ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 227 ได้ขวัญถุงมากมาย
ตอนที่ 227 :ได้ขวัญถุงมากมาย
ในช่วงบ่าย แขกที่เหลือต่างทยอยเข้ามาใส่ซองกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ห้องพิธีเริ่มยุ่งวุ่นวาย
ในเวลาเดียวกัน แขกที่มาใส่ซองเหล่านั้นต่างขอดูสมุดบัญชี จึงรู้ว่าในบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้น มีคนใส่ซองเป็นเงินจำนวนมาก
“ได้ยินมาว่ามีคนใส่เงินขวัญถุงมากถึง 1,200 หยวนด้วย ! ”
”พระเจ้า ใส่ซอง 1,200 หยวนเลยหรือ ! ”
“ยังมีคนที่ใส่ห้าถึงหกร้อยหยวนด้วย ! ”
“การให้เงินขวัญถุงหนึ่งถึงสองร้อยไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนใหญ่คนโต ! ”
“ซึ่งนี่อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นแก่เจียงเสี่ยวไป๋ ทุกคนล้วนแต่เป็นเพื่อนที่อยู่ในเมืองทั้งนั้น”
“แน่นอน คนบ้านนอกอย่างเราจะเอาเงินที่ไหนมาใส่ซองเยอะขนาดนี้”
“ซึ่งของชำร่วยที่พวกเขาได้ไปนั้นก็ไม่ใช่ของราคาถูก ๆ เลย มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 หยวน”
“คุณคิดว่าเงิน 1,200 หยวนนี้ จะเป็นเงินขวัญถุงที่เยอะที่สุดไหม”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตระกูลหวังยังไม่ได้มาใส่ซองเลย บางทีอาจมีบางคนที่ให้มากกว่านี้”
“ถ้าไห่หยางเลี้ยงฉลองแบบนี้บ่อย ๆ เขาจะกลายเป็นเศรษฐีที่มีเงินหลายหมื่นหยวนได้อย่างง่าย ๆเลยนะ”
“บางทีเงินที่ได้จากการใส่ซองนี้ก็อาจจะไม่ได้มากอย่างที่คิด งานเลี้ยงหรูหรามาก อาจมีค่าใช้จ่ายที่เยอะกว่า”
“เงินที่ได้มาแบบนี้จะต้องตอบแทนกลับด้วย ยิ่งคุณได้รับมากเท่าไร ก็ต้องให้คืนเท่านั้น ! ”
“……”
ในหมู่แขกเหล่านี้ มีหลายคนที่กำลังกระซิบกระซาบกันเรื่องเงินขวัญถุงอยู่
หลังจากนั่งดื่มไปอีกสักพัก รองนายกเทศมนตรีจางก็ขอตัวกลับ
เจียงเสี่ยวไป๋ขอให้เขาอยู่ต่อ “กินอาหารเย็นด้วยกันแล้วค่อยกลับก็ได้ครับ ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางโบกมือ เขาดื่มไปมากในตอนเที่ยง ซึ่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดหัวอยู่ ถ้าจะให้อยู่ต่อจนถึงเย็นคงรอไม่ไหว
แต่เมื่อเห็นท่าทีของเขา เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปส่งครับ”
หลินต้าเหวย ฟู่เต๋อเจิ้ง หวังเต๋อคุน และคนอื่นก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะไปส่ง หลังจากออกจากประตูแล้ว รองนายกเทศมนตรีจางก็หันไปเห็นวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำชิงเจียงด้านล่าง เขาจึงไม่รีบร้อนที่จะกลับ
“เหล่าหลิน เราลงไปเดินกินลมชมวิวที่ริมแม่น้ำกันก่อนไหม”
“ดี ! ”
หลินต้าเหว่ยเห็นด้วยทันที จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ลงไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ
พวกเขาเอนตัวพิงราวบันไดใกล้แม่น้ำที่ไหลไปอย่างช้า ๆ ตรงหน้า ทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเหมือนจะลอยล่องไปกับกระแสน้ำ ลมเย็นที่พัดมากระทบใบหน้าเย็นสบายจนฆ่าความเมาให้ปลิวไปกับสายลม
รองนายกเทศมนตรีจางมองขึ้นไปก็เห็นบ้านหลังใหญ่สูงตระหง่านและต้นหนานมู่ต้นใหญ่ที่ยืนหยัดเคียงคู่ เขารู้สึกตกตะลึง ก่อนจะมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดออกมาว่า “บ้านของคุณสร้างได้ดี ใส่ใจรายละเอียดยิ่งกว่าโรงงานของคุณเสียอีก ! ”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้น เขาก็คิดว่า: นี่คือบ้านของฉัน จะเอาไปเปรียบเทียบกับโรงงานได้อย่างไร ?
แต่ทว่าคนที่พูดมันออกมาคือรองนายกเทศมนตรีจาง เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดประโยคนี้ออกไป
“รองนายกเทศมนตรีจาง ถ้าคุณให้ที่ดินผมเพิ่มอีกสองถึงสามพันหมู่ ผมสัญญาว่าจะสร้างโรงงานให้สวยกว่าที่นี่แน่นอน ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางเซจนต้องรีบจับราวบันไดของแท่นระเบียงไว้
เอ่อ……
เกือบตกแม่น้ำเลย
เขาพยุงตัวเองให้ยื่นอย่างมั่นคง ก่อนจะพูดด้วยความโกรธ “คุณกล้าดีอย่างไร ทำไมไม่ขอที่ดินเพิ่มอีกเป็นหมื่นหมู่เลยล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมก็อยากได้เหมือนกัน แต่ผมต้องถามคุณก่อนไง ! ”
อะไรนะ คุณยังมีหน้ามาขอกันแบบนี้อยู่หรือ !
บทสนทนาระหว่างทั้งสอง มีหวังเต๋อคุนและคนอื่นฟังอยู่ พวกเขาทั้งหมดอ้าปากค้างและมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นี่เขาเมาหรือว่าหน้าด้านกันแน่ ถึงกล้าพูดออกมาแบบนี้
รองนายกเทศมนตรีจางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามมาก เขาเองก็กำลังยืนกินลมชมวิวสบาย ๆ และสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยมา
แต่ทำไมถึงต้องปากไม่ดีไปพูดเรื่องบ้านและโรงงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย ?
เพราะมันส่งผลให้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะชมวิวทิวทัศน์อีกต่อไป
“ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะพูดจาไร้สาระกับคุณ ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางพูด แล้วเดินออกไป
เขาอยากกลับเข้าเมืองเพื่อไม่ให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไร้เดียงสาที่จะเข้าใจ: ฉันไม่ได้เมา ไม่ต้องพูดเรื่องเมาเลย
ถึงเมา แต่เขาก็ยังพูดเรื่องจริงอยู่ดี !
ฟู่เต๋อเจิ้งออกมาพร้อมกับรองนายกเทศมนตรีจาง แต่หวังเต๋อคุนและเฉียนฟางอี้ยังอยู่ที่นี่ต่อ
พวกเขาเดินกลับมาที่ลานบ้าน
“ปัง ปัง ปัง…..”
เสียงประทัดด้านนอกก็ดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแขกก็ยังคงมาอยู่เรื่อย ๆ
“แขกมาแล้ว ช่วยเตรียมบุหรี่และชาหน่อยสิ…”
“ได้……”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แม้แต่หวังเต๋อคุนและคนอื่นต่างก็ขานรับ
“ป้าเล็ก ! ”
“ลุงเล็ก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่เห็นว่าแขกที่มาเป็นลุงกับป้า จึงรีบเข้าไปทักทายพวกเขา
เป็นครอบครัวของหวังซิ่วยี่และกวนหยุนอี้ที่มา กวนหยุนอี้และกวนโปเหวินเป็นคนถือของฝากมา เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเหนื่อยมาก
“เฮ้ น้องชาย ! ” กวนโปเหวินตะโกน
“พี่เสี่ยวไป๋ ! ”
ในเวลาเดียวกัน กวนหลันหลันและกวนฮุ่ยฮุ่ย น้องสาวของกวนโปเหวินก็ตะโกนทักทายเขาเช่นกัน
ก่อนที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาจะได้พูดต่อ เสียงประทัดก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้มีแขกมามากขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เพราะแขกที่มาคือจวงปี้เฉิง หลี่กวงหรง หลี่กวงเหลียน เฉิงจิ้ง เมิ่งเสี่ยวเป่ย หวังชิ่งซี โหยวโหย่วหยูและคนอื่น
แม้แต่เฉินหยวนเฉาก็มาด้วย
กลุ่มคนที่มากลุ่มนี้มีเกือบยี่สิบคน เรียกได้ว่าเป็นทีมที่ใหญ่ที่สุดและส่วนใหญ่ก็เป็นทีมผู้บริหารในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก
เมื่อแขกมาจำนวนมาก ผู้ที่มาช่วยงานก็ยุ่งกับการต้อนรับแขก ทั้งรินชาและต้อนรับพวกเขาเข้าไปในห้อง
เจียงไห่เทียนเดินมาหาเจียงเสี่ยวไป๋และพูดว่า “มีแขกมามากกว่าที่คาดไว้ ลุงกลัวว่าอาหารที่เราเตรียมไว้ก่อนหน้านี้จะไม่พอ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “เดี๋ยวผมจะขอให้หวังผิงช่วยไปซื้อของมาเพิ่ม”
หวังผิงมีรถบรรทุก ซึ่งสะดวกกว่าเขามาก
เพราะเขาเองก็ทิ้งแขกทางด้านนี้ไปไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้หวังผิงทำหน้าที่นี้แทนเขา
โชคดีที่เมนูก่อนหน้านี้ยังไม่มีอะไรหมด หวังผิงแค่ไปซื้อของตามที่พวกเขาสั่งเท่านั้น ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรมาก
เจียงไห่เทียนให้คนสองคนไปช่วยหวังผิงซื้อของ จากนั้นก็ไปหาหลิวอี้โชวเพื่อวางแผนเรื่องอาหารในงานต่อ
“ใครยังไม่ได้กินข้าวเชิญนั่งก่อน ! ”
“แขกทุกท่านที่เพิ่งมาถึง กรุณานั่งก่อน ! ”
“……”
บรรยากาศภายในงานทั้งดูมีชีวิตชีวาและพลุกพล่าน โต๊ะที่นั่งเปิดให้แขกเวียนกันมานั่งกินข้าวตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแล้ว
ซึ่งงานเลี้ยงแบบนี้ มันจะจัดขึ้นเพียงวันเดียวเท่านั้น
ถ้าเป็นงานเลี้ยงของบ้านหลังอื่น คนแถวนั้นคงกลับไปหมดแล้ว
แต่วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในเจียงวานไม่ได้มีใครหนีกลับบ้านไปก่อน ส่วนผู้มาเยือนจากต่างถิ่นแดนไกลอย่างจวงปี้เฉิง เมิ่งเสี่ยวเป่ย หลี่กวงหรง เฉิงจิ้ง รวมถึงหวังเต๋อคุนและเฉียนฟางอี้ก็ออกไปหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ
นอกจากนี้ยังมีญาติห่าง ๆ ที่ไม่สนิทกันมากนักซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ขอตัวกลับไปแล้ว
ทว่าชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันยังอยู่ เพราะพวกเขากำลังดูละครโทรทัศน์อยู่
เนื่องจากพวกเขามักจะมาที่นี่เป็นประจำเพื่อดูโทรทัศน์ ยิ่งวันนี้ครอบครัวเจียงมีงานฉลอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องนำม้านั่งมาเอง อีกทั้งยังมีเมล็ดแตงโมคั่วให้กินฟรีด้วย กินแล้วก็มีคนเอาชามาเสิร์ฟให้อีก ทำให้ดูโทรทัศน์เพลิน
สำหรับหวังซิ่วเหวินและญาติสายตรงของเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากอยู่ต่อ แต่เจียงไห่หยางก็ขอให้พวกเขาค้างคืนที่นี่
ดังนั้น เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาก็ไม่ได้กลับ เพราะจะนอนค้างคืนที่นี่
ตอนสามทุ่ม ได้มีการมารวมตัวกันในห้องพิธี
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ยิ้มแย้มแจ่มใส และเฝ้ารออย่างมีความหวัง ทั้งสองยืนดูช่างไม้ถานและเจียงเสี่ยวฉินนับเงินขวัญถุงของแขกที่มาในวันนี้
ไม่รู้ว่าจะได้เงินจากการใส่ซองของแขกเท่าไหร่ ?
ลูกคิดของช่างไม้ถานเสียงดังแป๊ก ๆ ส่วนเจียงเสี่ยวฉินก็เอาน้ำลายชุบนิ้วของเธอเพื่อนับธนบัตรอย่างรวดเร็ว โดยการแยกธนบัตรชนิดเดียวกันออกเป็นปึกละยี่สิบใบ
เงินสิบหยวนมีมากที่สุด รองลงมาคือธนบัตรสองหยวน หนึ่งหยวน และห้าหยวน
มีแม้กระทั่งธนบัตรห้าเหมา แต่ก็มีน้อยมาก
”รวมเป็นเงิน 39,768 หยวน ! ”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวฉินนับเสร็จแล้ว เธอก็มองไปที่ช่างไม้ถานแล้วพูดขึ้นมา
ช่างไม้ถานพยักหน้า “ใช่ ฉันก็คิดได้จำนวนนี้”
อะไรนะ
39,768 หยวน ?
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เงินสดเท่านั้น ไม่รวมใบเสร็จรับเงินและของขวัญที่แขกนำมาฝากอีก
เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ และเจียงไห่เทียนที่อยู่ด้านข้างต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
งานเลี้ยงในชนบท บางหลังคาเรือนอาจได้เงินขวัญถุงไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น หากงานไหนได้เงินขวัญถุงถึงห้าร้อยหยวน ก็ถือว่ามากพอแล้ว
โดยไม่คาดคิดไม่เคยคาดฝัน
ครั้งนี้พวกเขาได้เงินขวัญถุงเป็นเงินสดเกือบ 40,000 หยวน
“มันน่าเหลือเชื่อมาก ! ”
เจียงไห่หยางยังคงไม่อยากจะเชื่อและถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
ช่างไม้ถานจึงกล่าวมาอีกครั้งว่า “เพราะมีคนใหญ่คนโตมาหลายคนยังไงล่ะ ! ”