ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 228 สีสันแห่งชีวิต
ตอนที่ 228 :สีสันแห่งชีวิต
“ใครให้เงินขวัญถุงมากที่สุด ? ”
เจียงไห่หยางรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยงเฉียนจิ้นใส่เงินขวัญถุง 1,200 หยวน แต่เขาไม่รู้ของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ช่างไม้ถานเปิดสมุดบัญชีออกแล้วชี้ไปที่รายชื่อนั้น
“ใครให้เยอะที่สุดนะ ! ”
เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ และเจียงไห่เทียนต่างมองไปที่รายชื่อนั้นเป็นตาเดียว
เงินขวัญถุงที่หวังผิงให้คือ 12,000 หยวน !
ซี๊ด !
“12,000 หยวน ! ”
ทั้งสามอ้าปากค้าง พวกเขาอ้าปากกว้างมากพอที่จะยัดไข่เป็ดลงไปได้
ช่างไม้ถานและเจียงเสี่ยวฉินต่างพากันขบขันเมื่อเห็นท่าทางของทั้งสามคน ตอนนั้นที่เห็นหวังผิงถือธนบัตรสิบหยวนมา 12 ปึกใหญ่เพื่อมอบเป็นเงินขวัญถุง ทั้งสองคนก็แทบจะผงะไม่ต่างกัน
เจียงไห่เทียนเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา
เจียงไห่เทียน: ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้เงินขวัญถุงมากถึงสามหมื่นกว่าหยวน เพราะแค่เงินขวัญถุงของหวังผิงเพียงคนเดียวก็เป็นเงิน 12,000 หยวนแล้ว
“ผิงผิงให้เงินขวัญถุงมากขนาดนี้เชียว ! ”
หวังซิ่วจวี๋พึมพำในลำคอของเธอด้วยความประหลาดใจและยินดี
เจียงไห่หยางตบปากของเขาแล้วพูดว่า “เสวี่ยเฉา ยังมีใครให้เงินขวัญถุงก้อนโตอีกบ้าง ? ”
ช่างไม้ถานกล่าวว่า “อีกคนชื่อจวงปี้เฉิง ให้เงินขวัญถุง 3,000 หยวน !
รองลงมาคือพ่อตาของเสี่ยวไป๋ ให้เงินขวัญถุง 2,000 หยวน !
เฉิงจิ้ง หลี่กวงเหลียน และฮ่าวจิงจิงต่างใส่เงินขวัญถุง 1,000 หยวนเท่ากัน
“ยังมีอีกหลายคนที่ให้ 500 หยวน”
เขาไม่ได้บอกชื่อคนที่ใส่เงินขวัญถุง 500 หยวน เพราะช่างไม้ถานเองก็ใส่เงินขวัญถุง 500 หยวนเช่นกัน
สำหรับเงินขวัญถุงจำนวนมากเหล่านี้ นอกเหนือจากหวังผิงซึ่งเป็นญาติกันแล้ว จวงปี้เฉิงและช่างไม้ถานนับเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋ ส่วนคนที่เหลืออย่างเฉิงจิ้ง หลี่กวงเหลียนและคนอื่นล้วนเป็นเจ้าของแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหอที่ซื้อสาขาไปจากเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งนั้น
โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีเจ้าของแฟรนไชส์รายใดในเมืองชิงโจวที่ให้เงินขวัญถุงน้อยกว่า 500 หยวน ส่วนผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ใน 7 อำเภอภายใต้การปกครองของเมืองชิงโจว แม้จะไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ทุกคนก็ฝากเงินขวัญถุงมาน้อยสุดคือ 200 หยวน และบางคนถึงกับให้ 500 หยวนด้วยซ้ำ
เพราะพวกเขาต่างก็ได้เงินจากการทำธุรกิจเพราะแฟรนไชส์ของเจียงเสี่ยวไป๋ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อคุณดื่มน้ำ ให้จำคนที่ขุดบ่อน้ำ’ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋จัดงานเลี้ยงฉลอง ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะให้เงินขวัญถุงแม้จะไม่ได้มาร่วมงานก็ตาม
เพราะพวกเขายังต้องการสร้างรายได้ไปกับเถ้าแก่เจียงต่อไป !
