ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 245 แนวคิดเก่าคร่ำครึ
ตอนที่ 245 :แนวคิดเก่าคร่ำครึ
“เมียจ๋า ผมกลับมาแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตะโกนอย่างมีความสุข ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องทำงาน
หลินเจียอินมองเขาด้วยท่าทีหงุดหงิด “คุณกลับมาแล้วก็กลับมาสิ แล้วจะตะโกนทำไม ไม่เห็นหรือว่าเยี่ยนหงและชานชานยังอยู่ที่นี่”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มให้เฝิงเยี่ยนหง “เยี่ยนหงไม่ใช่คนนอก ! ”
เฝิงเยี่ยนหงยิ้มและมองหลินเจียอินด้วยความอิจฉา หวังผิงสามีของเธอไม่เคยเรียกเธอด้วยความรักขนาดนี้ !
เขาไม่เข้าใจเรื่องความโรแมนติกเอาเสียเลย
แม้ว่าเขาจะดีกับเธอ แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าถูกเขาเอาอกเอาใจขนาดนี้
เสี่ยวไป๋ยังใจดีกับพี่สะใภ้เจียอิน เขาให้ความสำคัญกับพี่สะใภ้เจียอินทั้งในสายตาและคำพูด เขาไม่เคยสนใจว่าคนนอกจะคิดอย่างไรกับเขา
อืม เธอยังต้องจัดการกับหวังผิงและปล่อยให้เขาเรียนรู้เพิ่มเติมจากเสี่ยวไป๋
หลินเจียอินเคยชินกับความไร้ยางอายของเจียงเสี่ยวไป๋ และขี้เกียจเกินกว่าจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เธอถามเบา ๆ ว่า “คุณทำงานที่โรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเสร็จแล้วหรือ”
“เสร็จแล้ว ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ผมจะพาคุณกลับบ้าน ! ”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็พูดกับเยี่ยนหง “เยี่ยนหง เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอเลิกงานตอนสี่โมงเย็นนะ”
เฟิงเยี่ยนหง “ให้ฉันเลิกงานตอนสี่โมงหรือ ? ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “เมื่อก่อนคุณให้เธอเลิกงานตอนห้าโมงไม่ใช่หรือ ? ทำไมกลับกลายเป็นสี่โมงอีกล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ “ใช่ เปลี่ยนเป็นสี่โมงแล้ว ! นับจากนี้เป็นต้นไป ! ”
หลินเจียอินพูดอะไรไม่ออก ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเวลาเลิกงานให้เร็วขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวเสริมว่า “แล้วก็ไม่ต้องมาเช้าขนาดนั้นก็ได้ ตื่นตามปกติ กินข้าวเช้าเสร็จค่อยมาทำงาน”
หลินเจียอินมองไปที่เฝิงเยี่ยนหง ส่วนเฝิงเยี่ยนหงก็มองไปที่หลินเจียอิน
ตอนนี้เขายังกำหนดเวลาให้เลิกงานเร็วกว่าปกติ และเขาก็บอกว่าไม่ต้องมาทำงานเช้า
นี่…ยังเรียกว่าการทำงานอีกหรือ ?
“เอาล่ะ ตามนี้นะ”
“เยี่ยนหง พาเสี่ยวกังกลับบ้านเร็ว ! ”
“เมียจ๋า ชานชาน กลับบ้านกันเถอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสองคนปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงเรียกหลินเจียอินและเจียงชานให้กลับบ้านด้วย
“เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ ! ”
เจียงชานทิ้งตัวหมากรุกและพูดอย่างมีความสุข
ทั้งสามคนก็กลับบ้านอย่างรวดเร็ว
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋รออยู่ที่ประตูใหญ่ตลอดทั้งบ่าย พวกเขานั่งอยู่ใกล้ประตูถัดจากสิงโตหินโดยที่ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
ทั้งสองต่างรอคอยการกลับมาของลูกสะใภ้
“ฉันรออยู่ตรงนี้คนเดียวก็ได้ คุณไปทำอาหารรอพวกเขาเถอะ”
