บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 683 ตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน
ทันใดนั้นบรรยากาศก็อึมครึมลง คล้ายเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา
เห็นชัดว่าฮ่องเต้ไม่พอใจ แต่ถาวจวินหลันกับคนอื่นก็ยังยืนหยัดมุ่งมั่น
ฮองเฮาไม่ปริปากเลย เพียงแค่มองฮ่องเต้นิ่งๆ เตรียมทำตามคำสั่งของฮ่องเต้
สุดท้ายถาวจวินหลันก็มองกู้ซีนิ่ง “ไม่ทราบว่าจวงเฟยเหนียงเหนียงคิดอย่างไรเพคะ?” กู้ซีคิดจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ให้ฮ่องเต้ออกหน้าจัดการเรื่องนี้สำเร็จเพียงลำพัง แต่นางไม่ยอมให้กู้ซีสมใจเป็นแน่
กู้ซีเป็นตัวปัญหาของเรื่องนี้ สุดท้ายปลายหอกย่อมต้องพุ่งไปทางกู้ซี
อี้กุ้ยเฟยอยู่ในวังหลังมานานหลายปี นางย่อมไม่ใช่คนโง่ เข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที มองไปทางกู้ซีด้วยสายตาเรียบนิ่งเช่นเดียวกัน “น้องจวงเฟย เจ้าพูดบ้างสิ”
ฮ่องเต้มองกู้ซีทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มองจากท่าทีก็เหมือนไม่ได้คิดจะปกป้องกู้ซีอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของถาวจวินหลันก่อนหน้านี้ ทำให้ฮ่องเต้เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาหรือไม่ อย่างไรนั่นก็เป็นความจริง ไทเฮาเพิ่งสิ้นพระชนม์ไป เขาก็เหิมเกริมอยากแต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย ช่างดูเหลวไหลเสียจริง อีกทั้งท่าทีของไทเฮาก่อนหน้านี้…
กู้ซีเห็นฮ่องเต้ไม่มีแววจะเอ่ยปากพูด ก็รู้สึกผิดหวังยิ่ง แต่เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว นางย่อมนิ่งเงียบต่อไม่ได้ หลังจากเรียบเรียงแล้ว กู้ซีก็ลุกขึ้นหมอบเคารพฮ่องเต้ทีหนึ่ง “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันคิดว่าพี่อี้กุ้ยเฟยกับพี่จิ้งเฟยพูดถูกเพคะ ตอนนี้ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ ไม่สมควรพูดเรื่องนี้ แค่ความรักที่ฮ่องเต้มอบให้หม่อมฉัน เท่านี้หม่อมฉันก็ซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุดแล้ว”
สิ้นเสียง นางก็เงยหน้าขึ้นมามองฮ่องเต้ด้วยท่าทีน่าสงสาร น้อยเนื้อต่ำใจนัก
“ถึงน้องจวงเฟยดีอย่างไร แต่ประสบการณ์ก็ยังน้อยนัก” อี้กุ้ยเฟยเอ่ยปากอีกครั้ง เสียงอ่อนโยนเอ่ยกล่อมฮ่องเต้ ท่าทีเช่นนั้นเหมือนกับภรรยากำลังกล่อมสามีของตนเอง แม้จะบอกว่าคำพูดไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร แต่ดูจากท่าทีของอี้กุ้ยเฟยก็ให้รู้สึกผ่อนคลายไปไม่น้อย “ฮ่องเต้โปรดปรานเอ็นดูน้องจวงเฟย หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ น้องจวงเฟยอ่อนโยนน่ารัก แล้วยังเอาใจใส่เก่ง คนอื่นก็คงชอบน้องจวงเฟยเช่นกัน เรื่องแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย พวกหม่อมฉันไม่ได้มีความเห็นอะไร แต่องค์รัชทายาทบรรลุนิติภาวะนานแล้ว ไม่ต้องให้คนมาดูแลเหมือนองค์ชายเก้า เหตุใดต้องให้ไปจดไว้ใต้ชื่อของจวงเฟยด้วยเพคะ?”