เจียงไห่หยางเปิดสมุดบัญชีและพบว่ามีทั้งหมด 718 รายชื่อ
ในอดีต ทุกครั้งที่ครอบครัวเจียงจัดงานเลี้ยงฉลอง รายชื่อผู้ที่ให้เงินขวัญถุงจะมีประมาณ 400 รายชื่อเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีก 300 กว่ารายชื่อนั้นคือเพื่อนและหุ้นส่วนของเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด
ถูกต้อง
มีแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันน้ำมันชิงเหอและแฟรนไชส์พะโล้มากกว่า 80 ราย ไหนจะเหล่าผู้บริหารของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกที่ได้รับการสนับสนุนจากเขาอีก ซึ่งมีจำนวนหลายสิบคนอีกด้วย
คนอีกกลุ่มหนึ่งคือทีมงานก่อสร้างของจวงปี้เฉิง
คนงานเกือบทั้งหมดได้เอาเงินขวัญถุงมาให้จวงปี้เฉิง แม้ว่าจะเป็นเพียงเงินห้าหยวนสิบหยวน แต่ก็มีหลายร้อยคน
เหตุผลหลักคือเจียงเสี่ยวไป๋มักจะดูแลคนงานเหล่านั้นเป็นอย่างดี แจกบุหรี่ให้เป็นครั้งคราว ส่งข้าวส่งน้ำ จนคนงานเหล่านี้รักและเคารพเขา
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋รู้เรื่องนี้ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
มันไม่ง่ายเลยที่จะตอบแทนบุญคุณนี้
เขาไม่รู้ชื่อคนงานเหล่านั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่บอกจวงปี้เฉิงว่าถ้าคนงานของเขามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เขาเต็มใจช่วยเสมอ
คืนนี้ งานยังคงคึกคัก
หลังจากที่ละครโทรทัศน์จบตอนสี่ทุ่ม คนในหมู่บ้านก็ได้แยกย้ายกันกลับไป จึงไม่เหลือผู้ที่มาช่วยงานแม้แต่คนเดียว
แต่ยังมีแขกที่มาค้างคืนอยู่เป็นจำนวนมาก
เจียงไห่เทียนที่กำลังทำบัญชีรายจ่ายอยู่นั้นก็เห็นว่าครอบครัวหวังที่มาค้างคืนในวันนี้มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กหลายสิบคน
ผู้ใหญ่ก็มัวแต่พูดคุยและเล่นไพ่
มีเด็กมากกว่ายี่สิบคนที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนามและลานหน้าบ้าน
เจียงชานและเด็ก ๆ อีกหลายคนกำลังเล่นเกมอยู่ในลานเล็ก
เกมนี้ค่อนข้างง่าย แค่อย่าขยับ
ใครเคลื่อนไหวจะถูกลงโทษ
โดยหวังจี๋เป็นคนนำร้องคนแรก: “แข่งกันตีปิงปอง……”
จากนั้น เจียงชานและเด็กคนอื่น ๆ ต่างแสดงท่าทางต่าง ๆ และร้องเพลงออกมา “แข่งกันตีปิงปอง ป้าใช้ฉันไปซื้อผัก ฉันซื้อผักเน่ามากำหนึ่ง ป้าจึงไปฟ้องแม่ แม่จึงไปฟ้องพ่อ พ่อจึงไปฟ้องครู ครูไปฟ้องครูใหญ่ ครูใหญ่จึงสั่งว่า อย่าให้ใครขยับ ! ”
พอคำร้องสุดท้ายบอกว่า “อย่าให้ใครขยับ”
หวังเค่อ เจียงชาน เจียงถิง และเด็กคนอื่นต่างยืนนิ่งทันที
ท่าทางและสีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไป มันดูตลกมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงถิงกลั้นหัวเราะไม่ไหว หวังจี๋จึงต้องลงโทษเธอ
ซึ่งการลงโทษสำหรับเด็ก ๆ นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการให้ร้องเหมียว ๆ เหมือนแมว
เจียงถิงไม่เต็มใจ หวังจี๋จึงพูดว่า “งั้นร้องเพลงแทนก็ได้”
เด็กอายุเท่านี้ร้องเพลงได้ไม่กี่เพลงเท่านั้น ซึ่งก็ร้องได้แต่เพลงกล่อมเด็กไม่กี่เพลง
เจียงถิงเองก็ร้องได้ไม่กี่เพลงเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงร้องเพลงหนึ่งออกมา
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ขึ้นไปบนเขาเพื่อจับเสือ เสือไม่อยู่บ้าน ดังนั้นใครตดคือคนนั้น~”
ในขณะที่ร้องเพลง เธอก็ชี้นิ้วไปหาเด็กเหล่านั้น จนในที่สุดก็ชี้ไปที่หวังจี๋
