บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 680 เค้นถาม
แน่นอนว่าเหตุผลที่ต้องให้กู้ซีมาให้ได้ ก็เพราะต้องการเตือนฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน
แต่พอนางมาถึงวังหย่งโซ่วก็ไม่เห็นทั้งฮ่องเต้กับกู้ซี
วังหย่งโซ่วเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม
หลี่เย่คุกเข่าอยู่ข้างประตู ทั้งร่างหมอบติดอยู่กับพื้น ไหล่สั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาเลยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้
ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังของหลี่เย่ ดวงตาพลันแดงก่ำอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งร้องไห้ ดังนั้นนางจึงกลั้นน้ำตาที่จะไหลเอาไว้ หลี่เย่ในตอนนี้ระเบิดอารมณ์ออกมาหมดแล้ว ไม่อาจจะไปจัดการทำธุระอะไรได้อีก ฮ่องเต้จนถึงตอนนี้ก็ไม่ปรากฏตัวออกมา คนอื่นก็ไม่อาจพึ่งได้ ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงนางที่ต้องแบกรับหน้าที่หนักหน่วงนี้เอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ก่อนที่หลี่เย่จะตั้งสติได้ นางจำต้องรับเอาไว้
ถาวจวินหลันไม่ได้ไปรบกวนหลี่เย่ เพียงแค่กวักมือเรียกขันทีที่คอยช่วยจางหมัวหมัวออกมา “โถงวิญญาณมีคนไปจัดการแล้วหรือยัง? แล้วบริเวณที่ต้องคุกเข่าส่งวิญญาณเล่า? ไทเฮา…เป็นอย่างไรบ้าง?”
ขันทีคนนั้นตาแดงก่ำ เห็นชัดว่าร้องไห้มาอย่างหนัก แม้จะโศกเศร้าเสียใจแต่ก็ยังจัดการธุระต่างๆ ได้ดี ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้
พอได้ยินถาวจวินหลันถาม ขันทีคนนั้นก็ตอบว่า “ให้คนไปสร้างโถงวิญญาณแล้วพ่ะย่ะค่ะ บริเวณนั่งคุกเข่าส่งวิญญาณก็ได้เตรียมแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะวังหย่งโซ่วค่อนข้างอยู่ไกล ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีคนมา พระชายาองค์รัชทายาทว่า…”
“ไปแจ้งข่าวให้ทุกวังทราบเถิด” ถาวจวินหลันแค่นยิ้ม “แต่ใครมาก่อนมาหลังเจ้าจดเอาไว้ให้ดี ถึงเวลาข้าจะได้กะเกณฑ์ถูก” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็สูดลมหายใจลึกแล้วพูดว่า “ยกระฆังเมฆไปแจ้งข่าวโศกให้แจ้งทุกประตูวังทราบ! พวกนางคงหลับสนิทจนตายไปแล้วถึงได้ไม่ได้ยินกระมัง คงต้องไปแจ้งเตือนพวกนางสักหน่อย”
นางทำเช่นนี้ก็ด้วยความโกรธ นางโกรธที่คนเหล่านี้นิ่งเฉยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน โกรธคนพวกนี้ที่เย็นชาไร้เยื่อใย จึงจงใจให้อีกฝ่ายอยู่สงบไม่ได้
“โดยเฉพาะทางจวงเฟย ไปเตือนนางให้ดี” ถาวจวินหลันกำชับเรียบๆ ในแววตายังฉายแววปวดร้าว แต่ในใจลึกๆ กลับรังเกียจยิ่ง นางไม่เคยรังเกียจกู้ซีขนาดนี้มาก่อน เกลียดจนอยากให้นางตายไปเสียด้วยซ้ำ
“ตอนนี้บรรดานางกำนัลกำลังช่วยเช็ดตัวให้ไทเฮา และเตรียมเปลี่ยนชุดให้ไทเฮาอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนนั้นปาดตา “แต่บ่าวอย่างไรก็ไม่ใช่สตรี ไม่อาจไปปรนนิบัติใส่เสื้อผ้าให้ไทเฮาด้วยตัวเองได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดเสียงขรึม “เจ้าทำเรื่องเหล่านี้ให้ดีก็ถือว่าจงรักภักดีกับไทเฮาแล้ว เจ้าไปเถิด”
