ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 279 ฝนตกแล้ว
ตอนที่ 279 :ฝนตกแล้ว
“เปรี้ยงงง……”
มีฟ้าแลบและฟ้าร้องในตอนเช้า หลังจากนั้น ฝนก็เริ่มตกหนัก
“พี่ วันนี้ฝนตกหนักมาก เรื่องแจกใบปลิว เราจะทำไงดี ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยยืนอยู่หน้าร้านอร่อยสามมื้อ เขามองดูฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักพลางถามด้วยความกังวล
“กินข้าวเช้าก่อนค่อยว่ากันอีกที ! ” เจียงเสี่ยวชิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
ฝนตกหนักมาก หากนำไปแจกจะทำให้ใบปลิวเปียกได้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอจนกว่าฝนจะหยุด
สี่พี่น้อง รวมทั้งหลี่ลี่และคนอื่นต่างก็กินอาหารเช้าที่นี่กันหมด
ป้าสะใภ้สามเจี่ยงชุ่ยหยูต้มบะหมี่เต้าหู้ให้พวกเขากิน
“ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวหยูจะเป็นคนที่ดึงดูดลูกค้าเข้ามาได้มากที่สุด”
“ใช่ เธอแจกใบปลิวน้อยที่สุด แต่ดึงดูดลูกค้ามาได้มากที่สุด”
“ทุกคนคิดว่าเธอโชคดีมากรู้ไหม ? ”
“ใช่ เมื่อใบปลิวถูกแจกออกไปแล้ว ใครจะรู้ว่าลูกค้าจะมาไหม ? ”
“……”
หลี่ลี่ฟังการสนทนาของพวกเขา เธอจึงกล่าวว่า: “เมื่อวันก่อนเสี่ยวหยูไปแจกใบปลิวกับฉัน ฉันเห็นว่าพอเธอแจกใบปลิวให้ทุกคน เธอก็จะเรียกพวกเขาว่าพี่ชาย พี่สาว ลุง ป้า แล้วบอกว่าเอาใบปลิวไปแลกรับเมล็ดแตงโมฟรี เธอแจกใบปลิวแบบนี้ ย่อมได้ผลดีแน่นอน”
“ในขณะที่พวกเธอแค่แจกใบปลิวให้คนอื่นโดยไม่ได้พูดอะไร เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะไม่ได้อ่านใบปลิวหลังจากได้รับแล้ว”
เสียงของพวกเขาเงียบลง หลายคนแจกใบปลิวเหมือนที่หลี่ลี่บอก แค่ยื่นไปให้เท่านั้น ไม่มีการพูดคุยหรือเชิญชวนอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่แจกใบปลิวแบบกวาดถนน หลายคนไม่เห็นใครเลยตอนแจกใบปลิว พวกเขาแค่ยัดใบปลิวเข้าไปในรอยแยกที่ประตูแล้วออกไป
ผลลัพธ์ของการแจกใบปลิวในลักษณะนี้ไม่ดีเท่าของเจียงเสี่ยวหยูอย่างแน่นอน
เจียงเสี่ยวชิงกล่าวว่า “จากเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ อย่างการแจกใบปลิว แต่ใช้ใจทำกับไม่ใช้ใจทำย่อมให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน”
“ในอนาคต เมื่อทุกคนแจกใบปลิวและพบปะผู้คน ทุกคนต้องเรียนรู้จากเจียงเสี่ยวหยู”
“ได้ ! ”
“เรียนรู้จากเสี่ยวหยู ! ”
“……”
หลายคนขานรับด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวหยูดีใจมาก เธอรู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จ
เจียงเสี่ยวชิงพูดต่ออีกว่า “แน่นอนว่า นอกจากการเอาใจใส่ตอนแจกใบปลิวแล้ว การทำงานหนักก็มีความสำคัญเช่นกัน ผู้ที่เรียกลูกค้ามาได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 คือเจียงเสี่ยวเหลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจเท่าเจียงเสี่ยวหยู แต่จำนวนใบปลิวที่เขาแจกมีมากกว่าใคร ยิ่งเราแจกออกไปมาก เราก็จะมีโอกาสเรียกลูกค้ากลับมาได้มาก”
หลายคนต่างปรบมือให้เจียงเสี่ยวเหลย
เจียงเสี่ยวเหลยกลับดีใจไม่ออก เขาตั้งใจขนาดนั้น ผลปรากฏว่าเทียบน้องสาวไม่ติดเลย และให้เรียนรู้จากเจียงเสี่ยวหยู เขาทำไม่ได้จริง ๆ
เจียงเสี่ยวหยูอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น ใครเห็นเธอก็คิดว่าเธอน่ารักและขยัน แบบนี้มีใครบ้างจะไม่สนับสนุนงานของเธอ ?
