บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 715 วางแผนระยะยาว
องค์ชายเจ็ดร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ทั้งยังหมอบอยู่บนพื้น เอาแต่พูดว่า ‘ขอโทษ’ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องสงสารทั้งนั้น
ถาวจวินหลันไม่เคยเห็นคนร้องไห้อย่างนี้มาก่อน และยิ่งไม่เคยเห็นองค์ชายเจ็ดเสียใจ ไร้ความหวัง รู้สึกผิด ต่ำต้อยด้อยค่าเช่นนี้มาก่อน นางย่อมต้องคล้อยตามเป็นแน่ จึงอดถอนหายใจไม่ได้ องค์ชายเจ็ดถือเป็นลูกของโอรสสวรรค์ คิดว่าตั้งแต่เด็กจนโตคงไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน ต่อให้กับฮ่องเต้เองเขาก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้
แต่องค์ชายเจ็ดกลับคุกเข่าให้นาง นางย่อมต้องเดาความคิดขององค์ชายเจ็ด นางไม่อยากทำตามสิ่งที่องค์ชายเจ็ดหวังเอาไว้ แต่นางก็ไม่อยากละเลยองค์ชายเจ็ดเช่นนี้
องค์ชายเจ็ดหลั่งน้ำตาเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกผิดก็เป็นเรื่องจริง คำขอร้องเพียงเล็กน้อยของเขา สำหรับคนเป็นลูกชายแล้วถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ถาวจวินหลันถอนหายใจ ก้มมององค์ชายเจ็ด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “ลุกขึ้นมาเถิด หากเจ้าจริงใจคิดจะชดเชย หรือรู้สึกผิดจริง ก็ควรทำอย่างอื่น ไม่ใช่ทำเช่นนี้”
“เจ้าเป็นองค์ชายเจ็ด เป็นพี่น้องขององค์รัชทายาท คุกเข่าให้ฟ้า ให้ดิน ให้กษัตริย์นั้นทำได้ แต่ไม่ควรมาคุกเข่าให้ข้าที่เป็นสตรีออกเรือนแล้ว” ถาวจวินหลันลุกขึ้น ไม่ปรายตามององค์ชายเจ็ดแม้แต่แวบเดียว น้ำเสียงนิ่งสงบ “เจ้าพาอี้กุ้ยเฟยกลับไปได้ แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ หากองค์รัชทายาทตื่นขึ้นมาได้ก็แล้วไป เรื่องนี้ก็ให้เขาจัดการ แต่หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรไป ก็อย่าโทษที่ข้าทำตามกฎ”
แม้การกระทำของอี้กุ้ยเฟยไม่ถือเป็นการกบฏ ทั้งยังไม่นับว่าตั้งใจวางยาให้ถึงตาย แต่นางกลับหงุดหงิดมากที่สุด นางเชื่อใจอี้กุ้ยเฟย นางกับหลี่เย่หวังให้องค์ชายเจ็ดได้มีชีวิตที่ดี พวกเขาสามีภรรยาปฏิบัติด้วยความจริงใจ แต่ตัวอี้กุ้ยเฟยกลับไม่อาจทนกับแรงเย้ายวนของตำแหน่งฮ่องเต้ได้
นางอัดอั้นจนแทบจะไปคว้าอี้กุ้ยเฟยมาเค้นถาม
แต่นางทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ และอี้กุ้ยเฟยก็ไม่มีอะไรจะตอบ
บางทีอี้กุ้ยเฟยอาจจะไม่รู้สึกผิดเลยก็ได้ รู้สึกเศร้าโศกเพราะความรู้สึกผิดนั้นมีเพียงองค์ชายเจ็ดคนเดียวเท่านั้น
อี้กุ้ยเฟยเป็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดขอร้องแทนอี้กุ้ยเฟยถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล นางเข้าใจ แต่นางไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้ได้ นางจะต้องหาที่ระบายโทสะเสียหน่อย
แล้วยิ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหลี่เย่จะฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือไม่ นางจะเอาอะไรมาปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ?
