ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 276 ไม่ต้องช่วยประหยัด
ตอนที่ 276 :ไม่ต้องช่วยประหยัด
หลี่ลี่คำนวณยอดขายแล้วพูดอย่างตื่นเต้น: “วันนี้เราขายได้ 917 ถุง รวมเป็นเงิน 275.1 หยวน”
“ว้าว เยอะขนาดนี้เชียว ! ”
“กิจการของพวกเรารุ่งเรืองแล้ว ! ”
“วันเดียวยังขายได้มากกว่า 200 หยวน ถ้าขายไปเดือนนึงจะไม่ได้หลายพันหยวนเลยหรือ ? ”
“……”
หลี่เจีย หวังฉิน และคนอื่นตื่นเต้นมาก
เพราะเงิน 200 กว่าหยวนถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับพวกเขา
เจียงเสี่ยวเฟิงกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย เขารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
คน 7-8 คนทำงานมือไม้พันกันตลอดทั้งวัน แต่ทำยอดขายได้เพียงสองร้อยกว่าหยวนเท่านั้น แม้ว่ากำไรจะมากถึง 50% แต่พวกเขาทำเงินได้ตกวันละร้อยกว่าหยวนเอง
นี่ยังไม่นับรวมต้นทุนที่แจกฟรีไปเกือบ 8,000 ถุง
โดยรวมแล้ว เมล็ดแตงโม 5 รสที่แจกฟรีมีต้นทุนสูงถึงสี่ร้อยกว่าหยวน
นี่เป็นการขาดทุนอย่างแท้จริงเลย !
พอเคยได้เห็นผลกำไรมหาศาลจากธุรกิจกุ้งเครย์ฟิช เจียงเสี่ยวเฟิงก็ผิดหวังเล็กน้อยกับกำไรที่น้อยนิดจากธุรกิจเมล็ดแตงโม 5 รส
ธุรกิจเมล็ดแตงโม 5 รสทำเงินเทียบกับธุรกิจกุ้งเครย์ฟิชไม่ได้เลย
“เอาใบปลิวพวกนี้ไปด้วย พวกเราจะไปหาเจียงเสี่ยวชิง แล้วไปกินข้าวเย็นกัน”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดอย่างหดหู่
ใบปลิวเหล่านี้จะถูกแบ่งตามตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 20 และถูกคืนให้กับเจียงเสี่ยวชิง แบบนี้ไม่เพียงแต่สามารถนับจำนวนลูกค้าที่พนักงานแจกใบปลิวแต่ละคนดึงดูดมาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำกลับไปแจกซ้ำ ช่วยประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย
พอได้ยินเรื่องกิน หลี่เจียและคนอื่นต่างก็ส่งเสียงเฮขึ้นมา
สำหรับคนยุคนี้ ความพึงพอใจสูงสุดคือการได้กินอาหารร้อน ๆ หลังเลิกงานที่เหนื่อยมาทั้งวัน
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เคยงกเรื่องกินกับพนักงาน เขามีทั้งกุ้งอบน้ำมัน พะโล้ ผัดผัก ซุปไข่ใส่มะเขือเทศ และเมนูอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นกับลูกพี่ลูกน้องอย่างพวกหลี่ลี่ หวังเจี้ยนหรือพนักงานพาร์ทไทม์ทั้ง 15 คนนั้น พวกเขาต่างไม่เคยได้กินอาหารดี ๆ แบบนี้ที่บ้านมาก่อน
พวกเขาเดินไปที่ร้านอร่อยสามมื้อที่อยู่ฟากตรงข้าม
ทุกคนดูมีความสุขราวกับนักรบที่ได้รับชัยชนะ เว้นก็แต่เจียงเสี่ยวเฟิง
……
กลับมาที่เจียงเสี่ยวไป๋และฟู่เต๋อเจิง ทั้งสองยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องอาหารไปสักพัก ถึงได้เห็นรองนายกเทศมนตรีจางและติงจวิ้นเจี๋ยเดินอาด ๆ เข้ามา
“เหล่าฟู่ นานทีเลยนะที่คุณจะออกมารอต้อนรับฉันด้วย ! ” รองนายกเทศมนตรีจางพูดแซว
ฟู่เต๋อเจิงชี้ไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ พลางพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ภรรยาของเจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งท้อง ห้ามสูบบุหรี่ในห้อง เขาบอกว่าควันบุหรี่มือสองไม่ดีต่อเด็กในท้อง”
ควันบุหรี่มือสอง ?
มีคำพูดแบบนี้ด้วย !
รองนายกเทศมนตรีจางเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เขาหันไปแสดงความยินดีกับเจียงเสี่ยวไป๋ “ขอแสดงความยินดีด้วย วันนี้ต้องดื่มฉลองกันหน่อยแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “ภรรยาของผมตั้งครรภ์แล้ว เย็นนี้ผมยังต้องขับรถกลับบ้าน ดื่มแล้วขับทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ฉะนั้นวันนี้ผมขอผ่านก่อน”
รองนายกเทศมนตรีจางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณก็เคร่งครัดกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้ไปยังฟู่เต๋อเจิง “แม้ว่าผมจะไม่ดื่ม แต่คนที่จะดื่มเป็นเพื่อนท่านรองนายกยังอยู่นี่อีกคนนี่ครับ”
ฟู่เต๋อเจิงกระตุกมุมปาก แต่สุดท้ายเขาก็อดพูดไม่ได้ “ไม่ต้องสนใจเขาหรอก วันนี้ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนเอง”
ระหว่างที่พูด เขาก็เดินโอบไหล่เข้าไปในร้านกับรองนายกเทศมนตรีจาง
ติงจวิ้นเจี๋ยแสดงความยินดีกับเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วเดินเข้าร้านไปพร้อมกับเขา
“สวัสดีค่ะรองนายกจาง ! ”
“สวัสดีค่ะลุงจาง ! ”
เมื่อเข้ามาในห้องส่วนตัว หลินเจียอินและเจียงชานต่างทักทายเขาอย่างมีมารยาท
รองนายกเทศมนตรีจางหันไปพยักหน้าให้หลินเจียอิน แล้วแกล้งหยอกเจียงชาน: “ชานชาน วันนี้เตรียมของอร่อยอะไรไว้ให้ลุงบ้าง ? ”
เจียงชานไม่ได้เขินอายหรือกลัวเลยสักนิด หนูน้อยตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ป่าป๊าทำต้มปลาเสฉวน มันอร่อยมากเลยนะคะ”
รองนายกเทศมนตรีจางจึงถามหนูน้อยด้วยรอยยิ้ม “หนูเคยกินแล้วหรือ ? ”
เจียงชานพยักหน้าไม่หยุด “ครั้งที่แล้วพ่อเคยทำให้กินที่บ้าน แต่ตอนนั้นมีหัวปลาแค่ 2 หัว หนูกินไปแค่ครึ่งหัว ยังไม่หนำใจเลย”
รองนายกเทศมนตรีจางพูดด้วยความเอ็นดูว่า “งั้นวันนี้กินให้เต็มที่เลยนะ มานั่งข้าง ๆ ลุงสิ จะได้มากินหัวปลาด้วยกัน”
“ได้ค่ะ ! ”
หนูน้อยมองหม่าม๊าของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ เธอเดินไปนั่งข้างรองนายกเทศมนตรีจางอย่างมีความสุข
หลินเจียอินอยากห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว
ฟู่เต๋อเจิงเรียกติงจวิ้นเจี๋ยให้นั่งลงด้วยกัน เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดู พลางพูดว่า “เหล้าเหมาไถหรือนี่ ของดีเลยนะ ! ”
เขาเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วหันไปหารองนายกเทศมนตรีจางและติงจวิ้นเจี๋ย “เหล่าจาง เสี่ยวติง วันนี้เจ้าของดื่มเหล้าไม่ได้ พวกเราสามคนก็ไม่ต้องช่วยเขาประหยัดหรอก”
รองนายกเทศมนตรีจางพูดสมทบเช่นกัน “เหล้าเหมาไถดื่มคล่องคอกว่าเหล้าข้าวโพดตั้งเยอะ”
ติงจวิ้นเจี๋ยยิ้มแล้วเหลือบมองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ ผู้นำทั้งสองท่านจำได้ขึ้นใจถึงเรื่องที่เจียงเสี่ยวไป๋ให้พวกเขาดื่มเหล้าข้าวโพดในงานเลี้ยงฉลองที่เจียงเสี่ยวชิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไป “ไม่ต้องช่วยผมประหยัดหรอก” จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังลังเหล้าเหมาไถที่อยู่ด้านข้าง “มีเหลือเฟือ ไม่หมดไม่เลิก”
ก่อนปี 1984 เหล้าเหมาไถหนึ่งลังมีทั้งหมด 12 ขวด
ต่อให้รองนายกเทศมนตรีจาง ฟู่เต๋อเจิงและติงจวิ้นเจี๋ยจะดื่มโหดแค่ไหน แต่พวกเขาไม่มีทางดื่มหมดแน่นอน
ฟู่เต๋อเจิงมองไปยังลังเหล้าเหมาไถ แล้วหันไปมองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋: เจ้าเด็กคนนี้เตรียมตัวมาดีตลอด !