“นี่เพิ่งกี่โมงเอง พวกเขาจะไม่กลับมาจนกว่าจะหลังห้าโมงเย็น ไว้ค่อยทำทีหลังเถอะ”
“ในเมื่อยังเร็วไป แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ ? ”
“ทีคุณล่ะ มารออะไร”
“ฉันต้องรอให้พวกเขากลับมา จะได้ถามผลตรวจโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นฉันจะไม่รู้สึกโล่งใจ”
“หากคุณกังวล ฉันจะรู้สึกโล่งใจได้อย่างไร ? ฉันยังคงรอที่จะอุ้มหลานชายของฉันอยู่นะ ! ”
“……”
คนแก่ทั้งสองคนพูดคุยกันและเช็ดเหงื่อออกจากขมับเป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังขึ้น
“เสี่ยวไป๋กลับมาแล้ว ! ”
“เจียอินกลับมาแล้ว ! ”
ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมกันและตะโกนอย่างตื่นเต้น
“บรื้น บรื้น บรื้น” ทั้งสองลงบันไดแล้ววิ่งไปที่ราวกั้นเขื่อนเล็ก ๆ จากนั้นก็เห็นรถจี๊ปที่คุ้นเคยขับขึ้นมา
กลับมาแล้วจริง ๆ
คนแก่สองคนมีความสุขมาก หลังจากมองหน้ากันแล้ว พวกเขาก็เดินลงบันไดหินที่อยู่ข้าง ๆ ทันทีและลงไปที่ประตูโรงรถเพื่อรอพวกเขา
รถของเจียงเสี่ยวไป๋มาถึงประตูโรงรถ เมื่อเขาเห็นพ่อแม่ของเขารออยู่ที่นี่ เขาก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและอดไม่ได้ที่จะทำหน้าหมดคำจะพูด
“เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
“หมอพูดว่าไงบ้าง ? ”
ก่อนที่รถจะหยุด เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ก็ถามขึ้นพร้อมกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เธอตั้งครรภ์ ! ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……” เจียงไห่หยางหัวเราะเสียงดัง “ฉันจะมีหลานชายแล้ว ! ”
“เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก ! ” หวังซิ่วจวี๋ยิ้มกว้างและพูดอย่างตื่นเต้น “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเจียอินตั้งท้องหลานชายของฉัน ! ”
ตอนนี้การตั้งครรภ์ของหลินเจียอินกลายเป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลเจียงแล้ว
เช่นเดียวกับเจียงเสี่ยวไป๋ ปฏิกิริยาแรกของเจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋คือการบอกหลินเจียอินว่าอย่าไปทำงานอีกเลย
แน่นอนว่าหลินเจียอินไม่เห็นด้วย
สำหรับเรื่องนี้ คนแก่ทั้งสองไม่สามารถพูดอะไรได้มาก พวกเขาทำได้เพียงพูดคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋และขอให้เขาพูดโน้มน้าวหลินเจียอิน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน และมันก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยโน้มน้าวเรื่องนี้กับเมียเขามาก่อน
แต่ก็ไม่มีผลอะไร
“พ่อ แม่ ไม่เป็นไร หากเธอต้องการที่จะทำงาน ผมจะดูแลเธอเอง ไม่เป็นไร”
ไม่สามารถโน้มน้าวภรรยาของเขาได้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องโน้มน้าวพ่อแม่ของเขาแทน
หวังซิ่วจวี๋พูดด้วยความโกรธว่า “เป็นไปได้อย่างไร เธอกำลังตั้งท้องหลานชายคนสำคัญของแม่นะ!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็นึกถึงสิ่งที่เฉินหยวนเฉาพี่เขยของเขาพูด จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความต้องการของแม่เขาที่ต้องการหลานชายเสียยิ่งกว่าอะไร
เขาอดไม่ได้ที่จะกังวล
พ่อแม่ของเขาจะคิดอย่างไรถ้าเมียเขาท้องลูกสาวอีกคน ?