ถาวจวินหลันพูดอย่างไม่เกรงใจ องค์ชายเจ็ดกลับรู้สึกยินดียิ่ง พูดเสียงสะอื้นว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้รอง” เสด็จแม่ของเขาทำเรื่องเช่นนั้น แม้ถาวจวินหลันลงโทษเดี๋ยวนี้ก็ถือว่ามีเหตุมีผล ปล่อยให้มีชีวิตรอดได้ถือว่าเมตตามากแล้ว
เขาเป็นคนรู้จักพอ เขาก็เคยคิดว่าหากพี่รองไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเสด็จแม่ของเขา แม้แต่จะให้เขาไปร่วมฝังด้วยก็เป็นเรื่องสมควร เขาจะไม่กล่าวโทษหรือบิดพลิ้วอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วยังกลัวด้วยว่าลงไปถึงใต้พิภพแล้วก็ยังไม่มีหน้าไปพบพี่รอง
องค์ชายเจ็ดหวังเพียงอย่างเดียว นั่นคือหลี่เย่ปลอดภัย
ถาวจวินหลันเดินออกจากห้องไปด้วยหน้านิ่งเย็นชา พอออกไปน้ำตาของนางก็พรั่งพรูลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว นางใช้แรงเอาหลังมือปาดน้ำตาออก มองไปบนท้องฟ้าเงียบๆ ใช้โอกาสนี้ปกปิดท่าทางของตนเอง
นางทั้งโกรธแค้นทั้งไม่พอใจ แต่องค์ชายเจ็ดกับอี้กุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์แม่ลูกแนบแน่น นางไม่มีทางเมินเฉยต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า นางทำได้แค่ถอยออกมา และกดความโกรธแค้นในใจลงไป เพื่อให้องค์ชายเจ็ดได้แสดงความกตัญญู แต่แล้วมีใครทำเพื่อนางบ้าง? นางกับหลี่เย่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี ต่างฝ่ายต่างเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ตอนนี้หลี่เย่เป็นเช่นนี้ นางเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดทื่อมาเฉือนเนื้อตนเองเสียอีก
นางต้องไปร้องไห้อ้อนวอนกับใคร? แล้วนางจะไปเรียกใครมาทำความหวังของนางเป็นจริง?
นางเหนื่อยแล้วจริงๆ นางอยากจะทำตามใจตัวเอง คิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
แต่นางก็ทำไม่ได้ จะด้วยส่วนรวมหรือด้วยส่วนตัว นางก็ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น นางไม่ใช่คนที่สร้างเรื่องวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล และไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวถึงแก่นกระดูก นางยังมีความอ่อนโยนอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงทนมององค์ชายเจ็ดร้องไห้อย่างเจ็บปวดไม่ได้ ด้วยส่วนรวมนางยังต้องพึ่งพาองค์ชายเจ็ด ไม่อาจบีบให้เขาร้อนใจได้จริงๆ
ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ข่มความโกรธลงไป กลืนความขมขื่นลงไปช้าๆ เหลือไว้ให้ตนเองลิ้มรสเท่านั้น
ผ่านไปนานถาวจวินหลันก็สงบอารมณ์ลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าเช็ดตาครั้งหนึ่ง แล้วถึงถามว่า “ขุนนางทุกคนมาแล้วหรือยัง?”
ชุนฮุ่ยตอบเสียงเบา “มาถึงแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองชุนฮุ่ย “สภาพข้ายังพบหน้าคนอื่นได้หรือไม่?”
“หางตาแดงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เห็นชัดมากเพคะ” ชุนฮุ่ยพิเคราะห์อย่างดีก่อนพูดออกมา สุดท้ายก็เข้าใจว่าท่าทางเข้มแข็งของถาวจวินหลันมีไว้เพื่อซ่อนความอ่อนแอของตนเอง จึงพูดขึ้นมาอีกว่า “หรือว่าจะใช้แป้งปิดไว้เพคะ?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดแต่ก็ส่ายหน้า “ไม่มีอะไรต้องปิดบัง บางทีพวกเขาอาจจะสงสารลูกกำพร้าแม่ม่ายอย่างพวกเราบ้าง”
ตอนนี้แข็งแกร่งก็ดี แต่ก็ต้องดูว่าถูกเวลาหรือไม่ จะบังเอิญแสดงความอ่อนแอออกมาบ้างก็ไม่เป็นไร
แล้วอิงจากสถานการณ์ตอนนี้ หากนางยังฝืนเข้มแข็ง ก็เพียงแข็งนอกอ่อนในเท่านั้น ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันตรงไปที่ตำหนักไท่จี๋ บรรดาขุนนางใหญ่รออยู่ที่นั่นแล้ว
พอถาวจวินหลันเดินเข้าไป คนที่อยู่ข้างในก็กำลังกระซิบกระซาบกัน แต่เสียงเหล่านี้ก็ต้องหยุดลง แล้วส่งสายตามาทางนางตอนที่นางเหยียบย่างเข้าไปในห้อง
ถาวจวินหลันค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน สงบนิ่งเปิดเผยรับสายตาของทุกคนที่ทอดมองมา ไม่ปิดบังดวงตาบวมแดงที่ผ่านการร้องไห้มาเลยแม้แต่น้อย
ถาวจิ้งผิงเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน “วันนี้ชายารัชทายาทเชิญพวกเรามา ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หญิงแต่งงานแล้วในวังส่วนในพบหน้ากับขุนนางส่วนนอก นี่มองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล หากต้องรอให้คนอื่นมาเค้นถามถาวจวินหลัน ไม่สู้เขาเอ่ยปากพูดก่อน อย่างน้อยน้ำเสียงและท่าทางก็ยังสำรวม
ถาวจวินหลันนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนถอนหายใจออกมา “องค์รัชทายาทถูกวางยา” ตอนแรกนางเองคิดจะอ้อมค้อม แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็คิดว่าพูดไปตรงๆ คงดีกว่า ขุนนางใหญ่เหล่านี้ไม่ใช่คนนอก เป็นคนที่นางคิดจะฝากฝังราชสำนักเอาไว้ ย่อมต้องตรงไปตรงมากับพวกเขา เพื่อแสดงความจริงใจให้อีกฝ่ายสบายใจ
ข่าวนี้ย่อมต้องสร้างความสั่นสะเทือนเลือนลั่น
ถาวจวินหลันมองดูท่าทางตื่นตะลึงจนสูดหายใจเข้าลึกของทุกคน ก็พูดต่อว่า “องค์รัชทายาทสลบไป ไม่รู้ว่าจะฟื้นได้หรือไม่ ถึงตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้เมื่อไร”
สิ้นเสียง ทุกคนก็นิ่งอึ้งไปอย่างสมบูรณ์ ภายในห้องพลันเงียบสงบไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังไม่ได้ยิน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินฟู่ก็ได้สติกลับมา ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “เกิดขึ้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ถาวจวินหลันเล่าเหตุการณ์อีกครั้งอย่างง่ายๆ “พวกเราประมาทศัตรูเกินไป แต่ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องนี้ข้าให้คนปิดข่าวเอาไว้ แต่ก็คงปิดได้อีกไม่นาน ดังนั้นสุดท้ายแล้วจะทำอย่างไร วันนี้จึงเรียกทุกคนมาเพื่อปรึกษากัน”
ทุกคนได้ยินก็เงียบไปครู่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้ง่าย แต่เป็นปัญหาใหญ่
ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดก่อนว่า “หรือทุกท่านไม่มีวิธีเลยหรือ?” หรือกลัวแบกภาระหนัก จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตัวอย่างนั้นหรือ?
