ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 246 บทสนทนายามค่ำคืนของสามีภรรยา
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 246 บทสนทนายามค่ำคืนของสามีภรรยา
ตอนที่ 246 :บทสนทนายามค่ำคืนของสามีภรรยา
ช่วงเย็น ฝนเริ่มตกโปรยปรายเพิ่มความเย็นสบายให้กับหน้าร้อนนี้
หลินเจียอินนอนอยู่ข้าง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋และกระซิบคุยกับเขา “สามี พ่อแม่ของคุณต่างก็อยากได้หลานชาย แล้วถ้าเราให้กำเนิดลูกสาวอีกล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โอบไหล่ของเธอ กระชับกอดให้แน่นขึ้นเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า “ที่จริงแล้วผมอยากได้ลูกสาวมากกว่า”
หลินเจียอินทำเสียง “เฮอะ” เธอไม่เชื่อเขาหรอก
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมียจ๋า สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง การมีลูกสาวคือเรื่องแสนวิเศษ เพราะลูกสาวเป็นลูกที่น่ารักและอ่อนโยนของพ่อแม่ ส่วนการมีลูกชายมีแต่จะสร้างเรื่องปวดหัว ทำให้เราต้องคอยเป็นกังวล”
หลินเจียอินไม่รู้ว่าสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็รู้สึกสะเทือนใจ ความคาดหวังของพ่อแม่สามีในการอยากมีหลานชายดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ทำให้เธอหนักใจเหลือเกิน
โชคดีที่สามีของเธอไม่เหมือนพ่อแม่สามีของเธอ
ไม่อย่างนั้น เธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจริง ๆ
“ที่จริงแล้วฉันก็อยากมีลูกชายเหมือนกัน” หลินเจียอินกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋พูดเบา ๆ ว่า “เมียจ๋า ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาวล้วนเป็นลูกของเรา ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถี อย่าคิดมากกับสิ่งที่พ่อแม่ของผมพูดเลย”
หลินเจียอินกล่าวว่า “มันก็ไม่ใช่เพราะสิ่งที่พ่อแม่ของคุณพูดหรอก แต่ฉันคิดว่าเรามีชานชาน อยู่แล้ว ถ้าลูกคนที่สองเป็นลูกชาย เราจะมีลูกทั้งลูกชายและลูกสาว แบบนี้ก็น่าจะดีกว่าไหม”
หลังจากเงียบไปสักพัก เธอพูดต่ออีกว่า “จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ไม่มีใครรู้ก่อนที่เด็กจะเกิด ฉันแค่กังวลว่าถ้าเป็นลูกสาวขึ้นมา ในตอนนั้นพ่อแม่ของคุณจะไม่มีความสุขเอาน่ะสิ”
ในพื้นที่ชนบทช่วงปี 1980 – 1990 เกือบทุกครอบครัวถือว่าการกำเนิดลูกชายเพื่อสืบทอดสายเลือดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต หากลูกสะใภ้ให้กำเนิดลูกชาย พ่อแม่สามีของเธอก็จะมักจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีและบอกว่าเธอเป็นผู้ทำประโยชน์ให้กับครอบครัว แม่สามีส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบลูกสะใภ้เพราะว่าเธอไม่สามารถมีลูกชายให้กับตระกูลของพวกเขาได้
อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าภรรยาจะให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาวนั้น ที่จริงขึ้นอยู่กับผู้เป็นสามี
แม้ว่าหลินเจียอินจะเป็นคนที่มีการศึกษา แต่ในเวลานั้นเธอไม่มีความรู้ในด้านนี้ และเธอเห็นลูกสะใภ้หลายครอบครัวที่ให้กำเนิดลูกสาวทะเลาะกับพ่อแม่สามีของพวกเธอ ดังนั้นเธอจึงอดคิดมากไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ เดิมทีมันเป็นเรื่องดีที่ภรรยาของเขาตั้งท้องลูกคนที่สองได้ แต่เป็นเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้บรรยากาศของครอบครัวที่ควรจะเต็มไปด้วยความหอมหวานและความสุขกลับอบอวลไปด้วยความกดดัน ทำให้เขาจนปัญญา
โทษพ่อกับแม่ได้ไหม ?
ไม่ได้ !
