ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 249 กลายเป็น ‘ลุง’ ไปแล้ว
ตอนที่ 249 :กลายเป็น ‘ลุง’ ไปแล้ว
เหรินฉางเซี่ยมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาที่ซับซ้อน โดยจำได้ว่าตอนที่เขาพบเจียงเสี่ยวไป๋ครั้งแรก เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงปั่นจักรยานอยู่ แต่หลังจากนั้นภายในสามเดือน เขาซื้อรถสามล้อพ่วงข้างต่อจากสำนักงานตำรวจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรถจี๊ปแทน
ตอนนี้ เขายังต้องการรับสมัครพนักงานขับรถในคราวเดียว 180 คนอีกด้วย
เขาหาเงินได้รวดเร็วเกินไปไหม !
“อย่างไรก็ตาม ฉันจะโทรหาผู้บัญชาการกองร้อยคนเก่าแล้วจะถามเขาเกี่ยวกับการรับสมัครคนงานของคุณที่นี่ คุณจะให้ฉันพูดว่าอย่างไรบ้าง ? ” เหรินฉางเซี่ยถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เงินเดือนพื้นฐานคือ 100 หยวนต่อเดือน รวมอาหารและที่พัก มีเบี้ยเลี้ยงให้ตอนขับไปต่างเมือง และมีเบี้ยขยันให้ด้วย”
อะไรนะ ?
เหรินฉางเซี่ยอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เขาคิดว่าเงินเดือนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะให้คงอยู่ที่ 20-30 หยวนต่อเดือนก็ดีมากแล้ว แต่เขาไม่คิดว่ามันจะสูงขนาดนี้
นี่เป็นสถานที่ทำงานใหม่ที่ดีสำหรับทหารผ่านศึกที่เปลี่ยนอาชีพจริง ๆ
มีอะไรจะให้ฉันพูดอีก เราต้องพูดให้ชัดเจนกับผู้บัญชาการกองร้อยเก่าและทำให้ทหารอยากมาสมัครงานมากที่สุด
หลังจากกินอาหารเสร็จ เหรินฉางเซี่ยก็รีบออกไป
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ออกมา หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงก็กินข้าวเสร็จแล้วเช่นกัน
เมื่อส่งพวกเธอกลับมาที่ห้องทำงานในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามว่า “ตรวจสอบแล้ว สถานการณ์ทางร้านเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง หูฉางอิงจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม หูฉางอิงเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากรองผู้จัดการร้านเป็นผู้จัดการร้าน เธอจะต้องพยายามอย่างเต็มที่แน่นอน
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่เขาคาดหวังไว้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้อธิบายล่วงหน้าว่าแม้ว่าผู้จัดการหลินจะไม่อยู่ที่นี่ต่อไปทุกวัน แต่เขาก็จะเข้ามาตรวจสอบการจัดการของเธอเป็นครั้งคราว
เขาไม่เพียงแต่พูดเรื่องนี้กับหูฉางอิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้จัดการร้านคนอื่นด้วย อาธิเช่น เจียงเสี่ยวเฟิน หลี่หงอิง เจียงเสียวหย่ง เป็นต้น
แน่นอนว่าเขาทำเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาจัดการร้านให้ดีและสร้างความมั่นใจให้กับหลินเจียอิน
นี่เป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา
เขายิ้มและพูดว่า “ดูสิ ผมบอกคุณแล้ว ถึงคุณจะไม่มาทุกวัน พวกเขาก็ยังดูแลร้านอย่างดี”
หลินเจียอินพูดว่า “อืม” และไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “ในฐานะผู้จัดการของธุรกิจนี้ คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ที่จริงสิ่งที่สำคัญกว่าคือการกำหนดเป้าหมาย วางแผน กระตุ้นการดำเนินการ ตลอดจนตรวจสอบและสรุป”
“เมื่อคุณทำสิ่งนี้เสร็จแล้ว คุณสามารถปล่อยให้คนที่ได้รับหน้าที่ต่อจากนี้ทำงานของพวกเขาได้”
