บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 667 ไหว้พระจันทร์
ภายในวังหลวงสร้างเวทีไหว้พระจันทร์ไว้นานแล้ว เครื่องหอมนอกจากจะมีผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมอีก
ตามปกติแล้ว เรื่องไหว้พระจันทร์ควรเป็นหน้าที่ของฮองเฮา แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาคิดจะเอาใจถาวจวินหลัน หรือไม่อยากให้คนอื่นมาสนใจอีก ฮองเฮาถึงได้หาข้ออ้างโยนเรื่องนี้ให้ถาวจวินหลันจัดการ
ถาวจวินหลันรับเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร ไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้ก็ต้องเป็นเรื่องของนาง นางจะรับมาไว้ก่อนก็ไม่แปลก ถือว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เทียบกับการไหว้พระจันทร์แต่ก่อนเหล่านั้นก็ยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย กฎเกณฑ์มารยาทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คำกล่าวพิธียาวกว่าเล็กน้อย
สิ่งเดียวที่ถาวจวินหลันกังวลใจก็คือเวทีบูชาสูงเกินไป แม้จะบอกว่าโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง แต่อย่างไรก็ไม่ได้ถูกประกอบอย่างจริงจังนัก เพียงแค่ใช้แผ่นไม้เข้ามาประกบเข้าด้วยกัน เดินอยู่บนนั้นแล้วไม่น่าไว้ใจเท่าไร
เวลาหัวค่ำถาวจวินหลันมารออยู่ข้างเวทีบูชานานแล้ว คนที่รออยู่กับนางก็ยังมีบรรดาเจ้านายที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวง แม้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องนั่งดูอยู่ข้างล่าง แม้ผู้ชายไม่ไหว้พระจันทร์ แต่ก็มาดูพิธีได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานสมโภชในวังหลวง พอไหว้พระจันทร์เสร็จ ทุกคนก็แบ่งกันทานขนมไหว้พระจันทร์ ถึงตอนนี้จึงจะเริ่มงานสมโภชอย่างแท้จริง
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว พระจันทร์ก็ค่อยๆ ลอยเด่นบนฟ้า ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนเวทีสูง
เวทีบูชาสูงเก้านิ้ว เงยหน้ามองดูจากข้างล่างก็ให้เกิดภาพมายาขึ้น คิดว่าคนที่ยืนอยู่บนเวทีบูชายิ่งเหมือนเอื้อมมือไปคว้าดวงจันทร์ได้
ตอนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเวทีบูชา แน่นอนว่าไม่อาจจับดวงจันทร์ได้ ดวงจันทร์ยังคงส่องกระจ่างอยู่ไกลลิบ แสงจันทร์เย็นชาหมองมน สิ่งเดียวที่ต่างไปเมื่อยืนอยู่บนที่สูงก็คือลมเย็นพัดแรงมากขึ้น พัดจนเสื้อผ้าสะบัดไหว คล้ายจะลอยไปตามแรงลม แม้ถาวจวินหลันสวมใส่เสื้อผ้าพิธีที่ค่อนข้างหนัก ลมเย็นก็ยังพัดจนชายเสื้อของนางพองลม เหมือนจะพัดลอยขึ้นไปได้
หลี่เย่มองดูจากข้างล่าง ไม่กล้าละสายตาไปแม้เพียงวินาทีเดียว พูดตามจริงแล้ว เขารู้สึกร้อนใจ กลัวว่าถาวจวินหลันจะโดนลมพัดไปจริงๆ อยากจะพุ่งเข้าไปดึงนางเอาไว้เสียเดี๋ยวนั้น แล้วพาลงมายืนบนพื้นดีๆ
หลังจากถาวจวินหลันกราบสามครั้งคำนับเก้าทีอย่างเคารพนบน้อมเสร็จแล้วนั้น ถึงได้เปิดม้วนกระดาษที่เขียนคำกล่าวพิธีเอาไว้ ช่วงเวลานี้นางไม่กล้าก้มลงมองด้านล่างเลยแม้แต่น้อย นางกลัวว่าตัวเองมองแล้วจะกลัวจนขาอ่อน ที่จริงแล้ว อาจด้วยยืนอยู่บนที่สูงเกินไป ผนวกกับลมพัดค่อนข้างแรง นางจึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าไม้ด้านล่างโคลงเคลงเล็กน้อย หาความปลอดภัยไม่ได้เลย
เมื่อเปิดม้วนกระดาษพิธีออกมา นางก็ต้องนิ่งอึ้งไปทันที
ในม้วนกระดาษขาวสะอาด ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องพูดถึงตัวหนังสือ แม้แต่รอยหมึกสักรอยก็ยังไม่มี!