ไม่ผิด เจียงเสี่ยวไป๋เตรียมตัวมาดีจริง
โดยปกติเวลาให้เหล้าเป็นของขวัญสักขวดสองขวดยังต้องหาเหตุผล ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะไม่รับมันไปโดยไม่มีเหตุผล แต่หากคุณอาศัยจังหวะตอนกินข้าวให้พวกเขานำเหล้าที่ดื่มไม่หมดกลับไปด้วย เช่นนั้นก็จะดูสมเหตุสมผลมากขึ้นแล้ว
นี่เป็นเทคนิคการให้ของขวัญเช่นกัน
“คิดจะขู่ให้ใครกลัว ? ”
“ต่อให้ดื่มไม่หมด พวกเราก็จะเอากลับ ไม่เหลือไว้ให้คุณหรอก ! ”
ฟู่เต๋อเจิงพูดอย่างหน้าไม่อาย
“ตกลง ๆ ตามที่พวกคุณต้องการเลย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวชวนให้ทุกคนเริ่มกินอาหาร
อาหารควรมีห้ารสชาติ เหล้าควรดื่มสามรอบ
รองนายกเทศมนตรีจางตาโตเป็นประกาย “อาหารที่บ้านเกิดอร่อยที่สุดแล้ว เผ็ดถึงใจที่สุด ! ”
เจียงชานน้อยได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับเสียงสดใส “เป็นเพราะป่าป๊าของหนูทำอาหารอร่อยต่างหาก”
รองนายกเทศมนตรีจางและฟู่เต๋อเจิงต่างก็หัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ทั้งสองคนอายุสี่สิบเศษแล้ว ลูกหลานของพวกเขาต่างก็เติบโตแยกย้ายกันไปหมด อีกทั้งพวกเขาทั้งสองยังมีหน้าที่การงานใหญ่โต จึงไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับเด็กน้อยมาเป็นเวลานาน วันนี้ได้มีโอกาสนั่งกินข้าวกับเด็กน้อยอย่างเจียงชาน ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
“หัวปลาได้ที่แล้ว เดี๋ยวผมจะใส่ข้าวสุกลงไปตุ๋นประมาณ 15 นาที เท่านี้ก็กินได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวขณะนำข้าวที่พนักงานนำมาเสิร์ฟใส่ลงในหม้อไฟและปิดหม้อไว้
“ว้าว จะได้กินข้าวต้มปลาเสฉวนแล้ว ! ”
เจียงชานน้อยดูตื่นเต้นมาก เธอจ้องมองหม้อไฟด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
หนูน้อยพูดเสียงใสทำให้รองนายกเทศมนตรีจางตั้งตารอเช่นกัน
เขาแอบเหลือบมองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋อย่างเงียบ ๆ และยังคงสงสัยว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่พูดถึงรถบรรทุกพวกนั้นเลยสักคำ
ขนาดติงจวิ้นเจี๋ยยังไม่เข้าใจว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมาไม้ไหน ?
ทว่าฟู่เต๋อเจิงกลับเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องนี้ให้แทน
“เสี่ยวเจียง เมื่อตอนสายเย่กวงโต้วเอาต้นฉบับโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์มาให้ฉันดู ด้านบนนั้นเขียนว่าต้องการรับสมัครคนขับรถ 100 คน มันเรื่องอะไรกัน ? ”
รับสมัครคนขับรถร้อยคน ?
รองนายกเทศมนตรีจาง: ฉันไม่ได้มีรถให้คุณมากขนาดนั้น !
ติงจวิ้นเจี๋ย: พี่เจียงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนอีก ? ขนาดตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่ารองนายกจางอนุมัติรถบรรทุกให้พี่ได้กี่คัน ? แต่พี่ก็กล้ารับสมัครคนขับรถมากมายขนาดนี้แล้ว !
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแล้วอธิบายให้พวกเขาฟัง “ตอนนี้โรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกมีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ที่ผมรับสมัครคนขับรถบรรทุกก็เพราะต้องการให้พวกเขาคอยขนส่งสินค้าให้”
ฟู่เต๋อเจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงนี่เอง ตอนแรกฉันยังนึกว่าเป็นเพราะเจ้าเด็กคนนั้นไม่พอใจที่ฉันย้ายเขาไปอยู่แผนกโฆษณา ก็เลยก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ! ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็มองไปที่รองนายกเทศมนตรีจาง และดูเหมือนจะมีความตระหนักรู้บางอย่าง เขาจึงพูดว่า “เหล่าจาง คุณสามารถอนุมัติรถบรรทุกได้ทีเดียวเป็นร้อยคันเลยหรือ ไม่ธรรมดาเลยนะ”
รองนายกเทศมนตรีจางหน้าดำคร่ำเครียด เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แล้วฉันจะไปหารถบรรทุก 100 คันจากไหนมาให้เขา ? ”