ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 469 อยากได้พี่สะใภ้แบบไหน
“พ่อคะ หนูผิดไปแล้ว หนูผิดไปแล้วจริงๆ หนูไม่อยากติดคุก พ่อต้องช่วยหนูนะ!” เผิงอวี้วิ่งเข้าไปจับมือชายวัยกลางคนไว้ อ้อนวอนว่า “หนูไม่อยากติดคุก…”
“พอได้แล้ว!” ชายวัยกลางคนสะบัดมือเธอออก กล่าวอย่างเย็นชา “แกต้องไปขอร้องคุณหนูเซียวให้ยกโทษให้แก แล้วก็ยกโทษให้พี่สาวแกด้วย พอไม่มีรายได้ที่พี่สาวแกหามา เราก็แทบจะไม่พอกินพอใช้กันอยู่แล้ว!”
เผิงอวี้ปล่อยมือ ก้าวถอยหลังไปสองก้าว จ้องมองบิดาอย่างชิงชัง แล้วแสยะยิ้มเมื่อกล่าวว่า “จริงๆ แล้วสิ่งที่พ่อต้องการไม่ใช่การปกป้องหนู แต่เป็นการปกป้องตัวเองต่างหาก จริงไหม พ่อไม่อยากเดือดร้อนเพราะหนู ถึงได้บังคับให้หนูไปขอโทษผู้หญิงคนนั้น ใช่ไหม!”
“ฉันคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจอะไรทั้งนั้น ถ้าแกไม่ได้ไปก่อเรื่องไว้!” ชายผู้นั้นชำเลืองมองเผิงอวี้อย่างคับแค้นใจ “ฉันขอบอกแกชัดๆ เลยนะว่า ถ้าแกไม่ไปขอโทษเขา แกก็ไม่ใช่ลูกฉันอีกต่อไป!” แล้วเขาก็เดินจากไป
หญิงวัยกลางคนซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดมองดูเผิงอวี้ ถอนหายใจ แล้วก้าวเข้ามาจับมือเธอไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “พ่อของลูกพูดถูก ทำตามที่พ่อบอกเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องลำบากมากแน่”
เผิงอวี้จ้องมองมารดาอย่างน้อยใจ แล้วจู่ๆ ก็ผลักเธอออก และวิ่งหนีเข้าห้องส่วนตัวไป
…
หลังจากหมอทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย ถังซีก็ไปเข้ารับการเอกซเรย์ และเป็นดังที่คาดไว้ คือกระดูกเท้าเธอร้าว ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องลาพักการเรียนสักระยะหนึ่ง… อีกแล้ว
เฉียวเหลียงพาถังซีไปส่งที่บ้าน เขาเข้าครัวไปปรุงซุปให้เธอทาน
ถังซีนอนอยู่บนโซฟาขณะอ่านอีเมลไปด้วย เธอตอบอีเมลของฉู่หลิง แล้วเปิดดูเรื่องราวใหม่ๆ ในไมโครบล็อก เมื่อได้เห็นประเด็นยอดนิยมล่าสุดที่มีคนค้นหามากที่สุด เธอก็หันไปมองเฉียวเหลียง “คุณจะแจ้งความจับเผิงอวี้ไหมคะ” แม้เธอเองจะต้องการสั่งสอนเผิงอวี้ให้สำนึก แต่ก็ไม่ได้คิดจะเอาโทษตามกฎหมาย
เฉียวเหลียงพยักหน้า “ผมชอบจัดการกับสิ่งที่อาจเป็นอันตรายแบบตัดไฟแต่ต้นลม แล้วอีกอย่าง…” เฉียวเหลียงหันมามองเธอ ก่อนจะกล่าวต่อไป “มีความเป็นไปได้ว่าหล่อนจะเป็นตัวอันตรายในภายหน้า”
เมื่อเห็นว่าถังซีไม่แสดงท่าทีเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้ว “เราจะจัดการเรื่องนี้เอง คุณไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งนั้น เซียวจิ่งกับผมจะแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง คุณไม่ต้องห่วง”
ถังซียักไหล่ “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันยกเรื่องนี้ให้คุณจัดการนะคะ”
เฉียวเหลียงยิ้ม แล้วส่งถ้วยน้ำซุปต้มกระดูกให้เธอ “ทานซุปนี่เถอะ”
…
ถังซีพักอยู่กับบ้านอย่างเบื่อหน่ายมาได้สองวัน โดยไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน พวกพี่ๆ ผลัดกันมาอุ้มเธอขึ้นชั้นบน ลงมาชั้นล่าง โดยเธอไม่ต้องเดินเองเลยด้วยซ้ำ
เซียวเจี่ยนย้ายเข้ามาพักอยู่ที่บ้านพักของเซียวหงลี่ในวันที่เธอได้รับบาดเจ็บ โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงเซียวโหรว และเขาไม่เชื่อใจว่าเซียวจิ่งกับเซียวส่าจะดูแลเธอได้ดีพอ บิดามารดาของพวกเขาก็ยินดีที่เขามาช่วยดูแลถังซี ตอนแรกทุกคนตั้งใจอยากให้เธอไปพักที่คฤหาสน์ตระกูลเซียว แต่ถังซีบอกว่าไม่ค่อยสะดวกนัก เนื่องจากเธอยังต้องจัดการเรื่องธุรกิจอยู่ หลังจากที่ได้ดูแลจนแน่ใจแล้วว่าพวกพี่ชายตระกูลเซียวสามารถดูแลน้องสาวได้เป็นอย่างดี บิดามารดาของพวกเขาจึงวางใจ และยอมกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเซียว
อีกสองวันต่อมา เซียวเหยาก็กลับมาจากการปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นตอนนี้จึงมีพี่ชายถึงสี่คนคอยดูแลถังซี