ถาวจวินหลันก็ตั้งใจพิจารณาขุนนางใหญ่ทุกคน โดยเฉพาะคนที่นางไม่ค่อยคุ้นเคยด้วยเหล่านั้น
สุดท้ายแล้วจั่วเสี่ยนอวี้ก็พูดขึ้นมาก่อน “ต้องประคองราชสำนักไว้ถึงสำคัญที่สุด ไม่อาจปล่อยให้เละได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “แต่ข้าเป็นเพียงสตรี ถึงมีแรงใจแต่ขาดแรงกาย ยังต้องพึ่งพาพวกเจ้าเสียมาก พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่องค์รัชทายาทเชื่อใจที่สุดและพึ่งพาได้มากที่สุด ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพึ่งพาพวกเจ้า พวกเราแม่ม่ายลูกกำพร้า ทำได้เพียงหวังว่าทุกท่านจะพยายามสุดความสามารถเท่านั้น”
เฉินฟู่แสดงท่าทีเห็นด้วยก่อน “ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ชายารัชทายาทอย่าทรงกังวลไปเลย ตระกูลเฉินสนับสนุนองค์รัชทายาทเสมอมา จะต้องลงแรงทั้งหมดที่มีเข้าช่วย ไม่เพียงกระหม่อม ท่านพ่อและท่านพี่ของกระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกัน”
จากนั้นถาวจิ้งผิงก็แสดงท่าทีสนับสนุนเช่นเดียวกัน
คนอื่นย่อมทยอยกันแสดงจุดยืนของตนเอง ไม่มีใครปฏิเสธเลยแม้แต่คนเดียว
ถาวจวินหลันยิ้มอย่างซึ้งน้ำใจ ลุกขึ้นมาทำความเคารพให้ทุกคน พูดขอบคุณจากใจจริง “ความชอบธรรมของทุกท่านในวันนี้ ข้ากับองค์รัชทายาทไม่มีวันลืม”
ทุกคนรีบทำความเคารพ
สุดท้ายเฉินฟู่ก็พูดอีกว่า “ประคองราชสำนักเป็นเรื่องเล็ก อย่างน้อยช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การวางแผนระยะยาว อีกอย่างตอนนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ถูกส่งเข้าสุสานหลวงแล้ว จากนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็จะขึ้นครองราชย์ นี่ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด…”
เฉินฟู่พูดตรงเข้าเป้าหมายสำคัญ ที่จริงแล้วทุกคนคิดถึงเรื่องนี้ได้ก่อนแล้ว แต่กลับรู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกมา เฉินฟู่ถือเป็นน้องเขยของถาวจวินหลัน พูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกนัก
ถาวจวินหลันพยักหน้า “นี่เป็นปัญหาใหญ่จริง ข้ามาคิดดูแล้ว ให้องค์ชายเจ็ดออกหน้าในงานพิธีของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ได้ หากไม่ได้ก็ยังมีซวนเอ๋อร์ และบอกข้างนอกไปว่าองค์รัชทายาทเหน็ดเหนื่อยจนประชวร ปิดบังได้นานเท่าไรก็เท่านั้น ข้ายังคิดเรื่องขึ้นครองราชย์ดีๆ ไม่ได้ พวกเจ้ามีความเห็นหรือไม่?”
เฉินฟู่ส่ายหน้าหัวเราะขมขื่น “เรื่องนี้จัดการไม่ง่ายนัก ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เป็นเรื่องใหญ่ หากองค์รัชทายาทยังไม่ตื่น ก็หมดหนทางพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงเท่านี้ แคว้นไม่อาจขาดผู้นำได้แม้เพียงวันเดียว รอนานเท่าไรประชาชนก็ยิ่งหวาดกลัว อำนาจในราชสำนักก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของเฉินฟู่ แม้หลี่เย่ขึ้นครองราชย์ได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่เวลาผ่านไปนาน ก็ยากที่จะเลี่ยงความเปลี่ยนแปลง ถึงเวลานั้นเกรงว่าเรื่องราวคงยากจะควบคุม
“ไม่ต้องกลัว ยังมีซวนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ” จั่วเสี่ยนอวี้พูดขึ้นมาอีกครั้ง กวาดตามองรอบด้าน พูดอย่างระมัดระวัง “นายน้อยขึ้นครองราชย์ก็เคยมีให้เห็น แล้วค่อยแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการก็พอ อีกทั้งยังแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทก่อนได้ ที่เหลือก็แค่ให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์”
เฉินฟู่ยังคงส่ายหน้า “เกรงว่าขุนนางคนอื่นคงไม่เห็นด้วย”
จั่วเสี่ยนอวี้พูดเสียงเบา “ข่มขู่และหลอกล่อ จะต้องได้ผลสักวิธี หากทำเรื่องนี้จริงๆ คงไม่ยากนัก”
ด้วยจั่วเสี่ยนอวี้ทำการค้าจนชิน จึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาตรงๆ โดยไม่หวาดกลัว
ถาวจวินหลันคิดว่าจั่วเสี่ยนอวี้พูดถูก แต่นางก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก “อย่าลืมว่ายังมีบัณฑิตอีกมากที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์ และไม่กลัวการถูกข่มขู่ ทำเช่นนี้คงไม่ดีเท่าไร เราควรต้องวางแผนระยะยาวด้วย”