ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 269 ยังไม่มีข่าวคราว
ตอนที่ 269 :ยังไม่มีข่าวคราว
แต่นี่มันก็หกโมงกว่าแล้ว เด็ก ๆ ยังไม่กลับมาอีก
เฝิงเยี่ยนหงเห็นว่าหวังผิงดูจะไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวก็รู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก เธอจึงพูดขึ้นว่า “นี่คุณไม่เป็นกังวลสักนิดเลยหรือ ? ”
หวังผิงชะงักไปเล็กน้อย “ลูกไปเที่ยวกับเสี่ยวเฟิง ทำไมผมต้องเป็นกังวลด้วย ? ”
เฝิงเยี่ยนหงได้ยินเขาพูดมาแบบนั้นก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ถ้าว่ากันตามหลักแล้ว มันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลจริง ๆ
สุดท้ายเธอจึงต้องเล่าเรื่องที่มีเด็กจมน้ำตายให้หวังผิงฟัง
หวังผิงฟังจบก็หัวเราะ “ฉันก็ว่าทำไมพวกคุณแต่ละคนถึงทำหน้าเหี่ยวเหมือนมะเขือยาวโดนน้ำค้างแข็ง ที่แท้เป็นเพราะพวกคุณได้ยินข่าวมา เลยนึกว่าเสี่ยวเฟิงจะพาเด็ก ๆ ไปเป็นอันตรายใช่ไหม ? ”
เขาโบกมือปัด แล้วพูดว่า “เสี่ยวเฟิงไม่ใช่คนที่ประมาทเลินเล่อขนาดนั้น พวกคุณคิดมากไปแล้ว ! ”
เฝิงเยี่ยนหงพูดขึ้นว่า “แล้วทำไมจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่กลับมาอีก ? ”
หวังผิงพูดขึ้นว่า “พวกเด็ก ๆ ไปเที่ยวกันสนุกสนาน กลับมาช้าหน่อยไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง ? ”
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้กังวลอยู่แล้ว
อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากหวังผิง หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงถึงได้สงบจิตใจขึ้นไม่น้อย เจียงเสี่ยวไป๋นำอาหารที่ห่อกลับมาวางจัดเรียงไว้บนโต๊ะ แล้วเรียกเฉินซินมากินข้าวด้วยกัน
“ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน ! ”
หวังผิงพูดอย่างดีใจ จากนั้นเขาก็ชิงไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเริ่มกินข้าว
ช่วงเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่อากาศปลอดโปร่ง ขนาดตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ต้องเปิดไฟในห้องทำงาน
ทั้งห้าคนกินข้าวไปด้วยพลางรอเด็ก ๆ ไปด้วย หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว แสงในห้องทำงานก็ค่อย ๆ มืดลง แต่เจียงชานและหวังกังก็ยังคงไม่กลับมา
“หากรอแบบนี้คงไม่ได้การแล้ว พวกเราไปขับรถออกตามหาดีไหม ? ” หลินเจียอินเริ่มร้อนใจอีกครั้ง
หวังผิงได้ยินแบบนั้นจึงพูดปลอบใจว่า “เมืองชิงโจวใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พี่สะใภ้จะไปตามหาที่ไหน อดทนรอพวกเขาเถอะ ! ”
แต่หลินเจียอินจะวางใจได้อย่างไร ?
สุดท้าย พวกเขาก็แบ่งกันเป็นสองกลุ่ม หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงรออยู่ที่ห้องทำงาน ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินไปรอที่ร้านสาขาหลักที่ถนนชิงโจว
พวกเขาคาดการณ์ว่าในเมื่อเจียงเสี่ยวเฟิงกลับมาดึกขนาดนี้ เขาน่าจะไปที่ร้านสาขาหลักที่ถนนชิงโจวก่อน
ไม่นาน ทั้งสองก็ไปถึงที่ร้าน
แม้ว่าเวลานี้จะเลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว แต่ร้านยังคงขายดี ดูเหมือนว่าลูกค้าจะเต็มทุกโต๊ะ
แม้แต่ร้านอร่อยสามมื้อที่อยู่ข้างกันก็ยังมีคนนั่งเต็มโต๊ะ
