ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 216 พ่อตาของผมกำลังจะมา
ตอนที่ 216 :พ่อตาของผมกำลังจะมา
เหลือเวลาเพียงสองวันสำหรับงานเลี้ยงฉลองที่เจียงเสี่ยวชิงสอบติดมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือง แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ต้องอยู่ช่วยงาน ทำตามที่เจียงไห่หยางสั่งให้เสร็จก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของเขาจัดงานเลี้ยงนับตั้งแต่เขากลับมาเกิดใหม่ เขาจึงอยากให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
ในวันที่ 18 หลังจากที่ไปส่งของเต็มคันรถเสร็จ ทันทีที่เขามาถึงร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขาแรกบนถนนชิงโจวเพื่อที่จะพาหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน เขาก็เห็นเซี่ยงเฉียนจิ้นยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านแล้ว
“พี่เซี่ยง มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จอดรถแล้วเดินเข้าไปถาม ก่อนจะยื่นบุหรี่ให้
เซี่ยงเฉียนจิ้นหยิบบุหรี่ขึ้นมาโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรและพูดอย่างใจเย็นว่า “นึกว่าจะจำพี่เซี่ยงของคุณไม่ได้แล้ว ฉันนึกว่าคุณจะลืมฉันไปเพราะมัวแต่เอาเวลาไปสร้างโรงงานหลายแห่ง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกใจและสับสน นี่เขากำลังน้อยใจอยู่ใช่ไหม ?
เขายิ้มและพูดว่า “พี่เซียง ผมไม่ได้ทำให้พี่ขุ่นเคืองใจใช่ไหม หากมีสิ่งใดที่ผมทำให้พี่ไม่พอใจ พี่บอกผมได้ ผมจะได้ปรับปรุงตัว”
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ก็ถ้าคุณคิดถึงพี่ชายอย่างฉันบ้าง ทำไมจัดงานเลี้ยงรวมเหล้าที่บ้านทั้งทีถึงไม่ชวนกันสักคำล่ะ ? ”
ที่แท้เป็นเรื่องนี้นี่เอง !
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พ่อผมเป็นคนจัดการทุกอย่าง ถ้าผมเป็นคนจัดการเอง ผมจะเชิญพี่ไปงานเลี้ยงแน่นอน”
เซี่ยงเฉียนจิ้นยังคงโกรธและพูดด้วยน้ำเสียงเคืองว่า “คุณเรียกฉันว่าพี่ชาย พ่อของคุณไม่ใช่ลุงของฉันหรือ ? เขาดูแลงานนี้ ดังนั้นฉันก็ต้องไปได้สิ ? ”
“นอกจากนี้ เสี่ยวชิงก็เป็นน้องสาวของคุณ ดังนั้นเธอก็ถือว่าเป็นน้องสาวของฉันเช่นกัน ! ”
“จะพูดไปพูดมา สุดท้ายคุณก็ยังเห็นฉันเป็นคนนอกอยู่ดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น เขาและเซี่ยงเฉียนจิ้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่านั้น แต่พวกเขาไม่ใช่ญาติทางสายเลือด ความสัมพันธ์ทางสังคมแตกต่างจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด แล้วจะให้เขาคิดแบบนั้นได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะปฏิเสธได้
“เอาล่ะ เอาล่ะ เป็นผมที่คิดไม่รอบคอบเองแหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอโทษก่อนและพูดว่า “พรุ่งนี้พี่กับพี่สะใภ้ไปดื่มที่บ้านของผมนะ โอเคไหม ! ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปแน่นอน”
หลังจากพูดแล้ว เขาก็จากไปอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ชายคนนี้มารอเขาอยู่ที่นี่ตั้งนานเพื่อจะให้เขาชวนไปดื่มในวันพรุ่งนี้ ?