พอพูดจบนางก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง นางเป็นสตรี แน่นอนว่าเข้าไปได้ นางอยากไปดูไทเฮา
ตอนที่ถาวจวินหลันเห็นไทเฮานั้น จางหมัวหมัวได้สั่งให้นางกำนัลเช็ดตัวให้ไทเฮาเสร็จแล้ว ตอนนี้จางหมัวหมัวกำลังยกชุดเต็มยศของไทเฮาออกมาเพื่อเตรียมให้ไทเฮาสวมใส่
ถาวจวินหลันกวาดตามองเพียงครั้งเดียวก็ต้องตื่นตะลึงไป ไม่ว่าชุดนี้เป็นสีหรือลวดลาย นางก็เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น อีกทั้งเพิ่งเห็นไม่นานอีกด้วย! แต่เพียงแค่เห็นในความฝันเท่านั้น
ถาวจวินหลันเอามือปิดปาก มองดูไทเฮานอนด้วยท่าทีสงบนิ่ง น้ำตาไหลลงมาช้าๆ บางทีนั่นไม่ใช่ฝันที่เลื่อนลอย แต่เพราะไทเฮามาบอกลานางจริงๆ
“ไทเฮาจากไปตั้งแต่เมื่อไร?” ถาวจวินหลันปิดปากถามจางหมัวหมัว
จางหมัวหมัวอึ้งไป ตอบเสียงเบาว่า “ยามอิ๋นสี่สิบห้านาทีเพคะ”
ถาวจวินหลันมั่นใจกว่าเดิม ตอนที่ไทเฮาเพิ่งสิ้นพระชนม์ไป เป็นตอนที่นางฝันพอดี ซึ่งหมายความว่าไทเฮามาบอกลานางในฝันจริง
“ไทเฮาได้พูดอะไรทิ้งไว้หรือไม่?” ถาวจวินหลันกลั้นน้ำตา เอ่ยถามจางหมัวหมัวเสียงเบา
จางหมัวหมัวส่ายหน้า “ไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้เพคะ พูดแค่ว่าไม่ให้ร่วมฝัง แล้วทิ้งพระราชเสาวนีย์เอาไว้เพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินไปข้างเตียงมองดูไทเฮาเงียบๆ ไทเฮาจากไปอย่างสงบสุขแล้ว ไม่ได้มีท่าทางน่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย ท่าทีนอนนิ่งสงบเหมือนแค่หลับไปเท่านั้น
ยืนอยู่ครู่หนึ่งจางหมัวหมัวก็เดินมาเกลี้ยกล่อมนาง “พระชายาองค์รัชทายาท อย่ายืนอยู่ตรงนี้เลยเพคะ ท่านตั้งครรภ์รีบออกไปเถิด” ตั้งแต่โบราณพูดกันว่า หญิงตั้งครรภ์ควรออกห่างจากเรื่องเช่นนี้ ด้วยกลัวดวงชง
ถาวจวินหลันก็รู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้รั้งอยู่ต่อ ก้มหน้าเดินออกไป พอออกไปก็เห็นว่าอี้กุ้ยเฟยและอิงผินมาถึงแล้ว ทั้งสองคนต่างมีท่าทีเสียใจดวงตาแดงระเรื่อ
ทั้งสองคนเห็นถาวจวินหลัน ก็ก้าวขึ้นมาถามไถ่ “ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องการคนช่วยหรือไม่?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องการความช่วยเหลือเพคะ แต่หากพวกท่านอยากดูก็เข้าไปได้” พอพูดจบนางก็หันไปมองหลี่เย่อยู่ตลอด
พอหลี่เย่เริ่มใจเย็นลงแล้ว ก็หันไปสั่งการคนให้คอยจัดการธุระเหมือนปกติ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขออภัยกับอี้กุ้ยเฟยและคนอื่น แล้วเดินมาหาหลี่เย่
คนที่พูดคุยกับหลี่เย่คิดว่าคงเป็นขันทีสำนักพระราชพิธี ทั้งสองคนคงกำลังปรึกษากันเรื่องพิธีฝังพระศพของไทเฮา แม้จะบอกว่าทำตามประเพณีก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีเรื่องต้องปรึกษาอีกมาก
พอถาวจวินหลันเดินมา หลี่เย่ก็หยุดพูด หันหน้ามาถามนาง “ด้านในเป็นอย่างไรบ้าง?”