ถาวจวินหลันมึนงงไปเล็กน้อย หากพูดตามขั้นตอนที่เตรียมไว้ ภายในกระดาษนี้ควรมีคำอวยพรที่นางอ่านมาแล้วสองรอบ แต่ตอนนี้…ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน
ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกเปิดปากแสร้งทำท่าเหมือนเริ่ม ‘อ่าน’ คำอวยพร ตอนนี้สิ่งเดียวที่น่ายินดีก็คือ ยังดีที่นางอ่านคำอวยพรมาก่อนแล้วสองรอบ มิเช่นนั้นตอนนี้คงต้องคิดสดขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเนียนผ่านไปได้
ถึงถาวจวินหลันพยายามนึกมากเท่าไร แต่คำอวยพรเหล่านั้นล้วนเป็นตัวหนังสือไม่คุ้นตา เข้าใจยาก แล้วยังมีบางคำอ่านยาก นางย่อมท่องตะกุกตะกัก
พอเป็นเช่นนี้คนด้านล่างย่อมจับสังเกตความผิดปกติได้
หลี่เย่เป็นคนแรกที่คิดว่าคำอวยพรน่าจะเกิดปัญหา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเรียกโจวอี้ให้เข้ามาหา “ไป ไปถามดูว่าใครเขียนคำอวยพร แล้วใครเป็นคนรับผิดชอบวางม้วนคำกล่าวในพิธี”
แต่ยังไม่ทันให้โจวอี้ไปถามเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็ท่องคำอวยพรออกมาจนหมด แม้จะบอกว่าติดขัดอยู่บ้าง ทั้งยังผสมสิ่งที่ตนเองคิดเข้าไปแก้ขัด แต่อย่างไรก็ยังผ่านไปได้
แต่คนที่ถูกหลอกผ่านไปได้นั้นมีเพียงคนส่วนใหญ่ แต่กลับหลอกคนอย่างฮ่องเต้ไม่ได้ ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เรียกให้หลี่เย่เข้ามาหา เอ่ยปากตำหนิ “นี่กำลังทำอะไร? แม้แต่คำอวยพรก็ยังอ่านได้ไม่ดีหรือ?”
หลี่เย่กำลังเป็นห่วงถาวจวินหลัน เมื่อถูกฮ่องเต้ต่อว่าใส่หน้าเต็มๆ ก็แอบไม่พอใจเล็กน้อย น้ำเสียงย่อมไม่อ่อนโยนเรียบนิ่งเหมือนยามปกติ ทั้งยังมีแฝงไว้ด้วยนำเสียงถกเถียง “น่าจะไม่ใช่ความผิดของถาวซื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อาละวาด เพียงแค่โบกมือให้หลี่เย่กลับไปนั่ง
ตอนนี้หลี่เย่ไม่สนใจแล้วว่าฮ่องเต้รู้สึกเช่นไร เห็นฮ่องเต้ไล่ตนเองกลับไปก็จากไปจริงๆ และไม่หันกลับมาอีก แต่การกระทำของเขากลับยิ่งส่งให้ฮ่องเต้ไม่พอใจมากขึ้น
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้ว่าด้านล่างเกิดเรื่องขึ้น นางเพียงผ่อนลมหายใจ โชคดีที่ตนเองยังมั่วผ่านด่านนี้ไปได้ จากนั้นนางถึงมองลงไปด้านล่าง พิธีไหว้พระจันทร์มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
ด้วยเพราะท้องฟ้ามืดสนิท จึงเดินลงไปเองไม่สะดวกนัก อย่างไรก็ยังต้องอกผายไหล่ผึ่งอยู่ตลอด หงหลัวกับปี้เจียวจึงก้าวขึ้นมาประคองถาวจวินหลันลงไป