“ผู้จัดการสามารถปลูกฝังความสามารถและหาเวลาทำสิ่งต่าง ๆ พัฒนาตนเองไประดับที่สูงกว่าโดยการให้คนที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่ารับหน้าที่ต่าง ๆ ต่อจากตนเอง”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินเจียอินก็โพล่งออกมาและถามว่า “ระดับที่สูงขึ้นคืออะไรหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผู้จัดการระดับกลางมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ ในขณะที่ผู้จัดการระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบด้านกลยุทธ์”
“เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม ถ้าคุณไม่วางแผนสำหรับสถานการณ์โดยรวม คุณจะไม่สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ของดินแดนเฉพาะจุดได้ และถ้าคุณไม่วางแผนในระยะยาว คุณก็จะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้”
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้จัดการระดับกลางและผู้จัดการระดับสูงก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของกุนซือและแม่ทัพ”
“ในฐานะกุนซือ เขาสามารถวางกลยุทธ์และรับชัยชนะที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ได้”
“ส่วนแม่ทัพนั้น เขาจะสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่งและอาวุธที่แข็งแกร่ง เพื่อเข้าโจมตีเมืองและดินแดนต่าง ๆ ”
“ด้วยทักษะความสามารถที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้ความคิดและกระทำแตกต่างกันโดยธรรมชาติ”
หลินเจียอินคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันได้อ่านหนังสือบางเล่มในช่วงเวลานี้ด้วย ซึ่งยืนยันสิ่งที่คุณพูด และมันก็สมเหตุสมผล”
หลังจากหยุดพูดชั่วคราว เธอยอมรับว่า “ก่อนหน้านี้ฉันเคยพิจารณาเฉพาะระดับการทำงานที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น และไม่ได้พิจารณาปัญหาในระดับที่สูงกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกมีความสุข หลินเจียอินอธิบายออกมาเช่นนี้ได้หมายความว่าเธอคิดออกแล้ว
จากนี้ไป เธอจะไม่ยืนกรานที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองอีกต่อไป
เขาชื่นชมเธอในทันที “เมียจ๋า ถ้าคุณมองเห็นปัญหาด้วยวิธีนี้ แสดงว่าคุณเข้าสู่ระดับความคิดที่สูงขึ้นแล้ว”
“ความคิดระดับสูง ? ”
หลินเจียอินขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: “มีสุภาษิตกล่าวว่า นั่งมองฟ้าจากก้นบ่อน้ำ ซึ่งใช้มันอธิบายระดับความคิดของมนุษย์จะเข้าใจได้ง่ายกว่า”
“ความคิดของเราแต่ละคนก็เหมือนกับการอยู่ก้นบ่อแล้วมองท้องฟ้า เอาท้องฟ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเห็นเป็นโลกทั้งใบ”
“แต่ถ้ายิ่งพื้นบ่อน้ำที่เราอยู่สูงขึ้นมามากเท่าไร ท้องฟ้าที่เราเห็นก็จะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น และเราจะตระหนักได้ว่าสิ่งที่เรามองเห็นมันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราถูกจำกัดไว้”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยิ่งตำแหน่งของคุณสูงเท่าใด มุมมองของคุณก็จะกว้างมากขึ้นเท่านั้น”
“ความคิดก็เหมือนกับการมองเห็น ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งคิดอะไรได้มากขึ้น สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นคือสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ”
“ถ้ามองเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นและกว้างไกลกว่าคนอื่น”
หลินเจียอินเงียบ เธอยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดมากนัก
แต่สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือ เธอต้องอ่านหนังสือและเรียนรู้ต่อไป
