ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 272 ส่งเจ้ากลับบ้าน
ตอนที่ 272 ส่งเจ้ากลับบ้าน
คุณหนูลั่วรู้สึกเป็นปัญหา?
ของขวัญที่เขามอบให้ช่วงนี้ไม่ถูกใจหรือ
หรือว่าไม่ชอบที่เขามักจะอดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้
ภายใต้แสงดาวอันน้อยนิด เว่ยหานมองเด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง รู้สึกเยือกเย็นในใจยิ่งกว่าเดิม
หากไม่ชอบของขวัญก็ไม่เป็นไร เขาเปลี่ยนได้
แต่หากไม่ชอบเขาคนนี้…เขาคงเปลี่ยนตัวเองไม่ได้หรอกกระมัง
ความคิดมากมายแล่นผ่านหัวใจนับร้อยนับพันรอบ ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าใดๆ
“คุณหนูลั่วมีอะไรต้องการให้ข้าจัดการหรือ”
“เรื่องของคุณหนูรองจู ท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไร”
เว่ยหานงงงัน
คุณหนูรองจู?
เว่ยหานปิดบังความสับสนด้วยความเงียบ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหนูรองจูทำเรื่องเช่นนี้ออกมาย่อมต้องถูกลงโทษตามสมควร หากคุณหนูรองไม่สะดวกจะฝากให้ข้าจัดการก็ได้”
ลั่วเซิงตกอยู่ในความเงียบ
เหมือนกับว่าไคหยางอ๋องจะเข้าใจอะไรผิดไป
ปัญหาคือ เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร เขาแค่ช่วยเหลือด้วยความตั้งใจดีหรือ
สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็นเล็กน้อย ปัดเป่าเศษผมที่ร่วงลงมาของหญิงสาว
เนื่องจากนางลบการแปลงโฉมออกอย่างลวกๆ ใบหน้านางจึงเป็นรอยด่าง ดูน่าขบขันและจนตรอกเล็กน้อย
แต่เว่ยหานยังคงคิดว่านางงดงามมาก
คุณหนูลั่วไม่พูดอะไร หรือว่าเป็นเพราะเกรงใจไม่อยากให้เขาช่วย
ในที่สุดลั่วเซิงก็เอ่ยปาก “ท่านอ๋องรู้สาเหตุที่คุณหนูรองจูทำเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”
เว่ยหานมองนางนิ่ง
“คุณหนูรองจูชอบท่านอ๋อง”
สีหน้าสงบนิ่งของเว่ยหานเปลี่ยนไป เผยให้เห็นความประหลาดใจอย่างชัดเจน
ลั่วเซิงก็ประหลาดใจเช่นกัน “ท่านอ๋องดูไม่ออกแม้แต่น้อยเลยหรือ”
เว่ยหาน “…” เขาควรดูอะไรออกหรือ
“ทุกครั้งที่คุณหนูรองจูมาหอสุรา ความสนใจของนางอยู่ที่ท่านอ๋องทั้งหมด”
ชัดเจนเช่นนี้ ชายคนนี้คงไม่ได้ตาบอดหรอกนะ
ลั่วเซิงพูดเสียงราบเรียบว่า “คุณหนูรองจูชอบท่านอ๋อง ที่จริงเรื่องนี้ข้าไม่ควรปากมาก แต่นางถึงกับลงมือฆ่าคนได้เพราะเรื่องนี้ ข้าคงอยู่เงียบๆ ไม่ได้”
เว่ยหานสีหน้าพลันเปลี่ยน พูดอย่างลังเลว่า “เพราะว่าคุณหนูรองชอบข้าก็เลยจะฆ่าอาซิ่วหรือ”
ความคิดของสตรี…เกินคาดเช่นนี้เลยหรือ
หากใช้วิธีคิดที่คาดไม่ถึงแบบนี้เมื่อนำกองทหารออกรบ คงไม่ต้องกังวลว่าจะพ่ายแพ้?