ทางฝั่งนี้ เจี่ยงชุ่ยหยูเองก็มาคุยเล่นกับเจียงเสี่ยวเฟิงเช่นกัน
“เสี่ยวเฟิง วันนี้กลับเจี้ยนหยางแล้วใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “วันนี้วันสารทจีน ผมจะกลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ที่บ้านตอนบ่าย พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเจี้ยนหยาง”
เจี่ยงชุ่ยหยูพูดอย่างทอดถอนใจว่า “เผลอแป๊บเดียวก็ถึงช่วงสารทจีนแล้ว งานที่ร้านยุ่งมาก อากับเสี่ยวเฟิ่งกลับบ้านไม่ได้ มีแต่อาสาม เสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันอยู่กันแค่สามคนที่บ้าน”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “ป้าสะใภ้สามไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา ลุงใหญ่กับพ่อจะต้องชวนอาสามมาฉลองวันสารทด้วยกันแน่นอน หากไม่ฉลองที่บ้านลุงใหญ่ ก็คงมาฉลองที่บ้านพี่เสี่ยวไป๋”
เจี่ยงชุ่ยหยูพยักหน้า “ที่ผ่านมามักจะไปที่บ้านลุงใหญ่เขา ปีนี้คงไปที่บ้านเสี่ยวไป๋กัน”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไปบ้านไหนก็เหมือนกัน”
เจี่ยงชุ่ยหยูฝืนยิ้ม ใช่แล้ว บ้านไหนก็เหมือนกัน แต่มันจะเหมือนกันจริง ๆ หรือ ?
เพราะที่ผ่านมา ทั้งครอบครัวมักได้ร่วมฉลองด้วยกันมาโดยตลอด
แต่ปีนี้ไม่ได้แล้ว เพราะเธอต้องทำงานและไม่สามารถกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวได้
ซึ่งในความเป็นจริง บนโลกใบนี้มีคนที่เป็นแบบเจี่ยงชุ่ยหยูเยอะมาก
พวกเขาปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด แต่พวกเขาต้องทำงานเพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
บางที นี่อาจเป็นความยากลำบากของชีวิต
หากคุณอยากได้เงิน คุณต้องอดทนกับการพลัดพรากจากกันและสูญเสียความสัมพันธ์ทางครอบครัวบ้าง
และถ้าคุณสนุกกับการพบปะสังสรรค์และความอบอุ่นของครอบครัว คุณก็จะไม่ได้เงิน
เช่นเดียวกับถนน เมื่อคุณอยู่บนถนน หนทางที่ให้เดินต่อมีเพียงด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น
เวลาของคนเรา สามารถมอบให้ได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น
การได้รับหมายถึงการสูญเสีย !