ด้วยเหตุนี้เฉียวเหลียงจึงไม่ค่อยมีความสุขนัก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซียวโหรวยังถือเป็นความลับ ดังนั้นเขาจึงไปเยี่ยมเธอได้ไม่บ่อย และไม่สามารถอยู่ตามลำพังกับเธอได้
อีกห้าวันต่อมา ถังซีก็ได้ข่าวว่าฉินซินหยิ่งกลับมาถึงประเทศจีนแล้ว
“เธอจะไปเมืองหลวงเหรอ” เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของถังซี เซียวเหยาก็ขมวดคิ้ว เขาอยู่ในระหว่างลาพักร้อน และพักผ่อนอยู่กับบ้านตลอดทั้งวัน “เธอยังไม่หายดีเลย แผลก็ยังไม่ได้ตัดไหม คิดว่าเฉียวเหลียงจะยอมให้เธอไปเมืองหลวงงั้นเหรอ”
“ฉันจะขอให้เขาไปด้วย” ถังซียิ้ม “เขาย่อมไม่คัดค้านแน่”
เซียวเหยามองตาถังซีนิ่ง แล้วจึงพยักหน้าในที่สุด “ถามความเห็นเขาดูก่อน ถ้าเขาตกลงเธอก็ไปได้”
ถังซีพยักหน้า แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นความรักใคร่ห่วงใยในสายตาเขา “แล้วพี่ล่ะคะ พี่เหยา พี่อยู่ระหว่างลาพักร้อน ทำไมไม่ออกไปเที่ยวให้สนุก”
“พี่แค่อยากพักผ่อนให้สบาย พี่ชอบอยู่บ้าน” เซียวเหยาลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงมองเธอ “อยากทานอะไรเป็นอาหารเที่ยง”
“เฉียวเหลียงจะมารับออกไปทานกลางวันข้างนอกค่ะ” ถังซีหัวเราะคิกคักอย่างสุขใจ เธอยกโทรศัพท์ขึ้นให้เขาดู “ฉันเพิ่งส่งข้อความไปหาเขาเมื่อกี้นี้เอง เขาจะมารับไปทานข้าวนอกบ้าน ฉันจะได้บอกเขาเรื่องที่จะไปเมืองหลวง”
เซียวเหยาพยักหน้า “ก็ดี” แล้วหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน
ถังซีมองตามหลังเขาพลางขมวดคิ้ว แล้วจึงตะโกนเรียกไล่หลัง “พี่เหยา!”
เซียวเหยาชะงักเท้า หันกลับมามองเธอ “มีอะไร”
ถังซียิ้ม “แค่อยากถามว่าเมื่อไรพี่จะมีแฟน”
เซียวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “ยายตัวแสบ” แล้วก็หันหลังกลับ เดินขึ้นไปชั้นบน แต่ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด…
ภายในห้องพักรับรองกว้างขวางสำหรับผู้โดยสารสายการบินชั้นเฟิร์สคลาส หญิงสาวนั่งเท้าคาง ส่งยิ้มสดใสให้เขา “โลกแคบจริงๆ! ช่างบังเอิญที่เรากลับเที่ยวบินเดียวกัน”
เขาไม่ได้บอกเธอว่าเขาตั้งใจจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวกับเธอ เพื่อให้โอกาสตนเองอีกครั้ง และให้โอกาสเธออีกครั้งด้วย
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเมื่อคืนนี้” เขาบอกเธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ฉันก็สนุกมากค่ะ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับคุณ” เธอยิ้มหวาน “หวังว่าฉันจะได้มีโอกาสไปเป็นเพื่อนคุณอีกในคราวหน้า”
เขารู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร แต่ในที่สุดก็กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ผมเป็นหนี้คุณหนึ่งครั้ง สำหรับเรื่องเมื่อคืน”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมมาจ่ายหนี้ด้วยนะคะ ฉันไม่อยากให้คุณต้องติดค้างอะไรกับฉัน” รอยยิ้มบนริมฝีปากเธอพลันเลือนหายไป
เมื่อรู้สึกตัวว่าได้พูดบางอย่างผิดไป เขาจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเสียใจ “ได้ครับ”
“วันหลังคุณเลี้ยงข้าวฉันสักมื้อก็แล้วกัน คุณจะได้ไม่ติดค้างฉัน” เธอกล่าว ขณะหยิบผ้าห่มมาคลุมตัว แล้วหลับตาลง ไม่มองเขาอีกต่อไป
เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย จนกระทั่งลงจากเครื่องบินไป
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น เซียวเหยาก็ส่ายศีรษะแล้วยิ้มน้อยๆ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดดูวีแชทที่ใช้สำหรับส่งข้อความคุยกับเฮ่อหว่านอี นี่เขากับเฮ่อหว่านอีเป็นเพื่อนกันในวีแชทมานานแค่ไหนแล้วนะ
เหมือนจะนานมาก แต่… ตลอดช่วงเวลานั้น พวกเขาไม่เคยคุยกันทางวีแชทเลย
นิ้วมือเขาเลื่อนไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ส่งข้อความใดๆ ไปหาเธอ เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หันกลับมามองถังซีซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการโต้ตอบข้อความกับเฉียวเหลียงทางโทรศัพท์ เขาถามเธอว่า “เธออยากได้พี่สะใภ้แบบไหน”