ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 229 ฉันมีความคิด
ตอนที่ 229 :ฉันมีความคิด
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวัน กลางดึกทุกคนก็พักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงมีงานเลี้ยงตามประเพณี ไม่เพียงแต่เพื่อให้ความบันเทิงแก่แขกที่มาค้างคืนเท่านั้น แต่ยังเป็นการ “ต้อนรับ” สมาชิกในครอบครัวโดยการกินอาหารร่วมกันอีกด้วย
แต่พอกินอาหารเช้าเสร็จ หวังซิ่วเหวินและคนอื่นก็ขอตัวลากลับ
ระหว่างทาง ทุกคนต่างก็พูดคุยกันไป
“เสี่ยวไป๋ดูจะประสบความสำเร็จมาก บ้านหลังใหม่ของเขาสร้างได้สวยมาก ! ”
“ใช่ อีกอย่างในบ้านของเขาก็ไม่มีคนรับใช้ด้วย แต่บ้านสะอาดสะอ้านมาก ! ”
“สะดวกสบายมาก ตอนที่ฉันอาบน้ำในบ้านเขา ฉันรู้สึกสบายและชอบที่สุด เพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่นโดยที่ไม่ต้องไปต้มน้ำเองด้วย”
“ฉันเองก็ชอบสวนหลังบ้านของเขา ตกแต่งได้สวยมาก ! ”
“เป็นวาสนาของเขาที่ได้ต้นหนานมู่ต้นใหญ่ในสวนหลังบ้าน เพราะมันปกคลุมทั้งสนาม สามารถหลับใต้ต้นนั้นได้โดยไม่ต้องตากแดดเลย”
“เป็นพื้นที่ทำเลดีจริง ๆ บ้านของเขาอยู่ใกล้แม่น้ำ แถมยังมีถ้ำให้ทำเป็นห้องพักได้ด้วย”
“ใช่แล้ว เมื่อคืนผมนอนที่นั่น มันเย็นสบายมาก”
“ถือเป็นวาสนาของซิ่วจวี๋ที่ได้ลูกชายแบบนี้ ! ”
“……”
พอถึงเที่ยงวัน นอกจากหลินต้าเหว่ย ภรรยาของเขาและหลินเจียเล่อ แขกคนอื่นที่มาค้างคืนได้ทยอยกลับกันหมดแล้ว ส่วนผู้ที่มาช่วยงานก็เตรียมตัวจะกลับเช่นกัน
ตามธรรมเนียมแล้ว ควรจะส่งผู้ช่วยก่อนแขกที่มาค้างคืน
ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะกลับ จะต้องมีการมอบบุหรี่หนึ่งซองและผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อแสดงความขอบคุณจากเจ้าภาพที่พวกเขามีน้ำใจมาช่วยเหลือ
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้กลับ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหาเจียงไห่หยางแล้วพูดว่า “พ่อ ครั้งนี้แขกมาเยอะมาก ทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักกว่างานอื่นที่ผ่านมา ผมว่าควรจะให้ของขอบคุณมากกว่านี้นะครับ”
เจียงไห่หยางไม่คัดค้านและถามว่า “แล้วแกจะให้อะไรพวกเขาล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นอกเหนือจากบุหรี่และผ้าเช็ดหน้าที่พ่อให้ผมไปสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ก็ให้อั่งเปาพวกเขาเพิ่มคนละ 12 หยวนก็ดีนะครับ”
เจียงไห่หยางคิดเรื่องนี้สักพักและเห็นด้วย
เขามอบหมายให้เจียงไห่เทียนเป็นคนจัดการเอาไปแจกจ่ายให้ผู้ที่มาช่วยงานเอง
ก่อนที่ผู้มาช่วยงานจะกลับไป เจียงไห่เทียนก็ได้แจกของขอบคุณจากเจ้าภาพ เมื่อพวกเขาเห็นอั่งเป่าที่มีเงิน 12 หยวนอยู่ในนั้น ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเอาแค่บุหรี่และผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้อั่งเปาก็ได้
เจียงไห่เทียนจึงกล่าวว่า “เอาไปเถอะ มันเป็นน้ำใจของไห่หยางที่อยากจะขอบคุณ”
ช่างไม้ถานกล่าวว่า “เราทุกคนล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เป็นธรรมดาที่จะต้องมาช่วยงานเล็กน้อยพวกนี้ แต่เราไม่ได้ต้องการเงินหรือสิ่งของตอบแทนใด ๆ ทั้งนั้น”
หลิวอี้โชวก็พยักหน้าเห็นด้วย
เจียงไห่เทียนกล่าวว่า “ไห่หยางบอกว่าการที่พวกคุณมาช่วยงาน ทำให้เสียเวลาในการจับกุ้งหรือทำมาหากินของทุกคนไปถึง 3 วัน ของเหล่านี้จึงถือเป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยจากเขาเท่านั้น ช่วยรับไปเถอะ”
เอ่อ……
ในเมื่อผู้นำพูดมาแบบนี้แล้ว พวกเขาจะพูดอะไรได้อีก
นอกจากทำได้เพียงรับน้ำใจนี้ไป