คนแก่มีความคิดแบบเดิม ๆ และยากที่จะเปลี่ยนแปลง
เขาทำได้เพียงปลอบใจภรรยาของเขาและลดความกดดันของเธอให้ได้มากที่สุด
“เอาแบบนี้ดีกว่า ให้ผมดูว่าคุณตั้งท้องผู้ชายหรือผู้หญิง ! ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็พลิกตัวและวางมือใหญ่ไว้ใต้ชุดนอนของหลินเจียอิน
หลินเจียอินรีบหยุดเขาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หยุดสร้างปัญหาแล้วไปนอนซะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ยอม เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ผมอยากได้ยินเสียงของลูก ผมจะพูดกับเขา”
หลินเจียอินรู้สึกขบขันและพูดด้วยความโกรธว่า “ฉันเพิ่งท้องได้เดือนกว่าเอง ทารกอายุเท่าไหร่เอง ? แค่ไม่กี่เดือนก็จะได้ยินเสียงคุณแล้วหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจังว่า “เมียจ๋า คุณไม่รู้เรื่องนี้หรอก ทารกในครรภ์รับรู้ถึงโลกภายนอกในร่างกายของมารดา การสื่อสารระหว่างพ่อแม่และลูกสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์ได้ การเล่าเรื่อง การเล่นดนตรี ฯลฯ ก็สามารถกระตุ้นพัฒนาการได้ยินของทารกได้เช่นกัน”
หลินเจียอินได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็รู้สึกราวกับมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เธอถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “จริงหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดตามความเป็นจริง “แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง สิ่งนี้เรียกว่าข้อควรปฏิบัติในระหว่างตั้งครรภ์ ! ”
เอิ่ม…
ที่จริงแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในระหว่างตั้งครรภ์มากนัก อย่างไรก็ตาม ชาติที่แล้วเขาเป็นแค่ชายแก่ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง เขาจะศึกษาสิ่งนี้ได้อย่างไร ?
เขาอาจจะไม่เคยประสบสิ่งนั้นมาด้วยตนเอง แต่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน อย่างไรก็ต้องรู้มาบ้าง
ในชาติที่แล้ว ทีมวางแผนของเขาได้มอบรายงานโครงการให้เขา มีการเสนอแนะให้เขาพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านนี้ แต่เขาปฏิเสธ
แต่เขาได้อ่านรายงานนั้นแล้ว และเขาจำได้คร่าว ๆ ว่าหญิงตั้งครรภ์สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้เมื่อตั้งครรภ์ได้สี่เดือน
ดังนั้น ข้อควรปฏิบัติในระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องสำคัญและเกิดขึ้นจริงในอนาคต แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สนใจเรื่องเวลา เขาแค่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับภรรยาของเขา ไม่อย่างนั้นหากภรรยาที่สวยงามเช่นนี้ไม่สามารถทำอะไรในอ้อมแขนของเขาได้ มันจะไม่ไร้ประโยชน์หรือ ?
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเจียอินได้ยินเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในระหว่างตั้งครรภ์ เธอรู้สึกว่ามันน่าทึ่งมากและพูดว่า “คุณรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มกริ่ม เขาอ้างว่า “ผมเคยอ่านมันจากในหนังสือต่างประเทศ”
เพื่อป้องกันไม่ให้ภรรยาของเขาตั้งคำถามกับเขา เขาจึงกล่าวอ้างไปเช่นนั้นแล้วพูดว่า “เร็วเข้า นอนลง ผมจะสื่อสารกับลูกของผม”
เขาให้หลินเจียอินนอนลง แล้ววางศีรษะลงเบา ๆ บนท้องของเธอ เขาแนบหูของเขาไปที่หน้าท้องของเธอราวกับว่าเขากำลังฟังเสียงของทารกน้อยอยู่จริง ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณได้ยินอะไรไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดเบา ๆ ว่า “ไม่ ! ทารกน้อยไม่ได้ส่งเสียงดังเลย เขาเป็นเด็กดีมาก”
