ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 260 ศิลปะแห่งภาษา
ตอนที่ 260 :ศิลปะแห่งภาษา
วันรุ่งขึ้น เขาออกไปข้างนอกหลังจากทานอาหารเช้า
หลินเจียอินสวมชุดสีขาวและถือกระเป๋าสีฟ้าอ่อนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้าดูเพียบพร้อมไปหมด
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดจากรุ่นหลังที่ว่า ‘นาฬิกาของผู้ชาย กระเป๋าของผู้หญิง’
กระเป๋าถือเป็นเครื่องประดับที่เข้ากันที่สุดสำหรับผู้หญิงจริง ๆ
นอกจากเครื่องประดับแล้ว กระเป๋าก็สามารถเพิ่มออร่าของผู้หญิงได้เช่นกัน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้หญิงรุ่นหลังจะสนใจซื้อกระเป๋ามากขึ้น
“คุณกำลังมองอะไรหรือ ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋จ้องมองตัวเองตาไม่กระพริบ หลินเจียอินจึงพูดด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมียของผมสวยจนผมอดไม่ได้ที่จะมองคุณบ่อยขึ้น ! ”
หลินเจียอินมีความสุขอยู่ในใจและพูดว่า “ฉันสวยงั้นหรือ ? ฉันไม่รู้ว่าเมื่อวานใครเอาแต่เรียกพนักงานขายว่าคนสวย คนสวย ในห้างสรรพสินค้านั่น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่าภรรยาของเขาจะยังจำสิ่งนี้ได้แม้จะผ่านไปหนึ่งคืนแล้วก็ตาม
เฮ้อ…ผู้หญิงนี่ช่างจำเสียจริง
เขายิ้มและอธิบายว่า “เมียจ๋า การเรียกคนสวยเป็นคำสุภาพ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นสวยนะ ! ”
หลินเจียอินกลอกตา เธอไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าพนักงานขายคนนั้นสวยมาก
เจียงเสี่ยวไป๋กลัวว่าหลินเจียอินจะเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจึงพูดเสริม “เมียจ๋า คนเราต้องมีศิลปะการพูด เพราะการพูดไม่ใช่การสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งเรื่องครอบครัว เพื่อนฝูง รวมไปถึงการงานด้วย”
หลินเจียอินรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่เธอก็ยังไม่วายพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็จะเรียกคนสวย เมื่อคุณเจอผู้หญิงใช่ไหม ? แล้วถ้าอีกฝ่ายหน้าตาไม่ดีล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังจะเรียกเธอว่าคนสวย มันไม่ดีหรือที่เราจะทำให้เธอมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ? ”
“ชิ ! พูดจาลื่นไหลไปเรื่อย ! ”
หลินเจียอินรู้สึกรำคาญ แต่เมื่อลองคิดดู ถ้าคนอื่นเรียกเธอว่าคนสวย เธอก็คงมีความสุขเช่นกัน
หลังจากเข้าไปในเมืองและส่งหลินเจียอินกับพวกเจียงชานไปที่ห้องทำงานแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่สำนักข่าวรายวัน
การโฆษณารับสมัครพนักงานขับรถไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่โฆษณาของโรงงานเมล็ดแตงโมเป็นเรื่องด่วนจริง เพราะโรงงานกำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้
“หัวหน้าเจียง วันนี้มาคุยเล่นเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่า ? ”
หลังจากเจอเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว ฟู่เต๋อเจิงก็ถามด้วยรอยยิ้ม
เมื่อวานนี้หากเขาไม่มีธุระ เขาจะไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน และเจียงเสี่ยวไป๋ยังไปที่ออฟฟิศเพื่อพูดคุยกับเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำให้เขาอึดอัดเล็กน้อยและรู้สึกว่าเขายังไม่รู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ดีพอนัก