“ใช่แล้ว ท่านอ๋องไปหอสุราแทบจะทุกวัน คุณหนูรองจูคิดว่าท่านอ๋องและข้าเจอกันบ่อย ท่านอ๋องจึงปฏิบัติต่อข้าอย่างแตกต่าง หากฆ่าแม่ครัวของหอสุราไป ท่านอ๋องก็ไม่ต้องไปหอสุราทุกวันแล้ว” ลั่วเซิงพบว่าชายตรงหน้าหัวช้ากว่าที่นางคิดไว้จึงพูดให้กระจ่างกว่าเดิม
“เช่นนี้นี่เอง” เว่ยหานส่ายศีรษะ “ความคิดของคุณหนูรองจูสุดโต่งเกินไป”
ลั่วเซิงเม้มปาก
หญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความรักมักตาบอด ไม่สามารถตัดสินตามสามัญสำนึกได้
มองดูหญิงสาวที่ใบหน้าดูไร้อารมณ์ ในที่สุดเว่ยหานก็ค่อยๆ ตั้งสติได้ “ที่แท้เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า คุณหนูลั่ว เจ้าวางใจ เรื่องของคุณหนูรองจูข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”
ลั่วเซิงย่อเข่าให้เล็กน้อย “เช่นนั้นข้ากลับจวนก่อนแล้ว เมื่อสะดวกแล้ว ท่านอ๋องอย่าลืมส่งคนมา”
ลั่วเซิงพยักหน้า
“หากคุณหนูลั่วเชื่อใจข้าก็มอบให้ข้าตรวจสอบเถอะ ลูกมือที่ข้าสามารถใช้ได้ยังพอมี”
ลั่วเซิงลังเลครู่หนึ่ง
หากนางจะตรวจสอบเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยอำนาจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นของเสี่ยวชีกลับทำให้นางมั่นใจว่ามีหนอนบ่อนไส้ในองค์รักษ์จิ่นหลิน
หากคนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วส่งไปจัดการเรื่องนี้บังเอิญเป็นหนอนบ่อนไส้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เมื่อไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผลแล้ว มอบให้ไคหยางอ๋องไปตรวจสอบย่อมเหมาะสมกว่า
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะติดหนี้บุญคุณเขาอีก
เหมือนกับว่าเว่ยหานจะเดาความคิดนางออก เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า คุณหนูลั่วถือเสียว่าให้โอกาสข้าชดเชยความผิดพลาดเถอะ”
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ๋องแล้ว”
เว่ยหานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่รู้สึกว่ารบกวน แล้วก็…”
“อะไรเจ้าคะ”
“ที่จริงคุณหนูรองจูคิดผิดแล้ว แม้ข้าไม่ไปหอสุรา ข้าก็จะปฏิบัติต่อคุณหนูลั่วอย่างแตกต่างอยู่ดี”
ลั่วเซิงเงียบไป
เว่ยหานยิ้ม “ดึกแล้ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับจวนเถอะ”
ลั่วเซิงไม่ได้ปฏิเสธ
ทางไกลมาก ไฟทั้งหมดดับลงแล้ว เหลือเพียงแสงดาวอ่อนๆ
เว่ยหานเดินอยู่ข้างกายลั่วเซิง มองใบหน้าด้านข้างของนางอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนโค้งของใบหน้าด้านข้างของเด็กสาวนั้นสวยงามมาก ขณะที่นางเคลื่อนไหวร่างกาย ปอยผมก็ไหลร่วงลงมาอย่างซุกซน
จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกคันมือราวกับอยากจะยื่นมือไปช่วยจัดผมให้เด็กสาวข้างกายซึ่งขัดต่อปณิธานของเขา
เหมือนกับว่าคุณหนูลั่วกำลังคิดเรื่องในใจจึงไม่ได้สนใจเขา
ปณิธานของเขาอ่อนลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น
เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหน้า “เซิงเอ๋อร์”
เว่ยหานวางมือลงเงียบๆ มองไปที่คนๆ นั้น
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินก้าวยาวๆ เข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนพูดอย่างใจเย็นว่า “เห็นเจ้าไม่กลับจวนเสียทีก็เลยออกมาดูน่ะ”
สายตาของเขาหยุดมองเว่ยหานด้วยแววตาลุ่มลึก “ที่แท้ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย”
เว่ยหานหัวเราะพูดว่า “เห็นว่าดึกแล้ว ข้าเลยจะไปส่งคุณหนูลั่วกลับจวน”
“รบกวนท่านอ๋องแล้ว”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง แม่ทัพใหญ่ลั่วกระตุกมุมปากพูดว่า “ข้าพาลูกสาวข้ากลับไปเอง ไม่รบกวนท่านอ๋องแล้ว”
เขาผู้เป็นบิดาแท้ๆ มารับแล้ว ไคหยางอ๋องยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกหรือ
เจ้าหมอนี่มีเจตนาร้ายต่อเซิงเอ๋อร์ชัดๆ!