หลินเจียอินรู้สึกขบขันกับคำพูดของเขาและหัวเราะ แต่เธอก็นึกภาพไม่ออก
แต่ด้วยวิธีนี้ หลินเจียอินจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋นอนลงข้าง ๆ เธออีกครั้ง เธอก็แนบตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวใหญ่กินอาหารเช้าร่วมกัน
หวังซิ่วจวี๋โน้มน้าวไม่ให้หลินเจียอินไปทำงาน ให้เธอดูแลครรภ์อยู่ที่บ้าน หลินเจียอินจึงกล่าวว่า “แม่คะ เวลาได้ทำงาน หนูรู้สึกผ่อนคลาย หมอบอกว่าหนูควรออกกำลังในระดับปานกลางและอย่าเอาแต่นั่งนอนเฉย ๆ อยู่ตลอดเวลา”
หลังจากหลินเจียอินพูดอย่างนั้น เธอก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณบอกแม่ไปสิว่านี่คือสิ่งที่หมอพูดใช่ไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋: หมอบอกอย่างชัดเจนให้ลดการออกกำลัง
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การจ้องมองของภรรยา เขาไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงพยักหน้าและพูดว่า “แม่ครับ เจียอินพูดถูก ตอนนี้เธอทำงานอยู่ในห้องทำงานเท่านั้น มันผ่อนคลายและสะดวกสบายมาก ! ”
หลินเจียอินพอใจกับคำตอบของสามี เธอเม้มริมฝีปากของเธอและหัวเราะเบา ๆ แล้วส่งสายตาชื่นชมให้เจียงเสี่ยวไป๋
หวังซิ่วจวี๋ไม่มีความสุขเพราะลูกชายของเธอกำลังตามใจภรรยาในทางที่ผิด !
ว่ากันว่าคนเป็นแม่นั้นมักจะรู้ว่าสิ่งใดที่ลูกพูดจริงหรือพูดโกหก !
เมื่อเจียงเสี่ยวชิงเห็นสถานการณ์นี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับพี่สะใภ้ของเธอ และพูดว่า “พี่ชาย พี่สะใภ้ของฉันกำลังตั้งท้อง อย่างไรก็ตามฉันไม่มีอะไรทำที่บ้านอยู่แล้ว ฉันจะไปช่วยงานในเมืองกับพี่สะใภ้ ! ”
เมื่อเธอพูดสิ่งนี้ เจียงเสี่ยวเหลยก็พูดว่า “ผมก็จะไปเหมือนกัน ! ”
เจียงเสี่ยวหยูพูดอย่างไม่ยอมเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากไปเหมือนกัน ! ”
หวังซิ่วจวี๋กำลังโกรธและไม่มีที่ระบายความโกรธ เธอจึงดุเจียงเสี่ยวหยู “กินข้าวไป อย่าไปสร้างปัญหาให้พี่เขา ! ”
หลินเจียอินพูดกับเจียงเสี่ยวชิงว่า “พี่ชายของเธอจัดการทุกอย่างให้พี่แล้ว พี่ไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ เธอพักผ่อนอยู่บ้านเถอะ พอเปิดเรียนก็ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นพักผ่อนแล้ว”
เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้ปฏิเสธเธอ เจียงเสี่ยวชิงจึงหันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “พี่ให้ฉันตามพี่เข้าไปในเมือง ฉันสามารถทำทุกอย่างที่พี่ต้องการ เพื่อช่วยพี่และพี่สะใภ้แบ่งเบาภาระ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองเจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยู แล้วพูดว่า “ทุกคนอยากไปในเมืองหรือ ? ”
“อื้ม ! ”
“อื้ม ! ”
“อื้ม ! ”
ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกันและมองดูพี่ชายอย่างคาดหวัง
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ฉันจะพาทุกคนเข้าเมืองวันมะรืนนี้ บังเอิญว่าฉันมีบางอย่างให้ทำพอดี”
“เยี่ยมมาก ! ในที่สุดเราก็เข้าไปในเมืองได้แล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวเหลยดูจะร่าเริงมาก เพราะเขายังไม่ได้เข้าเมืองมาก่อนเลย
เจียงเสี่ยวหยูก็ตั้งตารอเช่นกัน
เจียงเสี่ยวชิงเรียนมัธยมปลายในเมืองมาสามปีแล้ว เธอจึงไม่ได้รอคอยที่จะเข้าเมือง เธอแค่มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือพี่สะใภ้ของเธอ หญิงสาวจึงถามว่า “พี่ วันมะรืนนี้พี่ต้องการให้ฉันทำอะไร ? ”