เจียงเสี่ยวไป๋นั่งลงหน้าโต๊ะฟู่เต๋อเจิง เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ประธานฟู่ คุณมีหน้าที่การงานมั่นคง ต่อให้ไม่ทำงานก็ยังได้รับค่าจ้างทุกเดือน แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าผมเอาแต่ไปคุยเรื่องไร้สาระตลอดทั้งวัน ผมคงอดตายพอดี”
ฟู่เต๋อเจิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและพูดด้วยความโกรธว่า “ฉันได้เงินเดือนละหลักร้อยหยวน แต่คุณทำเงินได้วันละหลายหมื่นหยวน คุณจะอดตายเชียวหรือ ? ”
“ผมล้อเล่น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและโยนซองบุหรี่ยี่ห้อจงฮั๋วให้เขา “วันนี้ผมมีธุระกับคุณ”
ฟู่เต๋อเจิงเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ ผู้ชายคนนี้ทำตัวแปลก ๆ มากขึ้นทุกวัน เขาไม่รู้ว่าคำไหนจริงคำไหนเท็จแล้ว
เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาอย่าวหงุดหงิด เฮอะ ! ถ้าไม่รับไว้ก็เสียดายแย่
“พูดมาว่ามีเรื่องอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืดตัวตรงแล้วพูดว่า “ท่านประธาน คุณเห็นไหม ทุกแผนกในสำนักข่าวมีคนแน่นไปหมด ผมเป็นคนเดียวในแผนกโฆษณา คุณช่วยส่งบรรณาธิการสัก 3-5 คนให้ผมได้ไหม อย่างน้อยมันก็จะดูเหมือนแผนก ๆ หนึ่งหน่อย”
ฟู่เต๋อเจิงเกือบขว้างบุหรี่ในมือไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้ว อะไรที่บอกว่าทุกแผนกมีคนแน่นเกินไปน่ะ ?
บรรณาธิการและนักข่าวมีทั้งหมดสิบกว่าคน บรรณาธิการทุกคนก็เกือบที่เป็นนักพิสูจน์อักษร แม้แต่เขาที่เป็นประธานก็ยังเป็นบรรณาธิและบริหารไปด้วย พูดได้เลยว่าคนหนึ่งทำงานควบสองตำแหน่งแล้ว จะมีจัดสรรให้แผนกโฆษณาได้อย่างไร ?
นอกจากนี้ แผนกโฆษณาของคุณเป็นของสำนักข่าวหรือเปล่า ?
แค่มาขอแขวนชื่อเท่านั้น
ก็แค่สัญญาจัดจ้างภายนอก
“เอาน่า อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมฉันเลย อยากได้คนมาทำงานก็ไปหาเองเถอะ ! ”
ฟู่เต๋อเจิงปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
เจียงเสี่ยวไป๋ดูไม่พอใจ เหมือนกับเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้ง และโต้เถียงกับฟู่เต๋อเจิง “ท่านประธาน หากแผนกโฆษณาพร้อมแล้ว ก็จะสร้างรายได้”
“ในฐานะประธาน คุณไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพนักงานของคุณหรือ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงควรตอบคำถามนี้อย่างไร ?
เขามองดูเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความโกรธ: นี่คุณกำลังผูกมัดฉันด้วยศีลธรรมนะ !
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “นอกจากนี้ หากจ้างคนภายนอกมาทำงานที่แผนกโฆษณาที่นี่ พวกเขาไม่ถือว่าเป็นคนของสำนักข่าวคุณ ? แถมคนจ่ายเงินเดือนยังเป็นแผนกโฆษณาด้วย ! ”
ดวงตาของฟู่เต๋อเจิงหรี่ลง เขายังคงไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเจียงเสี่ยวไป๋
แต่เขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดนั้นค่อนข้างเข้าท่าเลยทีเดียว
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเย้ายวนต่อไป “ท่านประธาน แผนกโฆษณายังไม่ค่อยมีงานมากนัก คุณสามารถส่งบรรณาธิการสองสามคนให้ผมและให้พวกเขานั่งในแผนกโฆษณาในเวลาปกติ เมื่อไม่มีงานโฆษณาเข้ามา คุณสามารถให้พวกเขาทำงานของบรรณาธิการได้”
“คุณเห็นไหมว่างานส่วนใหญ่มันจะเป็นของคุณ และผมจะจ่ายเงินเดือนให้คุณ ดีแค่ไหน มันช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ! ”
ฟู่เต๋อเจิงเม้มริมฝีปากของเขา เขารู้สึกสนใจจริง ๆ