จากนั้น พวกเขาก็ได้แยกย้ายกันกลับ คนที่ง่วงก็กลับไปนอน ส่วนคนที่ต้องไปจับกุ้งก็ออกไปจับกุ้ง
และแล้วงานเลี้ยงนี้ก็ได้จบลง บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋จึงได้กลับมาสงบสุขเหมือนดั่งเช่นเคย
“พ่อตาเสี่ยวไป๋ ฉันไม่ได้ต้อนรับคุณอย่างดีมาสองวันแล้ว อย่าตำหนิกันเลยนะ ! ”
ในตอนนั้น เจียงไห่หยางก็หันไปพูดคุยกับหลินต้าเหว่ยได้อย่างสบายใจและกล่าวขอโทษออกมา
หลินต้าเหว่ยยิ้ม “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อย่าทำให้มันยากนักเลย”
เจียงไห่หยางแอบคิดในใจ: ฉันจะกล้าดีมาหยาบคายได้ยังไง คุณเป็นถึงนายอำเภอ ! ในอดีต เขาเรียกตำแหน่งนี้ว่าผู้พิพากษาประจำเทศมณฑลเชียวนะ หากเป็นในอดีต คนธรรมดาอย่างฉันคงจะต้องไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผู้พิพากษาประจำเทศมณฑล โชคดีที่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเหมือนเมื่อก่อน แต่มารยาทก็ควรจะมี
เมื่อคิดแบบนี้ในใจ เขาก็พูดออกมาว่า “ไม่ได้ ไม่ได้”
ด้วยช่องว่างทางสถานะ พวกเขายังคงไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมได้
ด้วยเหตุนี้ หลินต้าเหว่ยจึงรู้สึกหมดหนทาง เขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเข้ากับพ่อแม่ของลูกเขยอย่างสงบสุข
ในตอนนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เดินเข้ามา
เมื่อเห็นลูกชาย เจียงไห่หยางก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“พ่อตาเสี่ยวไป๋ สองวันที่ผ่านมาเราไม่ได้นั่งทานข้าวด้วยกันเลย มื้อเที่ยงนี้มาดื่มด้วยกันหน่อยเป็นไง”
หลินต้าเหว่ยยิ้มและพูดว่า “ได้สิ ฉันจะดื่มด้วย”
เจียงไห่หยางพูดว่า “ฉันไม่ให้คุณดื่มเปี้ยนซานแล้วล่ะ” เขาชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “เจ้ารองซื้อเหมาไถมาเก็บไว้มากมาย พอที่เราสองคนจะดื่มได้อย่างสบาย ๆ เลย”
ตอนนี้หลินต้าเหว่ยไม่ได้สนใจว่าจะดื่มเหล้ายี่ห้อไหน เพราะปกติเขาไม่ได้ดื่มเหมาไถ เขาดื่มแต่เหล้ายี่ห้อเจี้ยนหยางที่ผลิตโดยโรงกลั่นท้องถิ่นในอำเภอเจี้ยนหยาง
ซึ่งคราวนี้ที่เขามา เขาก็ได้พกมันมาสองขวด ซึ่งยังอยู่ในรถจี๊ปของเจียงเสี่ยวไป๋
เขาจึงพูดว่า “งั้นเที่ยงนี้ดื่มเหล้าที่ฉันพกมาไหม เหล้าเจี้ยนหยาง เผื่อคุณจะได้ลองชิมดู”
เจียงไห่หยางพยักหน้าและพูดว่า “ข้าวของต้าเฟิง ปลาของฉางเหอ เหล้าของเจี้ยนหยาง เค้กของเป่ยเหลียงและชาของหยุนตู ทั้งหมดที่พูดมาล้วนมีชื่อเสียงทั้งสิ้น”
ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของหลายอำเภอในชิงโจว
หลินต้าเหว่ยไม่ได้คาดหวังว่าเจียงไห่หยางจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขาจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “นอกจากเหล้าเจี้ยนหยางแล้ว เบียร์ซานเฉิงก็ยังไม่เลวอีกด้วย”
จริงสิ บุหรี่ของเจี้ยนหยางก็ดีไม่แพ้กัน
“เสี่ยวไป๋ ไปเอาบุหรี่และเหล้าของพ่อออกมาจากรถหน่อย เอามาให้พ่อของลูกเขาได้ลองดื่มเหล้าเจี้ยนหยางดู”
โรงงานผลิตบุหรี่เจี้ยนหยาง ผลิตบุหรี่ยี่ห้อต่าง ๆ เช่น ยี่ห้ออวี้เตี๋ย ยี่ห้อเฉินลู่ แม้ว่าราคาจะไม่แพง แต่ก็มีรสชาติที่ดี
ซึ่งครั้งนี้หลินต้าเหว่ยได้เอามาสองยี่ห้อนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่โรงรถเพื่อไปเอาบุหรี่และเหล้ามา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักธุรกิจชาวฮ่องกงเมื่อครั้งที่แล้ว เขาก็ถามว่า “พ่อครับ หลังจากที่จับกุมเฉินกังเซิงแล้ว เรื่องอุปกรณ์ในโรงเบียร์จะจัดการอย่างไร ? ”
เดิมทีหลินต้าเหว่ยกำลังตื่นเต้น แต่เมื่อเขาได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋ถามคำถามนี้ออกมา สีหน้าของเขาก็ดูจะตึงเครียดขึ้นทันที