หวังจี๋ก็ร้องเพลงต่อจากเธออย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“เราสองคนเก่ง เราสองคนเก่ง เราทั้งคู่ไปซื้อนาฬิกา เธอใส่อันหนึ่ง ฉันใส่อันหนึ่ง แล้วเธอก็ดูเหมือนตือโป๊ยก่าย~”
เจียงถิงได้ฟังลุงของเธอเล่าเรื่อง “ไซอิ๋ว” ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และเธอยังอ่านเรื่องสั้นของ “ไซอิ๋ว มาแล้ว” หนูน้อยจึงรู้ว่าตือโป๊ยก่ายมีปากเหมือนหมู หูใหญ่และหน้าตาน่าเกลียด
เมื่อได้ยินหวังจี๋บอกว่าเธอคือตือโป๊ยก่าย เธอก็อารมณ์เสียทันทีและร้องเพลงออกมาว่า:
“แม่ของเด็กคนนั้นสกปรกจริง ๆ เธอเอาน้ำล้างเท้ามานึ่งเค้ก มีเหาบนหัวเยอะเหมือนเมล็ดงา โพกผ้าลายบนหัวเหมือนเกรียว~”
หวังจี๋ร้องรับทันที
“พ่อคนนั้นกำลังขับรถไฟ พอเราขับรถไปสถานีรถไฟ เราก็หิว แต่ข้าวยังไม่สุก อยากกินเนื้อ เนื้อยังไม่สุก อยากกินแตง แตงไม่ได้เก็บ อยากกินงู งูยังไม่ได้จับ อยากกินม้า ม้ายังไม่ตาย อยากกินชา ชายังไม่เปิด ฉันอยากลงไปถนน แต่หาเงินไม่ได้~”
เพลงกล่อมเด็กเหล่านี้มักจะชอบแฝงคำหยาบคำด่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้
เจียงเสี่ยวไป๋บังเอิญออกมาเจอลูกสาวของเขากำลังเล่นอยู่กับเพื่อน ๆ จึงหยุดฟังและได้ยินเข้าพอดี
“เสี่ยวจี๋ ถิงถิง พวกเธอจะร้องเพลงพวกนี้ไม่ได้”
หวังจี๋แลบลิ้นออกมา ส่วนเจียงถิงก็หยุดร้องทันที
เด็กในวัยนี้ค่อนข้างจะกลัวผู้ใหญ่ และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะเชื่อฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด
หวังจี๋เปลี่ยนเป็นอีกเพลงและร้องออกมา
“ค้อนกู่ลู่กู่ ส้อมกู่ลู่ กู่ลู่กู่สันเนียงเนียง จัดการส้อมทอง กรรไกรใหม่ ตัดผม กรรไกรเก่า ตัดหาง หูพลั่ว ตัดแม่สามี~”
เจียงซานก็ร้องเพลงตาม
“ลูกขนไก่ ติ๊ก ติ๊ก ม้าหก ยี่สิบเอ็ด สอง ห้า หก สอง ห้า สอง แปด สอง เก้า สามสิบเอ็ด สาม ห้า หก สาม ห้า สาม แปด สาม เก้า สี่สิบเอ็ด~”
หลังจากร้องเพลงแล้ว เจียงชานก็พูดว่า “มันไม่สนุกเลย เรามาเล่นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้กันดีกว่า”
หวังจี๋พูดว่า “เกมนี้ไม่สนุกหรือ ? ”
เจียงชานจึงพูดว่า “ฉันจะร้องเพลงแล้วให้เธอทายว่ามันคืออะไร”
พูดจบ เธอก็ร้องเพลงออกมา “อะไรเอ่ย บีบก้นออกปาก ? ~”
หวังจี๋และเจียงถิงหัวเราะและพูดออกมาพร้อมกันว่า “ยาครีมไงล่ะ ! ”
เจียงชาน “ยาครีมมันอะไร ? ”
หวังจีและเจียงถิงขานรับพร้อมกัน “ยาสีฟัน ! ”
เจียงชานยังคงถามต่อ “ฟันอะไร ? ”
หวังจี้และเจียงถิงพูดพร้อมกัน “ฟันถั่วงอก ! ”
เจียงชาน “ถั่วอะไร ? ”
หวังจี๋และเจียงถิง “ถั่วในอ่าว ! ”
เจียงชาน “อ่าวอะไร ? ”
หวังจี๋และเจียงถิง “อ่าวเจียงวาน ! ”
……
เสียงของเด็กน้อยชัดเจน ดังก้องไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับเสียงของธรรมชาติ ร่างเล็ก ๆ เต้นระบำใต้แสงจันทร์ด้วยความร่าเริงผสมกับเสียงสับไพ่ของผู้ใหญ่ที่ดังเป็นครั้งคราว……
พวกผู้ใหญ่เล่นไพ่อยู่ไม่ไกล :
“โปกเกอร์ ! ”
“สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด ! ”
“สามและสาม ! ”
“จับไพ่เลย ! ”
……
คนที่ได้ไพ่ดี พวกเขาต่างก็ต่อสู้กันอย่างหนักเพื่อที่จะเอาชนะ พร้อมทั้งตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นเป็นครั้งคราว
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูภาพทั้งหมดนี้ ซึ่งมันดูคึกคักและสนุกสนานมาก
มันเต็มไปด้วยสีสันแห่งชีวิต