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ พูดว่า “ฉันจะพิจารณาเรื่องนี้อีกที ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนกลับมาเกิดใหม่ เขารู้ว่าหากคนระดับบริหารบอกว่าจะพิจารณาก่อน นั่นคือไม่จำเป็นต้องพูดถึง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีโอกาสแน่นอน
นี่คือศิลปะของภาษาและเป็นข้อบกพร่องของภาษาด้วย
ผู้พิพากษา ทนายความ ตำรวจ นักเจรจา และการขาย คือ 5 อาชีพที่ผู้คนจับข้อบกพร่องในภาษาและหาประโยชน์จากข้อบกพร่องได้ดีที่สุด
เจียงเสี่ยวไป๋เก่งในเรื่องการขาย เขารับรู้ถึงคำพูดของฟู่เต๋อเจิงได้ทันที จึงพูดว่า “ท่านประธาน คุณยังต้องพิจารณาด้านใดบ้าง”
ที่ฟู่เต๋อเจิงพูดไปนั้นเป็นเพียงแค่เป็นข้อแก้ตัว เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ถามเขา เขาก็ชะงักไปในทันที
หากมีคนอื่นพูดเช่นนั้น เขาจะโต้ตอบด้วยประโยคเดียวอย่างแน่นอน แต่กับเจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดี ดังนั้นแม้ว่าเขาจะโมโหใส่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังคงถามคำถามนี้แน่นอน
“เหตุผลหลักก็คือไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม ! ”
ฟู่เต๋อเจิงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับมือกับมันแล้วพูด
เจียงเสี่ยวไป๋ตบต้นขาของเขาแล้วพูดว่า “หากไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม ก็อย่าเลือก ก็ให้พวกเขาผลัดกันทำงานในแผนกโฆษณา เงินเดือนที่ผมจ่ายถือเป็นผลประโยชน์สำหรับพวกเขา”
ฟู่เต๋อเจิงพูดด้วยความโกรธว่า “คุณคิดว่าบรรณาธิการของฉันกำลังเล่นอยู่ในโรงเรียนอนุบาลและผลัดกันนั่งในชั้นเรียนงั้นหรือ ? ทำไมคุณไม่ปล่อยให้พวกเขาทั้งหมดทำงานในแผนกโฆษณาไปเลยล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คุณคงไม่เห็นด้วย ! ”
ฟู่เต๋อเจิงสูดจมูก
เจียงเสี่ยวไป๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและพูดต่อ “ข้อเสนอของผมใช้ไม่ได้ผล โปรดบอกวิธีให้ผมด้วย”
ฟู่เต๋อเจิงขมวดคิ้วพลางคิดในใจ: ผู้ชายคนนี้ต้องการทำอะไร ถึงต้องการหาคนอย่างกระตือรือร้นขนาดนั้น ?
เป็นเพราะฝ่ายโฆษณาได้รับธุรกิจจำนวนมากและต้องการบรรณาธิการเพื่อเขียนต้นฉบับใช่ไหม ?
หรืออย่างอื่น ?
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
แต่เขาคิดออกสิ่งหนึ่ง คือข้อดีของการนำคนเข้าแผนกโฆษณามีมากกว่าข้อเสีย อย่างน้อยคนที่ไปที่นั่นก็สามารถเรียนรู้งานจากเจียงเสี่ยวไป๋ว่าเขาบริหารแผนกโฆษณาอย่างไร แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะยกเลิกสัญญาในอนาคต คนจากสำนักข่าวก็ยังสามารถรับช่วงต่อได้อย่างราบรื่น
ฟู่เต๋อเจิงถือได้ว่าเป็นคนมองการณ์ไกล
เขาเหลือบมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ แสร้งทำเป็นหมดความอดทนและพูดว่า “เอาล่ะ หากคุณต้องการใครสักคน ฉันจะจัดการให้ และอย่ามารบกวนฉันอีกนะ”
ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ดูผิดหวังเล็กน้อย “แค่คนเดียวหรือ ? คุณให้ผมเพิ่มอีกคนได้ไหม ? ”
ฟู่เต๋อเจิงพูดอย่างหมดความอดทน “แค่คนเดียวเท่านั้น จะเอาไหมล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโน้มน้าวครั้งสุดท้ายและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ช่วยส่งบรรณาธิการมือดีมาให้ผมสักคนสิ บรรณาธิการของคุณที่มีทักษะการเขียนดีที่สุดชื่ออะไรนะ ? ”
“อ้อ ชื่อถังชือเอิน ใช่แล้ว คือเธอนั่นแหละ ! ”
“ให้เธอมาทำงานที่แผนกโฆษณาเถอะ ผมต้องการเธอ ! ”