นางรู้ว่าหลี่เย่ไม่วางใจเรื่องไทเฮา จึงตอบว่า “มีจางหมัวหมัวคอยนั่งประจำการ วางใจเถิด ท่านทำเรื่องที่ทำได้ให้ดีก็พอแล้วเพคะ”
หลี่เย่พยักหน้า “อีกครู่ตอนคุกเข่าส่งวิญญาณ เจ้าอย่าฝืนเกินไป หากไม่สบายหรือเหนื่อยก็กลับไปพักก่อน ไทเฮาไม่โทษเจ้าเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “หม่อมฉันรู้หนักเบาเพคะ” เด็กในท้องของนางย่อมสำคัญที่สุด ต่อให้เป็นไทเฮาก็ต้องคิดเช่นนี้
เมื่อถึงเวลาฟ้าสาง คนภายในวังหลวงก็เริ่มทยอยกันมาจนเกือบจะพร้อมหน้าแล้ว ก่อนเริ่มคุกเข่าส่งวิญญาณ
โลงศพของไทเฮาถูกเตรียมไว้นานแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ยกมาวางร่างไทเฮาไว้ข้างในนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น
แต่เมื่อถึงเวลานี้ ฮ่องเต้กับกู้ซีก็ก็ยังไม่โผล่หน้ามา
ฮองเฮามาถึงเห็นภาพนี้ก็หัวเราะเย้ยหยัน แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ถาวจวินหลันกลับรู้ดีว่าฮองเอากำลังเยาะเย้ยเรื่องอะไร ฮองเฮากำลังเย้ยหยันให้กับความใจแคบของฮ่องเต้ จะต้องรู้ว่าไทเฮาเป็นถึงมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้
เสด็จแม่ของตนเองสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้กลับไม่แม้แต่โผล่หน้ามา นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ถาวจวินหลันก็คิดเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เยาะเย้ย แต่เป็นความโกรธแค้น
ถาวจวินหลันตามหาหลี่เย่ แอบกระซิบเรื่อง แล้วพูดว่า “ควรให้คนไปเชิญอีกหรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าไปไม่ได้” ความหมายก็คือไม่ยอมไปเชิญฮ่องเต้ หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “อีกอย่าง ใช่ว่าไทเฮาจะอยากเจอหน้าสองคนนั้น ดีแล้ว ไทเฮาจะได้ไม่ต้องกริ้ว”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ทำได้แค่ปล่อยไป แต่ก็พูดอีกว่า “หม่อมฉันจะกลับไปวังตวนเปิ่น พาเด็กๆ มาคุกเข่าส่งวิญญาณด้วยเพคะ”
หลี่เย่พยักหน้า “ก็ดี”
พอพูดจบ ทั้งสองคนก็รีบร้อนจากกันไป แยกย้ายไปทำในสิ่งที่ควรทำ
แต่หลังจากถาวจวินหลันเพิ่งออกจากวังหย่งโซ่วไป ก็ยกมือสั่งให้คนตรงไปวังของกู้ซี
ตอนที่ถาวจวินหลันไปถึง วังของกู้ซีก็เงียบสนิท ถ้าไม่เห็นโคมไฟขาวแขวนอยู่หน้าประตู และบรรดาบ่าวรับใช้สวมใส่ชุดไว้ทุกข์ นางคงคิดว่าที่นี่ไม่รู้ข่าวของไทเฮา
นางมาด้วยตนเอง บ่าวในวังทั้งหลายย่อมไม่กล้าละเลย ตรงเข้าไปรายงานทันที
ผ่านไปไม่นานกู้ซีก็ออกมา นางสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวทั้งตัว บนศีรษะก็มีเพียงปิ่นเงินและดอกไม้ขาวเท่านั้น
ถาวจวินหลันมองดูทั้งตัว ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจ แต่ก็ยังเอ่ยปากเค้นถาม “จวงเฟยเหนียงเหนียงช่างวางท่าดีเหลือเกินเพคะ ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้วยังเฉยเมยได้อีก”
กู้ซีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ใต้ตาก็เป็นสีเขียวคล้ำ พูดด้วยน้ำเสียงสลด “ข้าเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ”
“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องอะไรสำคัญกว่าการสิ้นพระชนม์ของไทเฮานะเพคะ” ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ มองกู้ซีด้วยสายตาเย็นชา “ไทเฮาเคยเอ็นดูจวงเฟยเหนียงเหนียงอย่างไร หรือว่าจวงเฟยเหนียงเหนียงลืมไปแล้วเพคะ?”