อี้กุ้ยเฟยฉวยโอกาสพูดเข้าประเด็น ใช่แล้ว หากแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟยก็ไม่เป็นไร อย่างไรฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไป นางก็เป็นได้แค่หวงไท่เฟยมิใช่หรือ? ก็เหมือนกับคนอื่นทั่วไป ต้องอาศัยอยู่ในพระราชวงอันหนาวเหน็บ ใช้ชีวิตจนตายไปเช่นเดียวกันมิใช่หรือ? ดังนั้นพูดกันตามจริงแล้ว เรื่องที่ทุกคนต่อต้านก็แค่เรื่องจดชื่อหลี่เย่ไว้ใต้ชื่อกู้ซีเท่านั้นเอง
ทุกคนย่อมเข้าใจที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ก็เพียงอยากยืมตำแหน่งลูกชายก้าวสู่ตำแหน่งสูง อย่างไรหากหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาท นางเป็นแม่เลี้ยงขององค์รัชทายาทก็ย่อมสูงส่งได้หน้าตาเช่นเดียวกัน นั่นทำให้นางเดินกร่างไปทั่ววังหลังได้เป็นแน่
แต่ด้วยทุกคนรู้ดีแก่ใจ ถึงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตรงๆ เพียงแค่หยิบยกเรื่องหลี่เย่บรรลุนิติภาวะมาพูดแทน
อิงเฟยก็เอ่ยปาก “ใช่แล้วเพคะฮ่องเต้ ที่จริงหม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น จดชื่อองค์รัชทายาทไว้ใต้ชื่อของจวงเฟยคงไม่เหมาะสมนัก อย่างไรจวงเฟยก็เลี้ยงองค์ชายเก้าอยู่แล้วนะเพคะ”
สายตาของฮ่องเต้กวาดตามองผ่านทุกคน ถึงยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร แต่อำนาจบนตัวก็เหมือนภูเขาใหญ่ที่กดทับร่างกายทุกคนเอาไว้ จนสัมผัสได้ถึงความกดดันที่บรรยายไม่ได้
แต่ก็ไม่มีใครแก้คำพูด
กู้ซีรออีกพักใหญ่ สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดกับฮ่องเต้อย่างเรียบร้อยรู้งาน “พี่อิงเฟยพูดถูกแล้วเพคะ ที่จริงหม่อมฉันไม่เคยอยากจดชื่อลูกชายของท่านป้าไว้ใต้ชื่อของตนเอง หม่อมฉันมีองค์ชายเก้าอยู่แล้ว เท่านี้ก็พอใจมากแล้ว มิกล้าขอมากกว่านี้เพคะ”
ในเมื่อกู้ซีพูดเช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้ย่อมไม่ยืนหยัดต่อไป เรื่องนี้จึงจบลงตามนี้ ส่วนเรื่องแต่งตั้งหวงกุ้ยเฟยจะถูกยกเลิกหรือไม่ ก็ถือเป็นเรื่องในอนาคตแล้ว
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้ออกไปอย่างไม่พอใจ กู้ซีเองก็รีบเดินตามไปประคองฮ่องเต้เดินจากไปไกล
ส่วนคนที่เหลือหลังจากมองหน้าส่งยิ้มให้กันแล้ว คนไม่น้อยก็เผยแววตาแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ยและความยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น กู้ซีเพิ่งเข้าวังมาไม่นาน แต่ยังไม่มีใครชอบนางสักคน ทว่าไม่ชอบหน้านางเสียมากกว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะความริษยา แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านศัตรู
ฮองเฮาก็ไม่เห็นว่าจะผิดหวัง ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ เพียงเดินจากไปช้าๆ ตามปกติ
ตัวถาวจวินหลันก็ก้มหน้าเอ่ยขอบคุณอี้กุ้ยเฟยและอิงเฟย จากนั้นก็คิดจะกลับวังตวนเปิ่น
อี้กุ้ยเฟยยิ้มพูดว่า “ข้าจะไปหาลูกชายพอดี อย่างไรก็ทางเดียวกัน พวกเราไปด้วยกันเถิด”
ถาวจวินหลันยิ้มรับ นางย่อมเข้าใจว่าอี้กุ้ยเฟยมีเรื่องอยากคุยกับนาง จึงเสนอให้เดินไปช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรคนตั้งครรภ์อย่างนางก็ต้องเดินเล่นทุกวัน