เขาส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปในร้าน
“เมียจ๋า กลับบ้านกันเถอะ ! ”
เมื่อเห็นหลินเจียอิน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินยังยุ่งอยู่ เธอตอบเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “พรุ่งนี้กับวันมะรืนก็ไม่ได้มาร้านแล้ว ฉันต้องจัดการงานในมือให้เสร็จก่อน วันนี้เรากลับดึกหน่อยดีไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามาและปิดข้อมูลที่หลินเจียอินกำลังอ่านอยู่ พลางพูดว่า “อย่าทำเลย ไว้ผมกลับมาจัดการเองตอนงานรวมเหล้าที่บ้านเสร็จ เรารีบกลับบ้านเถอะ ตอนนี้ทุกคนคงมาช่วยงานที่บ้านแล้ว”
หลินเจียอินเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าขุ่นเคืองและพูดอย่างงอน ๆ “คุณจะรีบกลับไปทำไม ! ”
“คุณจะเผด็จการเกินไปแล้ว ต่อให้คุณไม่อยากให้ฉันทำงานหนัก แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันทำงานที่รับผิดชอบให้เสร็จก่อนได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “งานของคนเราไม่มีวันจบ คุณอย่าดื้อสิ”
หลินเจียอินพูดด้วยความไม่พอใจว่า “แต่ถ้าไม่จัดการงานให้ทันเวลา มันจะล่าช้าและส่งผลต่อการทำเงินของเรานะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ถึงอย่างนั้นเงินที่เสียไปก็ไม่ได้เยอะเสียหน่อย ! ”
สำหรับเขา การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การได้อยู่กับภรรยาและลูก ๆ นั้นสำคัญยิ่งกว่า
การหาเงินช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
แต่อย่าให้เวลากับงานเพียงอย่างเดียว เพราะมันอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้
และมันก็บั่นทอนแรงกายของเราได้
เขาไม่ต้องการให้ภรรยามีชีวิตแบบนั้น
ตอนนี้หลินเจียอินยังไม่เคยมีโลกทัศน์เหมือนเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากใช้ชีวิตที่ยากลำบากมา 2 ปี เธอมักจะรู้สึกเสมอว่ายิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ เธอก็จะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
เธอจึงคิดว่าเธอควรทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด
พวกเขาทั้งสองยังคงมีช่องว่างระหว่างความคิด
แต่ทว่า เธอก็ยังคงทำตามที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกและออกไปกับเขาอย่างเชื่อฟัง
“เอ่อ พรุ่งนี้พ่อแม่ของฉันจะมานะ”
เมื่อเดินไปที่ประตู หลินเจียอินก็พูดขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและพูดว่า “แล้วทำไมพวกเขาถึงได้คิดมาวันพรุ่งนี้ล่ะ ? ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “แม่โทรหาฉันถามสารทุกข์สุขดิบ ฉันเลยบอกว่าพรุ่งนี้ที่บ้านจะมีการเลี้ยงฉลองให้เสี่ยวชิงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”
“แม่บอกว่าตั้งแต่เราแต่งงานกันมา พวกเขายังไม่ได้เจอกับญาติฝั่งคุณ จึงอยากถือโอกาสนี้มาเที่ยวหา”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “เอาล่ะ พรุ่งนี้พวกเขาจะมากี่โมง ผมจะไปรับพวกเขาเอง”
หลินเจียอินตอบว่า “แม่บอกว่าให้เราช่วยงานอยู่ที่บ้านได้เลย พ่อมีคนขับรถแล้ว เดี๋ยวให้ขับตรงมาที่เจียงวาน”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อตาและแม่ยายของเขามาที่บ้าน ดังนั้นเขาควรจะต้องใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เขาจึงคุยกับหลินเจียอินและกลับเข้าไปในร้านเพื่อโทรหาแม่ยายของเขา
หลิวอี้ถิงรู้ว่าพรุ่งนี้ที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋มีงานเลี้ยง เธอจึงไม่อยากรบกวนเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เธอก็มีความสุขมากที่ลูกเขยของเธอมีน้ำใจ เธอจึงไม่ปฏิเสธและตกลงนัดหมายให้ไปรับที่ประตูศาลากลางในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง
หลินเจียอินเองก็มีความสุขมากเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ยินดีที่จะเข้าเมืองเพื่อไปรับพ่อแม่ของเธอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจพ่อแม่ของเธอขนาดไหน
แน่นอนว่าเจียงชานเองก็มีความสุขไม่ต่างกัน
เมื่อเจ้าตัวน้อยได้ยินว่าคุณตาและคุณยายกำลังจะมา เธอก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้น “เยี่ยมมาก หนูจะได้เจอคุณตาคุณยายแล้ว”
จากนั้น สามคนพ่อแม่ลูกรวมทั้งหลัวเจาตี้ก็ได้นั่งรถกลับบ้านพร้อมกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าบ้านเปลี่ยนไปมาก มีโต๊ะหลายตัวถูกตั้งไว้ที่ลานกว้างหน้าบ้าน คนที่มาช่วยงานได้ทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ที่โต๊ะ
มีทั้งคนที่เล่นโป๊กเกอร์และคนที่เล่นไพ่เจาหู
แต่ไม่มีไพ่นกกระจอก
ในยุคนี้ ไพ่นกกระจอกไม่ได้รับความนิยมในชนบท
ตั้งแต่ประตูเข้าบ้านไปจนถึงประตูทุกบานในบ้านล้วนถูกแปะด้วยกระดาษสีแดงแผ่นใหญ่ทั้งสองด้าน โดยมีคำอวยพรถูกเขียนไว้บนกระดาษด้วยอักษรที่วิจิตรงดงาม
บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ค่อนข้างกว้างขวาง ด้านหน้ามีห้อง 64 ห้องในรูปแบบเรือนสี่ประสานแบบดั้งเดิมพร้อมเสา ด้านหลังใกล้ทางเข้าถ้ำมีบ้านสองชั้นอีกแถวหนึ่ง มีทั้งหมด 35 ห้องและมีโคลงกลอนมากกว่าร้อยคู่แสดงอยู่ทั่วบริเวณ
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเสี่ยวไป๋ ช่างไม้ถานคงไม่อยากเขียนมัน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเต็มใจที่จะเขียนให้ทุกแผ่นอย่างจริงจังและยอมทำงานหนักนี้อย่างตั้งใจ
หลังจากเขียนกลอนเสร็จแล้ว เขาก็เขียนรายชื่อคนช่วยงานและหน้าที่ของแต่ละคน แล้วเอาไปติดไว้บนผนังตรงประตู จนในที่สุดงานของเขาก็เสร็จสิ้น
ช่างไม้ถานถอนหายใจด้วยความโล่งอกและส่ายแขนคลายเมื่อย
เฮ้อ เขาปวดแขนมาก
ลายมือของช่างไม้ถานนั้นยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ตัวอักษรที่เขาเขียนดูกว้างและสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ แสดงถึงตัวอักษรที่ดูสง่างามพร้อมด้วยจังหวะตวัดพู่กันอันทรงพลัง ชวนให้นึกถึงคำวิจารณ์ที่ตัวอักษรของหมี่ฟู่ นักอักษรวิจิตรชื่อดังของราชวงศ์ซ่งที่ได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้ในหนังสือไห่เยว่ว่า “ลายมือของเหยียนเจินชิงเหมือนเซี่ยงอวี่สวมชุดเกราะฟ่านกั่ว ดุดันและเด็ดขาดราวกับหน้าไม้ที่พร้อมยิง ราวกับเสาเหล็กที่ตั้งตระหง่านที่กำลังเปล่งรัศมีออกมา”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกทึ่ง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ป่าป๊า คำพวกนั้นเขียนได้สวยมากเลยค่ะ ! ”
เจียงชานติดตามเจียงเสี่ยวไป๋และเห็นป่าป๊าของเธออ่านคำอวยพรสั้น ๆ เหล่านั้น แม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจคำบางคำ แต่ก็ยังคิดว่ามันมีความหมายที่ดี
“ปู่ถานเป็นคนเขียนมัน” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
นอกจากนี้ เขายังคิดไม่ออกว่าถานเสวี่ยเฉาที่เป็นช่างไม้จะสามารถเขียนอักษรวิจิตรงดงามเช่นนี้ได้ด้วย
บางทีนี่อาจจะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา
ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่เจียงชานโดยไม่รู้ตัวและเริ่มมีแผนการในใจ
ในอนาคต เขาสามารถขอให้ช่างไม้ถานมาเป็นครูสอนลูกสาวของเขาคัดลายมือได้
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบพาเจียงชานเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“อ้าว ทำไมถึงกลับมาป่านนี้ ? ”
ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูไป หวังซิ่วจวี๋ก็ได้ถามเขา
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “พอซื้อของเสร็จผมก็ไปพบเพื่อนคนหนึ่ง และมัวคุยโทรศัพท์กับพ่อตาแม่ยายของผมอยู่ พรุ่งนี้พวกเขาจะมาที่บ้านเราด้วย”