ถ้าคุณอยู่ที่ก้นบ่อแล้ว ทุกครั้งที่อ่านหนังสือก็เท่ากับเอาหนังสือเล่มนี้มาวางใต้เท้าเพื่อให้คุณขยับขึ้นสูงไปอีกหน่อย ยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าใด ก็ยิ่งเลื่อนสูงขึ้นเท่านั้น และยิ่งเห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ขึ้น
หลังจากที่ส่งหลินเจียอินและคนอื่นกลับไปที่ห้องทำงานของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ลงจากรถ เขาบอกกล่าวหลินเจียอินและขับรถไปที่สำนักข่าวรายวันชิงโจวต่อ
ตอนนี้ ครึ่งตัวของเขาถือได้ว่าเป็นคนของสำนักข่าวรายวันชิงโจวแล้ว
ฟู่เต๋อเจิงมอบห้องทำงานให้เขา โดยมีป้ายแผนกโฆษณาแขวนอยู่ที่ประตู แม้แต่ชายชราที่เป็นยามเฝ้าประตูก็เรียกเขาว่า “หัวหน้าเจียง”
“ลุงเย่ อย่าเรียกผมแบบนั้น เรียกผมว่าเสี่ยวเจียงก็พอ”
ตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋คุ้นเคยกับยามเฝ้าประตูแล้ว และทั้งสองก็พูดคุยกันเป็นครั้งคราว
ลุงเย่หัวเราะเบา ๆ “ผมจะเรียกแบบนั้นได้อย่างไร ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าใหญ่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในห้องยาม ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ่อนโยน สวมแว่นตา เขาดูเหมือนนักศึกษาจบใหม่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามไปว่า “ลุงเย่ มีคนที่บ้านมาเยี่ยมหาลุงหรือ ? ”
ลุงเย่รีบแนะนำทันที “นี่คือเย่กวงโต่ว หลานชายคนโตของลุง เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยในปีนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และพูดกับเย่กวงโต้วว่า “นี่คือหัวหน้าเจียง เป็นหัวหน้าแผนกโฆษณาในสำนักข่าวของเราด้วย เขาชื่อลุงเจียง”
“สวัสดีครับลุงเจียง ! ”
เย่กวงโต้วทักทายอย่างสุภาพ
เจียงเสี่ยวไป๋เกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาอายุมากกว่าเย่กวงโต้วแค่สองสามปีเท่านั้น แต่ถูกเรียกว่า ‘ลุง’ แล้ว
นี่เขากลายเป็นคนแก่ไปแล้วหรือเนี่ย
เขาไม่ต้องการที่จะเป็นลุงของใครเร็วขนาดนี้ จึงรีบพูดว่า “กวงโต้ว อย่าไปฟังคุณปู่ของนาย เรียกฉันว่าพี่เจียงเถอะ”
“สวัสดีครับพี่เจียง ! ”
เย่กวงโต้วตามน้ำเป็นอย่างดีและเปลี่ยนคำเรียกของเขาทันที
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพอใจ และพูดว่า “นายมีแผนอย่างไรหลังจากสำเร็จการศึกษา ? ”
เย่กวงโต้วตอบว่า “ผมเรียนวิชาเอกภาษาจีน ชื่นชอบการถ่ายภาพ และวางแผนที่จะทำงานในสำนักพิมพ์ในตำแหน่งบรรณาธิการ”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋สว่างขึ้น ในยุคนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นคนที่มีความสามารถ
เขามองไปที่เย่กวงโต้ว แล้วพูดว่า “เอาล่ะ สำนักข่าวเป็นองค์กรที่ดีและมีอนาคตอีกยาวไกล ไม่อย่างนั้นนายมาทำงานกับฉันสิ ! ”
เย่กวงโต้วส่ายหน้าแล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า: “ผมอยากอยู่แผนกบรรณาธิการ ไม่ใช่แผนกโฆษณา”
ไม่มีการไว้หน้าเลยสักนิด
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกขบขันและพูดว่า “ทั้งแผนกโฆษณาและกองบรรณาธิการทำงานในสำนักข่าวเหมือนกัน หากนายเข้าร่วมแผนกบรรณาธิการ นายจะเป็นบรรณาธิการพนักงานธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้านายมาทำงานกับฉัน ฉันจะผลักดันให้คุณเป็นรองหัวหน้าฝ่ายโฆษณา นายว่าไง ? ”
เย่กวงโต้วมุ่ยปากแล้วพูดว่า “พี่เจียง ในแผนกโฆษณาของพี่ นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครเลย พี่เป็นเพียงหัวหน้าที่ไม่มีพนักงาน อย่ามาหลอกผมเลย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะ “โอ้ นี่นายตรวจสอบฉันมาด้วยหรือ ! ”