มีเจตนาร้ายก็ไม่เป็นไร หากมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ เจ้าก็ส่งแม่สื่อมาจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วสิ จะได้ให้เขาได้มีโอกาสปฏิเสธหรือไม่ก็พิจารณาดู
เงียบไม่พูดไม่จาแบบนี้คิดจะเอาเปรียบกันหรืออย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เอ่อ ใครเอาเปรียบใครเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเจาะลึก แต่ไคหยางอ๋องทำแบบนี้เท่ากับว่าเป็นคนที่แย่มาก!
เว่ยหานรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แต่ว่ามีแม่ทัพใหญ่ลั่วส่งคุณหนูลั่วกลับไปเขาย่อมวางใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวลาอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นเว่ยหานเดินเข้าไปในความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุดแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็หรี่ตามองลั่วเซิง “เซิงเอ๋อร์ หาเสี่ยวชีเจอหรือยัง”
ลั่วเซิงไม่แปลกใจกับแม่ทัพใหญ่ลั่วที่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเหตุฉุกเฉิน นางเลยขอความช่วยเหลือจากองครักษ์จิ่นหลินที่ลอบมาปกป้องหอสุรา ย่อมมิอาจปิดบังแม่ทัพใหญ่ลั่วได้
“ท่านพ่อ กลับจวนแล้วค่อยคุยกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้ กลับจวนก่อน”
จวนแม่ทัพใหญ่ลั่วมีพื้นที่กว้างใหญ่ ดูสง่างามยิ่งขึ้นในยามกลางคืน
ความกว้างใหญ่เงียบสงบเช่นนี้อาจทำให้ผู้คนที่เดินเข้าไปรู้สึกอ้างว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลั่วเซิงเดินตามแม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าไปในห้องหนังสือ
ไฟในห้องหนังสือยังสว่างอยู่ แสงกำลังดี
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวที่แต่งตัวประหลาดก็ไม่ได้ถามเรื่องของเสี่ยวชีในทันที แต่ถอนหายใจพูดว่า “ยังไม่กินข้าวเย็นใช่หรือไม่”
“ยังเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่หิว” ลั่วเซิงตอบตามจริง
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว “ในห้องครัวมีรังนกตุ๋น ประเดี๋ยวให้สาวใช้ส่งไปให้”
ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “เจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงพูดขึ้นว่า “ว่ามาสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“มีคนลักพาตัวเสี่ยวชีไป นัดพบที่แม่น้ำจินสุ่ย คนร้ายจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าอาซิ่ว ข้าและไคหยางอ๋องแปลงโฉมแล้วจึงไปตามนัด จับคนๆ นั้นไว้ได้…”
ลั่วเซิงล้วงขวานไม้ท้อเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แบมือออก “ท่านพ่อ ข้าเจอสิ่งนี้บนตัวคนผู้นั้น”