กู้ซีอ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไร กลับได้ยินเสียงของฮ่องเต้ดังมาจากด้านหลัง “ข้าก็ไม่รู้ว่าชายารัชทายาทไร้มารยาทกับหวงกุ้ยเฟยเช่นนี้”
ฮ่องเต้เรียกกู้ซีว่าหวงกุ้ยเฟย
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง ก่อนทำความเคารพฮ่องเต้ สุดท้ายถึงพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจวงเฟยเหนียงเหนียงได้เลื่อนขั้นเป็นหวงกุ้ยเฟยตั้งแต่เมื่อไรเพคะ อีกทั้งหม่อมฉันไม่คิดว่าเสียมารยาท แม้จวงเฟยเหนียงเหนียงได้รับความโปรดปราน แต่อย่างไรก็ถือเป็นลูกสะใภ้ของไทเฮา แม่สามีจากไปแล้วไม่ได้ทำความเคารพ หม่อมฉันก็ไม่เห็นรู้ว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ใดเพคะ”
“นางต้องดูแลข้า” ฮ่องเต้พูดเรียบๆ “เมื่อวานนี้ข้าอาการกำเริบ ปวดหัวทั้งคืน นางจึงต้องคอยดูแลข้าทั้งคืนเช่นกัน พระชายาองค์รัชทายาทยังมีเรื่องไม่พอใจหรือไม่? อีกทั้งข้าจะแต่งตั้งใครเป็นหวงกุ้ยเฟยก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาถาม ข้าเห็นแก่หน้าของฮองเฮาจึงยอมปล่อยเจ้าทั้งที่ทำตัวเสียมารยาท เจ้ากลับไปคัดกฎสตรีมาสิบรอบ แล้วส่งให้ถึงมือหวงกุ้ยเฟย ยอมรับผิดกับนางเสีย”
ฮ่องเต้กำลังปกป้องกู้ซี
ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่ยอมให้ตนเองเสียเปรียบเช่นนี้ จึงพูดค้านหัวชนฝาว่า “หม่อมฉันไม่คิดว่าตนเองทำผิดเพคะ ฮ่องเต้พูดว่าแต่งตั้งจวงเฟยเป็นหวงกุ้ยเฟย ไม่ทราบว่าได้ลงหนังสือราชโองการแต่งตั้งแล้วหรือยังเพคะ? ไม่ทราบว่ามีสมุดทองตราประทับทอง พิธีแต่งตั้งหรือไม่เพคะ? ในเมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ และยังไม่ได้รับการเห็นพ้องจากฮองเฮาเหนียงเหนียงและไทเฮาเหนียงเหนียง เรื่องนี้ย่อมไม่นับเพคะ อีกอย่างแม้ว่าหม่อมฉันจะมีความผิดก็ควรต้องไปยอมรับความผิดกับฮองเฮา อีกทั้งฮ่องเต้มีพระวรกายไม่แข็งแรง จวงเฟยกลับไม่บอกคนอื่น และไม่เห็นว่าจะอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย ขอถามว่าจวงเฟยเหนียงเหนียงหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ตอนนี้ทั่วทั้งวังหลวงรู้ไปทั่วแล้วว่าไทเฮาสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้กับจวงเฟยกลับเลี่ยงไม่มาปรากฏตัว เสียงติฉินนินทาคาดเดาไม่ขาดสาย ฮ่องเต้คิดว่าอย่างไรเพคะ?”
แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่ได้สิ้นสติและไร้เหตุผล ย่อมรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ จึงขมวดคิ้วหันไปมองกู้ซีด้วยสายตาตำหนิ
กู้ซีรีบคุกเข่าลงไป “หม่อมฉันสะเพร่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้มัวแต่เป็นห่วงฮ่องเต้ หม่อมฉันจึงลืมเรื่องนี้ไป ทำให้คนในวังนินทาฮ่องเต้ หม่อมฉันสมควรตายเพคะ”
กู้ซีดูเหมือนจะตกใจจริง ใบหน้าซีดขาวมากกว่าเดิม คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ลุกขึ้นมา เหมือนว่าจะเซล้มอยู่ในที