ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 275 ดึงมาเป็นไม้กันหมา
ตอนที่ 275 :ดึงมาเป็นไม้กันหมา
ที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขาหลัก
ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบห้องท้ายสุด มีหม้อไฟหัวปลาอยู่บนโต๊ะ เมนูกุ้งอบน้ำมันที่อร่อยที่สุด และอาหารอีกหลายจานที่เสิร์ฟไว้พร้อมเหล้า
อาหารและเหล้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอแขกเท่านั้น
หลินเจียอินพูดว่า “คุณเลี้ยงข้าวรองนายกเทศมนตรีจาง คุณชวนฉันมานั่งกินด้วยก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่ทำไมถึงพาชานชานมาด้วยล่ะ ? ”
“ลูกเป็นเด็ก มันจะดีหรือ ? ”
เจียงชานพูดอย่างไม่พอใจว่า “หม่าม๊า ทำไมถึงบอกว่าหนูไม่ดีล่ะ ? ”
หลินเจียอินลูบหัวลูกสาวแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ไม่ได้บอกว่าลูกไม่ดี เพียงแต่แม่ต้องการจะบอกว่าพ่อเลี้ยงข้าวลุงจางของลูก การที่ให้เด็กอย่างลูกมานั่งกินด้วย มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่”
“หนูมากินข้าวกับลุงจาง แล้วทำไมมันถึงไม่เหมาะสมล่ะ ? ”
หนูน้อยทำตาปริบ ๆ ถามหลินเจียอินด้วยความสงสัย
ในปี 1983 แม้ว่าจะแค่มีแขกมาที่บ้าน แต่ผู้หญิงและเด็กมักไม่ได้รับอนุญาตให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลี้ยงรับรองผู้นำเลย
นี่เป็นวิธีที่ผู้ใหญ่สอนเด็กในยุคนี้ และถือเป็นธรรมเนียมมาโดยตลอด
โดยทั่วไปแล้วถ้าผู้ใหญ่พูดอย่างไร เด็กก็จะทำตามอย่างนั้น น้อยคนนักที่จะต่อปากต่อคำ
ยิ่งไม่มีใครถามว่าทำไม
จู่ ๆ เจียงชานถามมาแบบนี้ หลินเจียอินถึงกับผงะไปเล็กน้อย “นี่คือกฎที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มันคือมารยาท”
หนูน้อยทำหน้ามุ่ย บ่นพึมพำว่า “กฎอะไรไม่เห็นดีเลยสักนิด ! ”
หลินเจียอินได้ยินแล้วก็มองเจียงชานด้วยสายตาดุ ในขณะที่กำลังจะอบรมลูกสาว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยกมือห้ามศึกระหว่างสองแม่ลูก แล้วพูดว่า “เมียจ๋า กฎเป็นของตาย แต่คนยังมีชีวิต บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจกฎมากนัก ชานชานมากินข้าวกับเรา ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
หนูน้อยได้ยินผู้เป็นพ่อพูดมาแบบนี้ เธอก็ดีใจทันที
“ป่าป๊าดีที่สุด ! ”
“หม่าม๊ามีกฎเยอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ทำให้หลินเจียอินมองค้อนเขาไปหนึ่งที: เฮอะ ! คุณก็ดีแต่ตามใจลูก !
ไม่นานหลังจากนั้น หูฉางอิงก็พาฟู่เต๋อเจิงเข้ามา
“โอ้ วันนี้ทำอาหารอร่อยอะไรมาติดสินบนฉันอีกล่ะ แถมยังโทรมาชวนให้ฉันมาให้ได้อีก ! ”
เมื่อเข้ามาในห้อง ฟู่เต๋อเจิงถูกกลิ่นหอมของหม้อไฟหัวปลาดึงดูดเข้าอย่างจัง เขาสูดจมูกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ผมไม่ได้จะติดสินบนคุณ แต่รองนายกเทศมนตรีจางจะดื่มเหล้า ผมดื่มไม่ได้ เขาก็เลยให้คุณมาเป็นเพื่อนดื่ม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เต๋อเจิงดูแข็งขึ้นมาเล็กน้อย
แม่เจ้า ที่แท้ก็เรียกให้ฉันมาดื่มเป็นเพื่อนคนอื่นนี่เอง !