ระหว่างทางเดินไปเรื่อยๆ อี้กุ้ยเฟยก็เปิดปากพูดตามคาด “พระชายาองค์รัชทายาท คิดว่าเรื่องนี้จบแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันนึกถึงเรื่องที่กู้ซีสร้างขึ้นติดต่อกัน ก็ต้องส่ายหัว “ยังไม่บรรลุจุดประสงค์ เรื่องนี้ย่อมไม่จบเช่นนี้เป็นแน่เพคะ”
อี้กุ้ยเฟยพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “ไม่ใช่ว่าข้ารับไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าปล่อยให้กู้ซีทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เป็นอะไรถึงได้เลอะเลือนเพียงนี้ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจวงเฟยป้อนยาเสน่ห์อะไรให้ฮ่องเต้กันแน่ เขาถึงได้เชื่อฟังนางเช่นนี้”
ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างไม่แยแส “คงเพราะดูแลดีจนได้ใจของฮ่องเต้ อีกอย่างฮ่องเต้กุมอำนาจไว้ในมือจนเคยตัว ย่อมไม่เห็นเรื่องเหล่านี้สำคัญ” ตั้งแต่เริ่มใช้ยาอายุวัฒนะ ฮ่องเต้ก็ยิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมให้ใครมาต่อต้านเขาทั้งนั้น อีกทั้งยังไม่คำนึงถึงคนอื่น ไมรู้ว่าเมื่อก่อนฮ่องเต้เป็นคนอย่างไรกันแน่ แต่ตอนนั้นก็ยังมีท่าทางอบอุ่นให้เห็นบ้าง ทว่าตอนนี้หรือ…
หากไม่ใช่เพราะยังมีหลี่เย่กับคนอื่นประคับประคองเบื้องหน้าของราชสำนักเอาไว้ อีกทั้งมีขุนนางซื่อตรงหลายคน เกรงว่ายามนี้แผ่นดินคงเละเทะไม่เป็นชิ้นดีแล้ว
อี้กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ “หรือว่าเมื่อก่อนไม่มีใครได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้? แต่ทำไมข้าถึงไม่เห็นฮ่องเต้ใส่ใจขนาดนี้? พูดถึงอี๋เฟยก็แล้วกัน นางไม่ได้รับความเอ็นดูอย่างนั้นหรือ? นางเป็นถึงมารดาขององค์ชายเก้า แต่บอกให้ขังก็ขังอย่างนั้นหรือ? แม้แต่กู้กุ้ยเฟยที่ทรงโปรดปรานเมื่อครั้งนั้น ฮ่องเต้ยังไม่ปฏิบัติดีด้วยเช่นนี้เลย”
พูดไปพูดมา เสียงของอี้กุ้ยเฟยก็เบาลงหลายส่วน พูดด้วยท่าทางเป็นความลับ “เจ้าว่านางใช้มนต์ดำหรือไม่…”
ถาวจวินหลันมองอี้กุ้ยเฟยอย่างขบขัน “ไฉนเลยจะมีเรื่องเช่นนั้น?”
อี้กุ้ยเฟยกลับเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง “อย่างนั้นเจ้าว่า ทำไมฮ่องเต้ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้? ตอนที่กู้ซีเข้าวังมาแรกๆ ฮ่องเต้ยังไม่เป็นเช่นนี้ แต่หลังจากอี๋เฟยตายไป ฮ่องเต้ก็ยิ่งลุ่มหลงนางมากขึ้น…”
พออี้กุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ใจกระตุกวูบ เป็นเช่นนั้นจริง แต่นางไม่เชื่อว่าเป็นวิชามนต์ดำ แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นเพียงเรื่องร่ำลือเท่านั้น ใครเคยเห็นของจริงบ้าง? หรือต่อให้เรื่องนี้มีอะไรจริง ก็ต้องไม่ใช่วิชามนต์ดำเป็นแน่
ในเมื่อเริ่มสงสัยเรื่องนี้ ถาวจวินหลันย่อมอยากไปสืบให้รู้ความ แน่นอนว่าตอนนี้นางยังไม่อาจพูดกับอี้กุ้ยเฟยได้
แต่จุดประสงค์ของอี้กุ้ยเฟยในวันนี้ไม่ใช่เรื่องนี้ ไม่นานอี้กุ้ยเฟยก็กลับเข้าเรื่องหลัก “ที่จริงแล้ว ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”
อี้กุ้ยเฟยถามด้วยท่าทีจริงจัง ถาวจวินหลันย่อมต้องตอบกลับด้วยท่าทีเคร่งขรึมเช่นกัน “ว่ามาเถิดเพคะ”
อี้กุ้ยเฟยถอนหายใจ “องค์รัชทายาทได้คุยกับเจ้าหรือไม่ คิดจะจัดการกับลูกชายของข้าอย่างไร? ตอนนี้บาดแผลที่ขาของเขาก็ใกล้หายแล้ว เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ควรต้องจัดการได้เสียที ข้ามีคนถูกใจแล้วคนหนึ่ง แต่ไทเฮาเพิ่งสิ้นพระชนม์ คิดว่าต้องรออีกพักใหญ่”
“อย่างนั้นหรือเพคะ? หญิงสาวตระกูลใดหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มถามอี้กุ้ยเฟย นึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แล้วยังอดคิดไม่ได้ว่า อี้กุ้ยเฟยจะหาสตรีที่ถูกใจองค์ชายเจ็ดได้หรือไม่
“เป็นหญิงสาวนางหนึ่งในตู๋กูซื่อจากพื้นที่ราบลุ่มซานซี ติดตามท่านพ่อมาเมืองหลวง แม้หน้าตาธรรมดา แต่อ่อนโยนใจกว้าง ทั้งยังดูแลงานเรือนได้อย่างดี” อี้กุ้ยเฟยพูดถึงลูกสะใภ้ในใจ ก็เผยยิ้มบางๆ บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด
ถาวจวินหลันตกใจ “ตู๋กูซื่ออย่างนั้นหรือเพคะ? ดีมากจริงๆ” ตู๋กูซื่อเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน ชื่อเสียงตระกูลดีเยี่ยม แม้หลายปีมานี้อยู่ในช่วงขาลง แต่ก็ยังมั่งคั่งกว่าตระกูลร่ำรวยที่เกิดใหม่อยู่ดี
อี้กุ้ยเฟยมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ
“องค์รัชทายาทยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับหม่อมฉันเพคะ แต่อี้กุ้ยเฟยอย่ากังวลไปเลย องค์รัชทายาทกับองค์ชายเจ็ดสนิทกันดี เขาไม่มีทางละเลยองค์ชายเจ็ดเป็นแน่” ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าอี้กุ้ยเฟยกลัวอะไร จึงจงใจพูดออกมาตรงๆ ว่าองค์ชายเจ็ดไม่มีทางเป็นท่านอ๋องเจ้าสำราญ ไม่ต้องห่วงว่าแต่งงานไปแล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะ
แม้ถาวจวินหลันไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัด แต่อี้กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้ก็พอใจแล้ว อี้กุ้ยเฟยยิ้มพลางพูดว่า “พระชายาองค์รัชทายาท มีอะไรที่ใช้ข้าได้ ก็ขอให้บอกเท่านั้น”
“แต่หม่อมฉันต้องเตือนกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงนะเพคะ” ถาวจวินหลันเงียบ ก่อนพูดเสียงเบา “รอช่วงไว้ทุกข์ไทเฮาผ่านไปก่อน ต้องรีบจัดงานแต่งงานโดยเร็ว ฮ่องเต้มีพระชนมายุมากแล้ว ตอนนี้ยังทานยาอายุวัฒนะบ่อยขึ้น…”
อี้กุ้ยเฟยคล้อยตามทันที รีบพยักหน้าติดต่อกัน “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
หลังจากแยกทางกับอี้กุ้ยเฟยแล้ว ถาวจวินหลันก็หันไปพูดติดตลกกับหงหลัว “เจ้าดูสิ อี้กุ้ยเฟยตัดสินใจได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้อี้กุ้ยเฟยไม่ได้เป็นคนน่าสนิทสนมด้วยเช่นนี้ แล้วยังพูดแสดงความจริงใจ แน่นอนว่านางเองก็ตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน พูดเรื่องทรยศเนรคุณเช่นเดียวกัน นางกับอี้กุ้ยเฟยก็ถือว่าเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่ายแล้ว
“วังหลังแห่งนี้ อย่างไรก็ถือไว้ในมือเป็นแม่นมั่นแล้ว” ริมฝีปากของถาวจวินหลันยกขึ้นเป็นมุม มองดูปิ่นผีเสื้อสีชมพูบนศีรษะของหงหลัว จากนั้นก็เบี่ยงเรื่องพูดไป “เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ทำไมถึงไม่คิดจะแต่งงานออกไปเล่า? หากเจ้ายังรอต่อไป หลังจากนี้ก็อย่าหวังจะหาอีก ตอนนี้แค่ฐานะของเจ้าก็แต่งกับขุนนางเล็กๆ สักคนได้แล้ว”