษเงินกระดาษทองไปด้วย ปากก็ท่องว่า “ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่……บรรพบุรุษตระกูลเจียงผู้ล่วงลับทุกท่าน วันนี้วันสารทแล้ว ขอให้ทุกท่านกลับมากินข้าวกับญาติพี่น้อง มารับเงินรับทองด้วยเถิด……”
เมื่อกระดาษเงินกระดาษทองไหม้หมดแล้ว เจียงไห่เทียนก็นำเหล้าในจอกไปเทราดบนพื้นทีละจอก
หลังจากเทเหล้าลงบนพื้นครบทั้ง 8 จอกแล้ว เขาก็นำตะเกียบบนปากชามมาวางไว้บนโต๊ะ
เจียงไห่หยางและเจียงไห่โปทำเหมือนเขาเช่นกัน
รอจนกระทั่งกระดาษเงินกระดาษทองใต้โต๊ะถูกเผาจนวอดแล้ว ทั้งสามคนก็หยิบชาม ตะเกียบ และจอกเหล้าออกจากโต๊ะ
ซึ่งข้าวที่อยู่ในชามจะไม่ถูกนำมากินต่อ
เพราะพวกเขาถือว่า “บรรพบุรุษ” กินแล้ว ต้องนำไปเททิ้งอย่างเดียว
แต่อาหารที่อยู่บนโต๊ะสามารถนำมากินต่อได้
กระทั่งพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้นตามขั้นตอนแล้ว เจียงไห่หยางถึงได้เรียกให้ทุกคนมากินข้าวด้วยกัน
……
ทางฝั่งครอบครัวเจียงกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จและกินข้าวด้วยกันแล้ว ทางฝั่งของเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวเฟิง หวังผิง เหรินฉางเซี่ยะชาวบ้านคนอื่นยังคงลงน้ำงมหาร่างเจี่ยงจงฉือ
ฝนยังคงตกตลอดทั้งวัน และภารกิจค้นหาก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังก็คือ พวกเขายังคงหาร่างของเจี่ยงจงฉือไม่เจอ
เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว และฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น เหรินฉางเซี่ยจึงตัดสินใจหยุดภารกิจค้นหา
การลงน้ำตอนกลางค่ำกลางคืนมันอันตรายมาก
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ผู้คนหลายร้อยคนที่ค้นหาตามแม่น้ำก็ค่อย ๆ ถอนตัวออกไป เรือพายและแพไม้ไผ่สองลำก็เข้ามาจอดเทียบท่าด้วย
“ขอบคุณทุกคนมาก ตอนนี้ทุกคนกลับไปกินข้าวที่บ้าน แล้วอย่าลืมต้มน้ำขิงดื่มด้วย เราเปียกฝนมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
เหรินฉางเซี่ยพูดกับทุกคน
“รอให้เช้าวันพรุ่งนี้ เราค่อยมาค้นหาอีกรอบ”
“ใช่ พรุ่งนี้เราค่อยมาค้นหาใหม่ ! ”
“ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เราต้องพบตัวเขา หรือต่อให้เขาตายแล้ว เราก็ต้องหาร่างเขาให้เจอ ! ”
“……”
เจิ้งซานเพ่าและคนที่มาช่วยค้นหาต่างพูดขึ้นมา
แม้ว่าทุกคนจะรู้อยู่ในใจว่าแทบจะไม่มีทางที่เจี่ยงจงฉือจะมีโอกาสรอด แต่ก่อนจะพบศพของเขา ทุกคนยังคงมีความหวังอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดก็ตาม
บางทีอาจเป็นเพียง……คำอธิฐานของพวกเขา !
เหรินฉางเซี่ยกล่าวว่า “เอาล่ะ ฉันหวังว่าพรุ่งนี้จะมีแดด เราจะจัดกำลังคนเพิ่มเพื่อทำภารกิจค้นหาต่อไปยังปลายน้ำ”
ทุกคนเห็นด้วยและแยกย้ายกันไป
เจียงเสี่ยวไป๋เดินตามฝูงชนไปและได้ยินเจิ้งซานเพ่าและคนงานคนอื่นพูดคุยกันระหว่างทาง
“เดิมทีจงฉือออกไปจากพื้นที่ดินถล่มได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะเข้าไปช่วยชีวิตคนงานคนอื่น เขาก็คงไม่ถูกน้ำพัดไป”
“ใช่แล้ว เขาเป็นคนแบบนั้นมาโดยตลอด เขาชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ”
“สาเหตุที่จงฉือถูกน้ำพัดหายไปเป็นเพราะเขาสุขภาพไม่ดี พอช่วยคนได้สองคน เขาก็ไม่มีแรงแล้ว”
“ปกติฉันมักจะเตือนให้เขากินอาหารดี ๆ บำรุงร่างกายบ้าง แต่เขาก็มักจะเสียดายเงิน เขาต้องขุดเหมืองหินขุดทรายทุกวัน ทำงานหนักตลอด ต่อให้มีร่างกายเป็นเหล็กก็คงทนไม่ไหว”
“เฮ้อ……ได้ยินมาว่าเขาเป็นกำลังหลักเพียงคนเดียวในครอบครัว ตอนนี้ไม่มีเขาแล้ว คนแก่และเด็ก ๆ ในครอบครัวจะเป็นอย่างไรหนอ ? ”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้จากปากของเฉินชวนว่า เจี่ยงจงฉือมีพ่อวัยชราอายุเกือบ 60 ปีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งพ่อของเขาก็คือพี่ชายคนโตของเจี่ยงชุ่ยหยู นามว่าเจี่ยงชุ่ยซาน เจี่ยงจงฉือมีลูกชายและลูกสาวอยู่คู่หนึ่ง ลูกชายชื่อเจี่ยงจืออัน เพิ่งอายุ 7 ขวบ ลูกสาวชื่อเจี่ยงจือเสวียน เพิ่งอายุ 5 ขวบ ภรรยาของเขาชื่อวังผิง เธอมีร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า ครอบครัวของพวกเขามีเสาหลักเพียงคนเดียวคือเจี่ยงจงฉือ
พอไม่มีเจี่ยงจงฉือแล้ว ครอบครัวแบบนี้ย่อมล่มสลายเพราะขาดเสาหลัก
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
ไม่นาน ทุกคนก็เดินไปตามถนนและมาถึงที่จอดรถจี๊ป
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “พี่ ตอนนี้เรายังหาร่างเขาไม่พบ แล้วเราจะบอกอาสะใภ้สามอย่างไรดี ? ”