เจียงเสี่ยวเฟิงเห็นอาสะใภ้สามอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “อาสะใภ้สาม ผมได้ยินมาว่าเสี่ยวเฟิ่งกำลังออกเดทกับใครบางคนอยู่หรือ ? ”
พูดถึงเรื่องนี้ เจี่ยงชุ่ยหยูดูเหมือนอารมณ์ดีขึ้นมา “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะตามจีบเธอจริง เป็นคนในเมือง ฐานะทางบ้านไม่เลวเลย แต่เสี่ยวเฟิ่งยังไม่ตอบตกลง”
หากเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีคนจากในเมืองมาจีบเจียงเสี่ยวเฟิ่ง เจี่ยงชุ่ยหยูคงจะตอบตกลงในทันที
เพราะในตอนนั้นครอบครัวของพวกเธอยากจน หากลูกสาวแต่งงานออกไป ก็จะช่วยประหยัดอาหารได้บ้าง
สภาพความเป็นอยู่ของคนในเมืองดีกว่าคนในชนบทมาก ถ้าลูกสาวแต่งงานกับคนเมือง เธอก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้
พ่อแม่จะยอมอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไป ผู้คนในเจียงวานมีเงินแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารจะหมดเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถซื้อเนื้อสัตว์กินได้บ่อย ๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวเฟิ่งเองก็กลายเป็นผู้จัดการร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขาสอง เงินเดือนและโบนัสเพิ่มขึ้นเป็น 400-500 หยวน ซึ่งสูงกว่ารายได้ต่อปีของพนักงานธรรมดาในเมือง
มาตรฐานของเจี่ยงชุ่ยหยูจึงสูงขึ้น เธออยากเลือกครอบครัวสามีที่ดีให้ลูกสาวของเธอ
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “เสี่ยวเฟิ่งได้แต่งงานเข้าเมืองถือว่าเป็นเรื่องดี ! ”
เจี่ยงชุ่ยหยูกล่าวว่า “เด็กคนนั้นหัวรั้น เธอบอกให้คบเป็นแฟนน่ะได้ แต่ถ้าต้องแต่งงาน เขาจะต้องแต่งเข้าบ้านเท่านั้น”
เจียงเสี่ยวเฟิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ: “ทำไมเสี่ยวเฟิ่งถึงมีความคิดนี้ได้ล่ะ ? ”
เจี่ยงชุ่ยหยูยักไหล่ “อาจะไปรู้ได้อย่างไร อากับอาสามของหลานไม่ใช่คนที่ไม่มีลูกชายเสียหน่อย ทำไมถึงต้องให้ลูกเขยแต่งเข้าบ้านด้วย ? ”
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าเด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงจึงพูดโน้มน้าวว่า “เสี่ยวเฟิ่งเพิ่งจะอายุ 20 ปีเท่านั้น ยังไม่รีบร้อนแต่งงาน ตอนนี้เธอได้เงินเดือนสูง แต่งงานช้าหน่อยก็จะได้หาเงินให้ครอบครัวได้เยอะ ๆ ”
เจี่ยงชุ่ยหยูถอนหายใจออกมาพลางพูดว่า “ตอนนี้ที่บ้านไม่จำเป็นต้องให้เธอหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว อาสามของหลานมีรายได้จากการจับกุ้งเครย์ฟิชขาย ส่วนตัวอาเองก็มีเงินเดือนไม่น้อย ฉะนั้นเราสองคนในฐานะพ่อแม่ หวังเพียงให้เธอได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดี”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็กินมื้อเช้าเสร็จพอดี เจี่ยงชุ่ยหยูเก็บจานชามและตะเกียบ แล้วถึงไปทำงานต่อ
ที่เจียงวาน
ครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋กำลังกินอาหารเช้าเช่นเดียวกัน
“วันนี้เป็นวันสารทจีน แถมยังฝนตกหนักขนาดนี้ เจียอิน แม่ว่าลูกไม่ต้องไปทำงานหรอก” หวังซิ่วจวี๋พยายามโน้มน้าวหลินเจียอิน
หลินเจียอินไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “แม่ วันนี้หนูมีธุระ จะไม่ให้ไปทำงานได้อย่างไร ? ”
พูดจบ เธอก็หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ทำได้เพียงพูดว่า “แม่ ต่อให้ฝนตก แต่ผมก็มีรถ พวกเราไม่เปียกฝนหรอก”
หวังซิ่วจวี๋มองค้อนลูกชาย มีรถแล้วยังไง ! ที่ฉันทำไปก็เพื่อหลานชายสุดรักของฉันนะ !
เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ พอได้เมียแล้วก็ลืมแม่ทันที !
มองไม่ออกหรือไงว่าฉันทำเพื่อแกทั้งนั้น !
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าสบตาแม่ของเขา จึงทำได้เพียงก้มหน้ากินอย่างเงียบ ๆ
หวังซิ่วจวี๋พูดยังไม่สบอารมณ์ว่า “วันนี้เป็นวันสารทจีน ลูกพาพวกเสี่ยวหยูกลับมาที่บ้านด้วย พาน้องแต่ละคนออกไปทำงานกันหมด บ้านใหญ่ขนาดนี้จะไม่ให้เหลือใครสักคนเลยหรือไง”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็รีบผงกหัวทันที “เดี๋ยวตอนบ่ายผมจะรับพวกเขากลับมา ! ”
หวังซิ่วจวี๋ขึ้นเสียงสูงทันที “ตอนบ่ายอะไรกัน ? วันนี้วันสารทจีนนะ ลูกต้องพาพวกเขากลับมาตั้งแต่ตอนเที่ยงสิ ! ”