แต่คนที่นั่งอยู่ในร้านไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นเจียงเสี่ยวชิงและพนักงานที่ไปช่วยกันแจกใบปลิวอีก 20 กว่าคน พวกเธอเพิ่งเลิกงานเมื่อไม่นานนี้ และตอนนี้ก็กำลังกลับมากินข้าว พร้อมทั้งถือโอกาสรายงานสถานการณ์ของแต่ละคนด้วย
“ฉันแจกใบปลิวไปตามถนน 3 สาย ตอนนี้ใบปลิวที่นำมาด้วยแจกหมดแล้ว”
“ฉันเองก็ไปแจกที่ถนน 3 สายเหมือนกัน ใบปลิวที่นำมาด้วยเหลืออีกเล็กน้อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปแจกต่อ”
“แต่แค่นี้ก็ทำฉันเหนื่อยใช้ได้เลย”
“มีหลายคนที่ไม่ยอมรับใบปลิวด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้ว บางคนก็รับไปแต่ไม่อ่าน บอกว่าอ่านไม่ออก”
“ของพวกเธอยังดี ฉันบังเอิญไปเจอคนแก่คนหนึ่งเข้า เขาบอกให้ฉันเอาใบปลิวทั้งหมดให้เขา แถมยังบอกอีกว่าถึงอย่างไรก็ต้องแจกให้คนอื่นอยู่แล้ว ไม่สู้ยกให้เขาเอาไปเป็นกระดาษชำระดีกว่า”
“แหวะ ๆ พวกเรากำลังกินข้าวอยู่นะ ! นายพูดอะไรของนายเนี่ย ! ”
“……”
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พักผ่อน ทุกคนกินข้าวคุยกันอย่างมีความสุข
เย่กวงโต้วก็อยู่เช่นกัน เขานั่งอยู่ข้างเจียงเสี่ยวชิง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวชิง วันนี้คงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม ! ”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เจียงเสี่ยวชิงส่ายหน้า “ฉันไม่เหนื่อยหรอก นักข่าวเย่ วันนี้คุณแจกใบปลิวได้เท่าไร ? ”
เย่กวงโต้วมีสีหน้าเก้อเขิน เขาก็เหมือนกับเจียงเสี่ยวเหลยที่เอาใบปลิวออกไป 5,000 ใบ เดิมทีเขาตั้งใจจะอวดเจียงเสี่ยวชิงว่าเขาแจกใบปลิวเก่ง ผลปรากฏว่าเขาแจกออกไปได้ไม่ถึงครึ่ง
การแจกใบปลิวให้คนสัญจรผ่านไปมาแตกต่างจากการแจกแบบกวาดถนน แม้ว่าเวลาไปแจกแบบกวาดถนนจะไม่เห็นตัวคนรับก็ตาม ตราบใดที่มีบ้านหรืออาคาร พวกเขาสามารถสอดใบปลิวใบหนึ่งผ่านรอยแยกของประตู หรือเสียบไว้ที่ลูกบิดประตูก็ได้
ดังนั้น คนกลุ่มที่ไปแจกใบปลิวแบบกวาดถนนจึงแจกใบปลิวหมดแล้ว
ส่วนการแจกใบปลิวให้คนสัญจรผ่านไปมา ประการแรกจะต้องมีคนผ่านทางมาก่อน ประการที่สองคือต้องให้คนเขาเต็มใจที่จะรับใบปลิว
เย่กวงโต้วแจกใบปลิวที่จัตุรัสถนนเหรินหมินทางตอนเหนือของเมือง วันที่อากาศร้อนขนาดนี้มีคนมาเดินที่บริเวณจัตุรัสไม่มาก ประกอบกับด้วยความที่เขาเป็นเด็กเนิร์ด เขาเพียงแค่ยื่นใบปลิวให้กับคนที่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น แต่ตะโกนเรียกคนไม่เป็น ทำให้มีหลายคนไม่ยอมรับใบปลิวจากเขา
“ถนนเหรินหมินมีคนไม่มากนัก ฉันเลยแจกใบปลิวออกไปได้น้อย”
เย่กวงโต้วพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวชิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจมาก คนเขาอุตส่าห์มาช่วย เธอจึงพูดว่า “ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวคุณเอาใบปลิวที่ยังแจกไม่เสร็จมาให้ฉัน พรุ่งนี้ฉันจะเอาไปแจกต่อ”
“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะมาแจกต่อ ! ” เย่กวงโต้วบอก
เจียงเสี่ยวชิงถามอย่างประหลาดใจ “พรุ่งนี้คุณไม่ไปทำงานหรือ ? ”
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะคุยกับพี่ชายของเธอว่าขอมาช่วยเธอแจกใบปลิวสัก 2-3 วัน” เย่กวงโต้วตอบ
เจียงเสี่ยวชิงหันไปมองเย่กวงโต้วด้วยความประหลาดใจ งานหลักไม่ทำ ทำไมถึงกระตือรือร้นมาแจกใบปลิวล่ะ ?
ขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอก็เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินเดินเข้ามา
“พี่ พี่สะใภ้ ทำไมพวกพี่ยังไม่กลับอีก ? ”
เจียงเสี่ยวชิงรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถามพี่ชายของเธอ โดยไม่สนใจคุยกับเย่กวงโต้วแล้ว
หลินเจียอินพูดว่า “พี่รองของเธอพาชานชานไปเที่ยว แต่ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“อ้อ ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพยักหน้ารับ: “งั้นไม่เป็นไรหรอก รอสักประเดี๋ยวก็คงกลับ”
หลินเจียอินอ้าปากกำลังจะถามเจียงเสี่ยวชิงและคนที่ไปแจกใบปลิวว่าได้ยินข่าวเรื่องที่มีเด็กผู้หญิงตัวน้อยจมน้ำตายไหม แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ถาม
เธอไม่อยากให้เจียงเสี่ยวชิงเป็นกังวลไปด้วยอีกคน
เธอพูดว่า “ช่วงนี้พวกเธอต้องอยู่ในเมือง เธอต้องคอยดูแลเสี่ยวหยูให้ดี อย่าให้เธอไปไหนมาไหนเพียงลำพัง”
“พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวล หลี่ลี่เป็นคนพาเธอไปแจกใบปลิว คืนนี้เธอจะนอนกับฉัน เดี๋ยวฉันดูแลน้องเอง”
ในตอนนี้เอง เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสียวหยูก็เดินเข้ามา
“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันแจกใบปลิวได้เยอะมาก พวกคุณลุง คุณป้า พี่สาว พี่ชายทั้งหลายต่างรับมันด้วยความยินดี” เจียงเสี่ยวหยูตื่นเต้นมาก
เจียงเสี่ยวเหลยพูดอย่างไม่ยอมว่า “ของเธอมีแค่ 3,000 ใบ ของฉันมีตั้ง 5,000 ใบ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าทั้งสองถูกแดดเผาจนผิวคล้ำขึ้นมาไม่น้อย เขาจึงพูดด้วยความปวดใจเล็ก ๆ ว่า “พี่รู้ว่าพวกเธอเก่ง แต่ต้องดูแลสุขภาพด้วย ถ้าหากแดดแรงก็ควรหลบอยู่ใต้ร่มบ้าง”
เจียงเสี่ยวเหลยได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ “ชายชาตรีไม่กลัวโดนแดดเผาจนดำหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและตบบ่าของเขา เขาชอบที่น้องชายของเขาเป็นแบบนี้
“หัวหน้าเจียง ! ”
เย่กวงโต้วเองก็วิ่งเข้ามาทักทายอย่างประจบเช่นเดียวกัน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามว่า “แจกใบปลิวมาทั้งวัน เป็นไงบ้าง ? ”
เย่กวงโต้วยิ้มอย่างเก้อเขิน “การแจกใบปลิวมันยากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ผมคงต้องฝึกอีกสักระยะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ในเมื่อรู้ว่ายากแล้วต้องฝึกก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว สู้ ๆ ฉันจะคอยดู ! ”
เย่กวงโต้วพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวเปลือก เขาชำเลืองมองเจียงเสี่ยวชิงแล้วพูดว่า: “หัวหน้าเจียง ช่วง 2-3 วันนี้ ผมขอมาช่วยแจกใบปลิวได้ไหม”
ทว่า แววตาที่เขาแอบมองเจียงเสี่ยวชิงได้ถูกเจียงเสี่ยวไป๋เห็นเข้าพอดี
เจียงเสี่ยวไป๋ “ไม่ต้องหรอก เรายังต้องส่งสำเนาโฆษณาเกี่ยวกับเมล็ดแตงโมจินเคออยู่ นายตั้งใจทำงานของนายให้ดีก็พอแล้ว”
เย่กวงโต้วอึ้งไปเล็กน้อย: เมื่อกี้เพิ่งบอกให้ผมตั้งใจทำงานอยู่เลยไม่ใช่หรือ ? ทำไมแค่ชั่วพริบตาเดียวถึงเปลี่ยนคำพูดแล้วล่ะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋: ฉันบอกให้นายตั้งใจทำงาน ไม่ได้บอกให้นายตั้งใจจีบน้องสาวฉันโว้ย !
เย่กวงโต้วพูดอย่างไม่ยอมว่า “หัวหน้าเจียง ผมเขียนต้นฉบับโฆษณาของโรงงานเมล็ดแตงโมจริงเคอเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ? แค่เอาไปพิมพ์แล้วนำไปแจกก็ได้แล้ว ผมอยู่ที่แผนกโฆษณาก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ให้ผมออกไปแจกใบปลิวดีกว่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อย ใช่แล้ว เมื่อวานเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ทำเสร็จหมดแล้ว
เขาชำเลืองมองเย่กวงโต้วด้วยสายตาเฉยเมยแล้วพูดว่า “งั้นพรุ่งนี้นายช่วยเขียนโฆษณารับสมัครงานให้ฉันหน่อย ฉันจะรับสมัครคนขับรถ 100 คน ! ”
เย่กวงโต้วตกตะลึง การเขียนโฆษณารับสมัครงานใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นไม่ใช่หรือ ? ไม่กระทบงานแจกใบปลิวของผมหรอก !
เขาถึงขั้นสงสัยว่าหัวหน้าเจียงสรรหางานให้เขาเพราะกลัวเขาว่างใช่ไหม ?
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่บอกว่าจะรับสมัครพนักงานขับรถทีเดียว 100 คนหรอก !
เขาบ่นในใจไปสักพัก ในขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เรียกให้หลินเจียอินไปที่หลังร้านแล้ว
ตอนนี้ลูกสาวของเขายังไม่กลับมา เขาจะไปมีอารมณ์มาสนใจเย่กวงโต้วได้อย่างไร