เขาพูดด้วยความโมโหว่า “สรุปแล้วคุณเป็นคนเรียกฉันมา หรือเหล่าจางเป็นคนเรียกฉันมา ? ”
แน่นอนว่าคนที่เรียกเขามาย่อมเป็นเจียงเสี่ยวไป๋อยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพูดยืนยันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “รองนายกเป็นคนให้โทรตาม”
ฟู่เต๋อเจิงไม่เชื่อ เขากวาดตามองภายในห้องส่วนตัว เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินและเจียงชานต่างก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน ในใจของเขาก็เกิดความสงสารเล็กน้อย
“สวัสดีประธานฟู่ ! ”
หลินเจียอินลุกขึ้นทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะคุณลุง ! ”
เจียงชานกล่าวทักทายอย่างมีมารยาทเช่นกัน
ฟู่เต๋อเจิงพยักหน้ารับ “น้องสะใภ้กับชานชานก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมนูบ้าน ๆ น่ะ เลยเรียกภรรยากับลูกมากินด้วย”
ฟู่เต๋อเจิงย่อมไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกนี้ เขาหันไปหยอกชานชานเล่น
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับหลินเจียอินว่า “คุณกับชานชานรออยู่ในห้องไปก่อนนะ ผมกับประธานฟู่จะออกไปต้อนรับท่านรองนายกเสียหน่อย เขาน่าจะใกล้ถึงแล้ว”
“ถ้าจะออกไปต้อนรับก็ไปคนเดียวสิ มาลากฉันไปด้วยทำไม ? ” หลังออกมาจากในห้อง ฟู่เต๋อเจิงก็พูดด้วยความไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เขา 1 มวน “ผมก็แค่เรียกคุณออกมาสูบบุหรี่ข้างนอก”
ฟู่เต๋อเจิงทำท่าทีฮึดฮัดแล้วกล่าวว่า “สูบในห้องได้เหมือนกันนี่ ทำไมต้องให้ออกมาส่งข้างนอกด้วย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มมาก “ภรรยาของผมกำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรรับควันบุหรี่มือสอง เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพของลูกในท้อง ! ”
ฟู่เต๋อเจิงชะงัก ควันบุหรี่มือสองคืออะไร เขาไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
แต่หลินเจียอินตั้งครรภ์แล้ว ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องดี ในเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เข้มงวดเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นก็ไม่ต้องสูบบุหรี่ในห้องก็ได้
หลังจากอวยพรแล้ว เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนหนุ่มอย่างนายใช้ได้เลย กี่เดือนแล้วล่ะ ? ”
“เดือนกว่าแล้ว ! ”
“นี่เป็นเรื่องดี อีกเดี๋ยวต้องดื่มฉลองกันมาแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นจึงรีบพูดว่า “แบบนั้นไม่ได้ หลังกินข้าวเสร็จแล้ว ผมยังต้องขับรถ ดื่มแล้วขับไม่ปลอดภัย”
ฟู่เต๋อเจิงคิดแล้วมันก็จริง จึงพยักหน้ารับ “ตอนนี้น้องสะใภ้ตั้งครรภ์แล้ว นายต้องระวังเรื่องความปลอดภัยให้ดี เอาล่ะ ครั้งนี้จะไม่บังคับนายแล้ว”
และแล้วเขาถึงได้รู้ว่าที่เจ้าเด็กคนนี้โทรเรียกเขามากินข้าว ไม่ใช่ความต้องการของรองนายกเทศมนตรีจาง
เขาแค่ถูกเจียงเสี่ยวไป๋ลากให้มาเป็นไม้กันหมา ให้มาดื่มเป็นเพื่อนรองนายกเทศมนตรีจางต่างหาก
แต่พอคิดได้ว่าหลินเจียอินตั้งครรภ์แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ต้องขับรถ เขาจึงไม่ได้เร้าหรือ แต่ถามว่า: “แล้วเมล็ดแตงโม 5 รสของนายเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
“น่าจะพอได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋บอก
เขาออกมาตั้งแต่ตอนเที่ยง ไม่รู้ว่าทางร้านขายเป็นอย่างไรบ้าง
……
ทางด้านร้านโยวผิ่น เจียงเสี่ยวไป๋กลับไปแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงจึงทำได้เพียงแค่พยายามรับมือกับมัน
ไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าคนเราถูกบีบบังคับให้เติบโต
ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋อยู่ เจียงเสี่ยวเฟิงแค่ทำงานเงียบ ๆ และทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยู่แล้ว เขาต้องคอยแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง อย่างเช่น การรันลำดับคิว การตอบคำถามลูกค้า
ตอนแรกเขายังไม่ชิน แต่หลังจาดนั้นเขาก็เริ่มรับมือได้ดีขึ้น
แค่พูดกับลูกค้าสักสองสามคำ มันไม่ได้ดูน่าอายอย่างที่คิด
การแจกเมล็ดแตงโมและการขายเมล็ดแตงโมล้วนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
งานยุ่งจนประมาณทุ่มกว่า จำนวนคนมารับเมล็ดแตงโม 5 รสฟรีก็ค่อย ๆ ลดลง
เจียงเสี่ยวเฟิงและพนักงานคนอื่นถึงได้มีเวลาพักให้หายใจโล่งคอ
“ทำเอาฉันเหนื่อยแทบแย่เลย เหนื่อยกว่าตอนแจกใบปลิวเสียอีก ! ”
“มันไม่ได้เหนื่อยกว่าการแจกใบปลิว เพียงแต่มันตื่นเต้นและท้าทายกว่า”
“ก็จริง ตอนแรกเราแจกอย่างเดียว แต่ไม่มีใครมาซื้อ ตอนนั้นฉันเป็นกังวลแทบตาย แต่พอช่วงหลังมีคนมาซื้อเยอะขึ้น ฉันถึงได้โล่งอก”
“ฉันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“……”
หลังจากมีเวลาว่าง หลี่ลี่และคนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“ผู้จัดการเจียง คิดไม่ถึงเลยว่าเมล็ดแตงโม 5 รสของเราจะเป็นที่นิยมขนาดนี้”
ซ่งซิงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“เร็ว ๆ เข้า มาดูกันว่าวันนี้พวกเราขายได้เท่าไหร่ ? ” หลี่ลี่พูดอย่างตื่นเต้นเช่นกัน แววตาของเธอเป็นประกายไปด้วยความคาดหวัง
เจียงเสี่ยวเฟิงอยากรู้เช่นกันว่าวันนี้พวกเขาขายได้มากน้อยแค่ไหน เขามองไปนอกร้านแล้วพูดว่า “งั้นพวกเราปิดร้านกันเถอะ”
หลี่ลี่ได้ยินแบบนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา “พี่เสี่ยวไป๋บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ปิดร้านตอนสองทุ่ม ตอนนี้เพิ่งทุ่มกว่าเอง พวกเราจะปิดร้านเลยหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีคนมาแล้ว เราปิดเร็วหน่อยได้”
เขาไม่อวดรู้เรื่องนี้ แต่เขารู้ว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดมาแบบนี้แล้ว หลี่ลี่จึงไม่พูดอะไร เธอเองก็เหนื่อยจนไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้ว ดังนั้นเธอจึงเรียกให้หวังเจี้ยนมาปิดประตู
ในปี 1983 ร้านค้าทั่วไปไม่ได้ใช้ประตูพับได้เหมือนยุคหลัง ประตูเป็นประตูเหล็ก ซึ่งปิดยากกว่ามาก
หน้าต่างโชว์สินค้ากว้าง 4 เมตรมีรางเหล็กทั้งขอบบนขอบล่าง ใช้แผงประตูเล็กยาวประมาณ 1.78 เมตร กว้าง 40 เซนติเมตร มาปิดหน้าต่างแล้วติดกลอนประตูยาวไว้ตรงกลางเพื่อป้องกันโจรงัด
หลังจากปิดร้านแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงให้คังเวยและซ่งซิงไปนับสต็อคสินค้า หลี่ลี่กับหลี่เจียทำบัญชี ส่วนเขานำหวังฉินและหวังเจี้ยนไปทำความสะอาดใบปลิว
หลังจากนับประมาณชั่วโมงกว่า หวังฉินก็พูดว่า “วันนี้มีคนนำใบปลิวมาแลกเมล็ดแตงโมฟรี 7,921 ใบ”
ใบปลิว 1 ใบแลกเมล็ดแตงโม 5 รสได้ 1 ถุงเล็ก นั่นหมายความว่าวันนี้พวกเขาแจกเมล็ดแตงโมฟรีออกไปเกือบ 8,000 ถุงแล้ว
เจียงเสี่ยวเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สองวันมานี้ เราแจกใบปลิวไปเป็นแสนใบแล้ว แต่ได้กลับคืนมาไม่ถึง 10,000 ใบ เท่ากับว่าจำนวนลูกค้าที่มาที่ร้านยังมีไม่เยอะมาก”
หวังฉินกล่าวว่า “ขนาดลูกค้าที่มาในวันนี้ยังเกือบทำให้เรารับมือไม่ไหว ถ้ามาเยอะกว่านี้ พวกเราคงงานยุ่งจนมือไม้พันกันไปหมด”
เจียงเสี่ยวเฟิงคิดแล้วมันก็ใช่ เขาจึงหันไปถามหลี่ลี่ว่า “วันนี้ขายได้เท่าไหร่ ? ”