“ตอนนี้ก็ยังเร่งจัดการอยู่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจำได้ว่าแม้แบรนด์เบียร์ของซานเฉิงจะยังคงมีอยู่จนกระทั่งเขามีชีวิตในชาติที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะถูกรวมกิจการกับโรงเบียร์ในปาเฉิ่ง และหากว่าเขาไม่ได้กลับมาเกิดในชาตินี้ โรงเบียร์ซานเฉิงก็คงถูกหลอกและเสื่อมถอยไปในที่สุด
ในชีวิตนี้ แม้ว่าโรงเบียร์ซานเฉิงจะไม่ถูกหลอก แต่ก็ประสบกับปัญหาเพราะไม่มีการอัพเกรดอุปกรณ์จนอาจจะประสบปัญหา
แค่คิด เขาก็รู้สึกสะเทือนใจ
“พ่อไม่คิดหาทางอื่นบ้างหรือครับ ? ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “ฉันกำลังคิดวิธีแก้ปัญหาอยู่ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะแก้ไขในเวลาอันสั้น”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ในอีกไม่กี่วัน ผมจะไปที่เจี้ยนหยางเพื่อไปดูโรงเบียร์”
หลินต้าเหว่ยตกตะลึง เขารู้จากรองนายกเทศมนตรีจางว่าเจียงเสี่ยวไป๋ได้ก่อตั้งโรงงานถึงสามแห่งในชิงโจว จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไม? หรือว่าลูกต้องการเซ็นสัญญาเหมาโรงเบียร์ซานเฉิงงั้นหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ปิดบังอะไร และพูดว่า “ครับ ผมคิดแบบนั้น”
อุตสาหกรรมที่เขาเกี่ยวข้องอยู่ในปัจจุบันล้วนเน้นไปที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นหลัก ซึ่งตลาดเบียร์ในอนาคตนั้นมีแนวโน้มที่จะขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงคิดที่จะครองตลาดด้านนี้
หลินต้าเหว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โรงเบียร์ซานเฉิงนั้นต่างจากโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกชิงโจวที่ลูกทำสัญญาเหมาไว้ เพราะโรงเบียร์ซานเฉิงยังไม่ถึงขั้นล้มละลาย ฉะนั้นหากว่าลูกต้องการทำสัญญา ก็จะเป็นเรื่องยาก”
ในฐานะนายอำเภอเจี้ยนหยาง เขารู้ดีว่าอำเภอไม่มีแผนที่จะปรับปรุงการบริหารจัดการของโรงเบียร์ซานเฉิง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมแค่อยากจะติดต่อและทำความรู้จักก่อน เรื่องสัญญาไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรครับ”
เขาจำไม่ได้ว่าโรงเบียร์ซานเฉิงถูกรวมกิจการในปีใด
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาต้องการคือ การทำความเข้าใจและเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถูกสกัดกั้นเมื่อถึงเวลา
เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่มีพลังพอที่จะเข้าควบคุมโรงเบียร์ซานเฉิง
อย่างน้อย เราก็ต้องรอจนกว่าโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองดำเนินการไปได้ถูกทางก่อน
หลินต้าเหว่ยพยักหน้า “อย่างนั้นก่อนไปก็โทรหาพ่อ แล้วพ่อจะจัดเตรียมให้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสริมไปว่า “พี่ชายคนโตของอินอินทำงานอยู่โรงเบียร์ เขาคุ้นเคยกับสถานการณ์ในโรงงานดีอยู่แล้ว ไว้ถ้าไป ลูกก็ลองไปปรึกษาเขาดูได้”
เจียงไห่หยางได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง เขาก็พูดว่า “เจ้ารอง แกจะทำโรงงานผลิตเบียร์ด้วยงั้นหรือ? ถ้าแกจะทำ แกทำโรงงานเมล็ดแตงโม 5 รสก่อนนะ”
ในสองวันที่ผ่านมา แขกที่มาบอกว่าเมล็ดแตงโม 5 รสอร่อยมาก ซึ่งเจียงไห่หยางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี และเขาก็ไม่เคยคิดจะลืมมัน
หลินต้าเหว่ยเองก็ได้กินเมล็ดแตงโม 5 รสด้วย ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเจียงไห่หยางขอให้เจียงเสี่ยวไป๋สร้างโรงงานเมล็ดแตงโม 5 รส เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นตาม