“แม่ครับ ตอนนี้เธอเพิ่งท้อง เธออาจจะตั้งท้องหลานสาวก็ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดว่าควรลดความคาดหวังพ่อแม่ของเขาก่อนดีกว่า เกรงว่าพวกเขาจะผิดหวังและแม้แต่หลินหลินเจียอินก็อาจต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันนี้ด้วย
ใบหน้าของหวังซิ่วจวี๋แสดงความไม่พอใจออกมา หญิงชราพูดว่า “ถ้าเธอตั้งท้องลูกสาวในครั้งนี้ เธอก็ต้องท้องอีกรอบ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “แม่ครับ ตอนนี้มันปี 1983 แล้ว ประเทศของเรามีนโยบายการให้กำเนิดบุตรมานานแล้ว ครอบครัวหนึ่งจะได้รับอนุญาตให้มีลูกได้เพียงสองคนเท่านั้น”
“ไม่ทำตามแล้วจะเกิดผลเสียอะไรหรือ ? ” หวังซิ่วจวี๋ทำเสียงไม่พอใจ “การมีลูกมากเกินไปจะเสียค่าปรับงั้นหรือ ? ไม่ใช่ว่าลูกไม่มีเงินจ่ายค่าปรับเสียหน่อย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋อ้าปากค้าง แล้วตระหนักว่าเขาประเมินความมุ่งมั่นของแม่ที่จะมีหลานชายต่ำไป
หวังซิ่วจวี๋กล่าวเสริมว่า “ดูอย่างหวงหงและซ่งตงตงสิ พวกเขาให้กำเนิดลูกสาวสองคนแรก ต่อมาพวกเขาก็ท้องและได้ลูกสาวอีก ตอนนี้พวกเขาให้กำเนิดลูกสาวคนที่สี่แล้ว แต่ยังไม่ได้ให้กำเนิดลูกชายเลย แม่ได้ยินมาว่าซ่งตงตงตั้งท้องอีกแล้ว บางทีในครั้งนี้พวกเขาอาจได้ลูกชาย”
เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่าหวงหงและซ่งตงตงเป็นครอบครัวที่ยากจนที่สุดในเจียงวาน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะถูกปรับที่มีลูกเพิ่มเท่านั้น พวกเขายังกลัวว่าจะถูกจับทำหมันเลยหนีออกไปนอกหมู่บ้าน ไม่กล้ากลับมาที่เจียงวานอีก เลยทำให้ทุ่งนาที่บ้านของพวกเขาแห้งแล้ง
ต้องเข้าใจว่าประเทศของเราเริ่มใช้นโยบายการวางแผนครอบครัวในปี 1971 และเริ่มกำหนดค่าปรับและบทลงโทษสำหรับการคลอดบุตรที่มากเกินไป ในปี 1982 การวางแผนครอบครัวได้รับการกำหนดให้เป็นนโยบายระดับชาติขั้นพื้นฐานและถูกเขียนลงในรัฐธรรมนูญอีกด้วย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หวงหงและซ่งตงตงต้องเผชิญแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนังสั้นที่เขาเคยดูเมื่อครั้งงานฉลองวันส่งท้ายปีเก่าของ CCTV หนังสั้นเรื่องนั้นบอกเล่าถึงชายหญิงคู่หนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตกับการหลบหนีและย้ายเมืองไปเรื่อย ๆ เพราะพวกเขามีลูกมาก
เขาไม่อยากเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบนั้น !
“แม่ครับ ผมไม่อยากเลียนแบบพวกเขาและมีลูกเยอะขนาดนั้น ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “ธุรกิจของลูกใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่มีลูกชาย แล้วต่อไปนี้ใครจะมาสืบทอดกิจการของแก ? ไม่ได้ ลูกต้องมีลูกชายถึงจะได้”
“หวงหงและภรรยาของเขาถูกปรับ 100 หยวนตอนที่พวกเขามีลูกคนที่สาม และถูกปรับ 300 หยวนเป็นครั้งที่สอง แกไม่มีปัญญาจ่ายเงินเล็กน้อยแค่นี้หรือ ? ”
“ตราบใดที่ลูกสะใภ้ท้องอีก แกก็ต้องจ่ายค่าปรับไหว ! ” หวังซิ่วจวี๋มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ครั้งสุดท้ายที่เรามีงานเลี้ยงรวมเหล้า เธอได้รับเงินขวัญถุงมาเกือบ 40,000 หยวน และเธอไม่กังวลเลยว่าจะจ่ายค่าปรับไม่ไหว
เจียงเสี่ยวไป๋ตัวสั่น ไม่คาดคิดว่าแม่ของเขาจะมีความคิดเช่นนั้น
เขาไม่สามารถพูดคุยได้อย่างมีความสุขอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
โดยไม่คาดคิด เจียงไห่หยางจะหยุดเขาไว้และถามว่า “เสี่ยวไป๋ หมอได้บอกแกไหมว่าหลินเจียอินกำลังท้องเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออก เขาพูดด้วยรอยยิ้มเหยเกว่า “พ่อครับ โรงพยาบาลปัจจุบันไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กในครรภ์เป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ! ”
เจียงไห่หยางจ้องมองเขาและสาปแช่งออกมา “ช่างเป็นโรงพยาบาลที่แย่จริง ๆ ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยซ้ำว่าการตั้งครรภ์เป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ! ”
เขาถอนหายใจและพูดกับตัวเอง “ฉันจะไปหาอาจารย์หยวนทีหลัง และขอให้เขาช่วยคำนวณดวงชะตาว่าในชีวิตของฉันจะมีหลานชายไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋แทบจะอ้าปากค้าง: แบบนี้ก็ได้หรือ ?
เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี