ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 220 งานเลี้ยง
ตอนที่ 220 :งานเลี้ยง
“ทุกท่าน พอดีว่าผมจะไปรับพ่อตาแม่ยายของผมที่ในเมือง”
เพราะจูกั๋วฟู่และคนอื่นไม่ยอมให้เจียงเสี่ยวไป๋ออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกความจริง
“จริงหรือ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามอย่างไม่เชื่อ
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นถึงกับหมดคำจะพูด “ผมจะกล้าโกหกทุกท่านได้อย่างไร พ่อตาแม่ยายของผมมาจากเจียนหยาง และยังไม่เคยมาที่บ้านของผมเลย”
จูกั๋วฟู่ยิ้มเหยเกออกมา “คุณน่าจะบอกฉันก่อนหน้านี้ว่าคุณจะไปรับพ่อตา”
จากนั้น เขาถึงได้ปล่อยมือของเจียงเสี่ยวไป๋
หวังเต๋อคุนยังกล่าวอีกว่า “งั้นคุณไปเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเรา”
หวังเต๋อคุนยังกล่าวอีกว่า “ใช่ ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเราเลย”
เจรจากับคนพวกนี้เสร็จ เขาก็เดินออกไปทันที
ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะดีถ้าฟู่เต๋อเจิงและคนอื่นมาหลังจากที่เขากลับมา จะได้ไม่ต้องมาขัดใจกับพวกเขา
เพราะหลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋จากไปแล้ว จูกั๋วฟู่ก็พูดว่า “เด็กนั่นต้องการหลีกเลี่ยงที่จะดื่มกับเราแน่ ไม่มีทาง ! ”
หวังเต๋อคุนพยักหน้า “เขาบอกว่าจะไปรับพ่อตาของเขาไม่ใช่หรือ ? งั้นก็รอให้เขากลับมา แล้วดูว่าจะมาพร้อมกับพ่อตาของเขาจริงไหม”
“งั้นก็รอดู ! ”
“ใช่แล้ว ! ”
“งั้นเราก็รอดูแล้วกัน ! ”
เฉียนฟางอี้, ชูเหวินปิน, โจวฉางซง และคนอื่น ๆ ต่างก็ตั้งตารอดู
เด็กคนนี้ไม่จริงใจ เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของเขาเลย แต่พอจะดื่ม ก็ขอตัวออกไปกลางงานเพื่อเลี่ยงที่จะดื่มกับพวกเขา
มันหยามหน้ากันชัด ๆ
ทั้งฟู่เต๋อเจิงและอีกหลายคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาที่จะรอแก้แค้นเจียงเสี่ยวไป๋ในงานเลี้ยง
เพราะถ้าพ่อตาของเขามาจริง ๆ ก็มาทันเวลาพอดี
แม้แต่พ่อตาของเขาก็ต้องเมาไปด้วยกัน เท่านี้จะไม่เพียงแต่สามารถแก้แค้นเจียงเสี่ยวไป๋ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเก็บดอกเบี้ยได้อีกด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็คงปฏิเสธอะไรไม่ได้อีกแล้ว
แล้วหลังจากนั้นให้หน้าที่การต้อนรับพ่อตาของคุณเป็นของเรา ตกลงไหม ?
หลังจากตกลงแผนการเสร็จสิ้น หลายคนก็รู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก และได้แต่แทะเมล็ดแตงโม 5 รสต่อไปเพื่อรอให้เจียงเสี่ยวไป๋กลับมา
“เชิญนั่งตรงนี้ก่อน ! ”
“เชิญนั่งตรงนี้ก่อน ! ”
“แขกที่มาใหม่ เชิญมานั่งที่โต๊ะเพื่อรับประทานอาหารกันก่อน ! ”
“……”
เจียงไห่เทียนตะโกนเสียงดังอยู่ในลานบ้าน เขาตะโกนเพื่อเชิญให้แขกมานั่งที่โต๊ะ
แขกจำนวนมากออกจากที่นั่งเดิมและรีบไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยง
บางคนก็รีบไปที่โต๊ะ แต่บางคนที่ยังไม่หิวก็นั่งคุยกับคนรู้จักต่อไป เมื่อคนข้าง ๆ ถามก็บอกว่ายังไม่หิว ถ้าหิวจะรีบตามไป
งานเลี้ยงจะจัดขึ้นที่ปีกตะวันออกของลานภายใน มีโต๊ะทั้งหมด 10 โต๊ะ
ในพื้นที่ชนบท ถ้าเป็นงานเลี้ยง ไม่ว่าของผู้ใหญ่หรือเด็ก แต่ละโต๊ะจะมีทั้งหมด 8 ที่นั่ง
“เต็มทุกโต๊ะเลยหรือ ! ”
เจียงไห่เทียนเดินเข้ามายังลานที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงอีกครั้ง และต้องตกตะลึง
ในไม่ช้า โต๊ะทั้ง 10 ตัวก็เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ เจียงไห่เทียนจึงได้กล่าวกับคนที่มาช่วยงานอีกครั้ง:
“ผู้ที่มาช่วยงานก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ! ”
“เตรียมที่นั่งและจัดเก้าอี้เพิ่ม เพื่อเตรียมพร้อมให้แขกที่มาร่วมงานเลี้ยง ! ”
“เรียน แขกผู้มีเกียรติ ญาติสนิท มิตรสหาย และเพื่อนบ้านทุกคน”
“วันนี้ถือเป็นวันที่ดี เป็นกิจกรรมแห่งความสุขของเราครอบครัวเจียง ในนามของเจ้าบ้าน ฉันขอขอบคุณจากใจจริงต่อแขกทุกคนที่มาร่วมงาน บางคนมาจากต่างถิ่น ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ พวกคุณก็ยอมเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขามาที่นี่ เสียทั้งเงินและเวลา ยอมมาหาพวกเราถึงที่ หากว่าเราต้อนรับไม่ดีเท่าที่ควร โปรดจงยกโทษให้เราด้วย”
“ทางเราก็ทำได้เพียงจัดโต๊ะที่นั่ง ซุป และอาหารไม่กี่อย่างไว้คอยต้อนรับ ไม่ได้มีสุราชั้นดีและอาหารดี ๆ ไว้คอยต้อนรับ มีแต่อาหารง่าย ๆ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรกับเรามากนัก ทางเราก็หวังว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกับเมนูง่าย ๆ เหล่านี้……”
สิ่งที่เขาพูดแสดงได้ถึงความจริงใจ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ฟังมัน
ทันทีที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟ ทุกคนก็เริ่มยกตะเกียบ
งานเลี้ยงนี้เสิร์ฟอาหารชามใหญ่ 8 ชาม ชามเล็ก 8 ชาม บนโต๊ะจึงมีอาหารทั้งหมดสิบหกชาม ทั้งเมนูไก่ เป็ด ปลา และข้าว
คนในชนบทสมัยนี้ สามารถเข้าถึงอาหารดี ๆ ได้ไม่บ่อยนัก พวกเขาจะสามารถกินอาหารดี ๆแบบนี้ได้กี่ครั้งกัน ?
อาหารแค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว
“เอาข้าวมา ! ”
“ขอข้าวหน่อย ! ”
“……”
การกินเลี้ยงแบบนี้ หากว่าต้องหยุดกลางคันเพราะเติมอาหารไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ดังนั้นผู้ที่มาช่วยงานจึงรีบเติมอาหารให้แขกทันทีที่เห็นว่าอาหารลดลง
แขกที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยต่างอ้าปากส่งเสียงบอกว่า “เติมข้าว” กันดังขึ้นมาเรื่อย ๆ ดังนั้นผู้ที่มาช่วยงานจึงต้องวิ่งไปโต๊ะนั้นที โต๊ะนี้ที วุ่นวายไปหมด
ในระหว่างงานเลี้ยง แผนกแจกบุหรี่ก็ได้นำบุหรี่ออกมาแจกให้กับแขกแต่ละคน
ผู้ที่สูบบุหรี่ก็รับบุหรี่ด้วยรอยยิ้ม ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่บางคนก็ปฏิเสธ แต่บางคนก็รับมาด้วยความยินดี
โดยเฉพาะแขกผู้หญิงบางคนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็รับบุหรี่เพราะไม่อยากปฏิเสธ และยังได้บุหรี่กลับไปให้สามีที่บ้านสูบอีกด้วย
แขกที่รับประทานอาหารแล้ว ก็เริ่มทยอยออกจากโต๊ะ
เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ เป็นการบอกให้แขกคนอื่นที่ร่วมโต๊ะเดียวกันกินข้าว
นอกจากนี้ยังมีความหมายพิเศษที่เกี่ยวกับการจับตะเกียบอีกด้วย
ถ้ามือขวาถือตะเกียบ ตะเกียบยื่นออกมา แสดงว่าพ่อแม่เสียชีวิตแล้ว แต่ถ้าตะเกียบอยู่บนฝ่ามือ แสดงว่าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อแขกวางชามและตะเกียบลง คนชงชาก็จะเข้าไปเสิร์ฟชาร้อนทันที
โดยปกติแล้วจะมีเพียงไม่กี่คนที่ลุกออกไปจากโต๊ะ เพราะส่วนใหญ่แขกที่ทานอาหารเสร็จแล้วก็จะนั่งอยู่ที่โต๊ะเพื่อพูดคุยกันและดื่มชา รอให้คนที่กินอิ่มทีหลังกินให้เสร็จถึงจะลุกออกจากโต๊ะพร้อมกัน
นี่คือการเคารพซึ่งกันและกัน
ซึ่งบางคนก็กลับเร็ว แต่ก็จะทักทายและบอกกล่าวกันก่อนกลับ
เมื่อแขกทั้งโต๊ะเดินออกไป ผู้ที่มาช่วยงานก็จะรีบเข้าไปเก็บจาน เช็ดโต๊ะและเก็บเศษอาหาร
เมื่อจัดโต๊ะเสร็จ พวกเขาก็ออกไปเรียกแขกที่ยังไม่ได้กินข้าว ซึ่งอยู่ข้างนอกลานบ้านเข้ามา
“เชิญเข้ามานั่งครับ ! ”
“ใครยังไม่ได้กินข้าวเชิญไปนั่งกินข้าวก่อน ! ”
“มีแขกคนไหนที่ยังไม่ได้กินข้าวบ้างไหม ? ”
“……”
ผู้ที่มาช่วยงานไม่เพียงแต่ตะโกนทั้งในและนอกบ้านเท่านั้น แต่ยังเดินไปตามแขกที่ยังไม่ได้กินข้าวเข้ามารับประทานอาหารในลานอีกด้วย
ซึ่งแขกบางคนก็มัวเล่นไพ่กันอยู่
บางคนก็ดื่มจนเมา จนผล็อยหลับไป
ผู้ที่มาช่วยงานออกไปตามแขกทีละคน เพราะอยากให้แขกทุกคนได้กินข้าวกันให้อิ่มก่อนกลับ
หลังจากเรียกแขกไปสองรอบ เจียงไห่เทียนก็เรียกเป็นรอบที่สาม
เขาสังเกตเห็นว่ากลุ่มเพื่อนของเจียงเสี่ยวไป๋อีกสิบคนไม่ได้มาที่โต๊ะ ดังนั้นเขาจึงไปเรียกพวกเขาเข้ามา
“ทุกท่าน เชิญทุกท่านไปนั่งที่โต๊ะเพื่อดื่มและทานอาหารกันก่อน”
เจียงไห่เทียนกล่าวอย่างสุภาพ
หวังเต๋อคุนโบกมือแล้วพูดว่า “ผู้เฒ่า ไม่ต้องห่วงพวกเรา พวกเราจะรอทานอาหารพร้อมเจียงเสี่ยวไป๋”
เจียงไห่เทียนรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋เข้าเมืองเพื่อไปรับพ่อตาแม่ยายของเขา ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการไปกลับ นี่ไม่นับที่ต้องไปรอหากว่าพวกเขาเหล่านั้นยังมาไม่ถึงที่นัดหมาย ซึ่งมันอาจจะใช้เวลานานกว่านั้น “มันนานนะครับ ทุกท่านอาจจะหิวข้าวกัน ไปกินข้าวกันก่อนก็ได้”
หวังเต๋อคุนกล่าวว่า “ก่อนออกมาที่นี่ เราทุกก็ได้กินข้าวเช้ากันมาแล้ว ไม่เป็นไรจริง ๆ ผู้เฒ่าไปเรียกแขกคนอื่นไปกินข้าวก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นความดื้อรั้นของพวกเขา เจียงไห่เทียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
เฮ้อ……แขกผู้มีเกียรติเหล่านี้เป็นคนใหญ่คนโต และเป็นแขกของเจียงเสี่ยวไป๋ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถทานอาหารง่าย ๆ เหมือนคนในชนบทได้ พวกเขาจึงได้แต่รอให้เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาทำอาหารเมนูพิเศษให้พวกเขากิน
“ถ้าอย่างนั้น พวกคุณก็รอเสี่ยวไป๋ไปก่อนนะ แทะเมล็ดแตงโม ดื่มชากันก่อนก็ได้ หากขาดเหลืออะไรก็บอกคนที่มาช่วยงานได้เลยนะครับ” เจียงไห่เทียนพูดอย่างสุภาพ
เขายื่นบุหรี่ส่วนตัวให้กับหวังเต๋อคุนและคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินออกไป
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้เข้าเมืองไปคนเดียว
เขาพาภรรยาและลูกสาวมาด้วย
“ป่าป๊าคะ คุณตากับคุณยายรอเราอยู่ที่ไหนหรือคะ ? ”
ขณะที่พวกเขากำลังขับรถเข้าเมือง เจียงชานก็ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เธอคว้าหลังเก้าอี้ของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามขึ้นมา
“ที่ประตูศาลากลาง ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เหตุผลที่พวกเขาเลือกพบกันที่นั่น ก็เพราะว่าหลินต้าเหว่ยรู้ทางมาศาลากลางชิงโจวมากที่สุด
ไม่นานหลังจากนั้น รถของเจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงถนนชิงหยุน เขาเห็นหลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงยืนรออยู่หน้าศาลากลางจากไกล ๆ
แต่พวกเขาไม่ได้มากันแค่สองคน
ทว่ากลับมีถึงห้าคน !