ทั้งสองคนจับมือของถาวจวินหลัน แต่ก็ต้องตกใจทันที ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้เย็นมาก แต่มือของถาวจวินหลันกลับเย็นเฉียบคล้ายถูกแช่แข็งมาก็มิปาน อีกทั้งฝ่ามือยังเปียกชื้น เห็นชัดว่าเหงื่อออกไม่น้อย
ความจริงแล้วไม่เพียงแค่ฝ่ามือ แม้แต่แผ่นหลังก็ชื้นหน่อยๆ แต่สิ่งนี้นอกจากถาวจวินหลันแล้ว ก็ไม่มีใครรู้อีก
เพราะเมื่อครู่นี้ตื่นเต้นเกินไป แม้ตอนนี้ถาวจวินหลันยังมีสีหน้าสงบนิ่งสง่างาม แต่ความจริงแล้วกลับขาอ่อนแรงอยู่บ้าง เดินลงมาทีละก้าวกลับล่องลอยคล้ายไม่มีแรง
พอเห็นถาวจวินหลันเดินลงมา หลี่เย่ก็ไม่สนใจเรื่องอื่น ลุกขึ้นเดินออกไปรับ ไม่สนใจสายตามองมาอย่างประหลาดและเสียงกระซิบกระซาบของคนอื่น
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นภรรยาของเขา ต่อให้คนอื่นนินทาอย่างไร ก็เพียงแค่คำพูดลอยๆ เท่านั้น คงไม่อาจสร้างความวุ่นวายได้
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เดินมาหาตน ก็รู้สึกสบายใจและสงบขึ้นมาก ลอบยิ้มพร้อมจะเดินเข้าไปหาหลี่เย่ แต่ตอนที่นางเอื้อมมือไปหาหลี่เย่ เท้าของนางก็ว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าเสียงไม้หักดังมาจากที่ไหน ถาวจวินหลันรู้สึกเหมือนเหยียบอากาศเปล่าๆ ร่างตกลงไปด้านล่างทันที ด้านล่างของนางเป็นบันไดไม้หลายขั้น แม้เป็นไม้แต่ก็มีความแข็ง อีกทั้งยังมีขอบแหลม เมื่อล้มลงไปเช่นนี้ เพียงแค่หลับตาก็รู้ว่ามีผลอย่างไร
คนเริ่มกรีดร้องทันที เห็นชัดว่าตกใจไปแล้ว
ตอนที่ถาวจวินหลันได้ยินเสียงกรีดร้อง ตนเองก็ล้มลงกระแทกบันไดเข้าอย่างแรงแล้ว หลี่เย่เข้าไปประคองก็ไม่ทัน แต่กลับถูกพาล้มไปด้วยกัน
ปกติแล้วถาวจวินหลันล้มลงไปเช่นนี้ก็ควรต้องกลิ้งลงไป แต่ในช่วงวิกฤติอันตราย นางกลับเอื้อมมือไปคว้าท่อนไม้อย่างแน่น ดังนั้นถึงได้ช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจหยุดสนิทได้ ยังคงลื่นไหลลงไป
หลี่เย่จับถาวจวินหลันเอาไว้แน่น แต่ไม่กล้าขยับนางในทันที ถามอย่างเร่งร้อนว่า “เจ็บกระดูกหรือไม่?”
ตอนนี้ถาวจวินหลันรู้สึกเวียนหัว นางเพิ่งมองหลี่เย่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็กลิ้งลงไปอย่างแรงอีก ครั้งนี้ไม่เพียงนาง แม้แต่หลี่เย่เองก็ล้มลงไปเช่นกัน แผ่นไม้ใต้เท้าของพวกเขาอาจจะรับน้ำหนักไม่ไหว จึงหลุดออกมาทั้งแผ่น
เวทีที่ทำจากแผ่นไม้ นอกจากเสารับน้ำหนักสำคัญบางส่วนแล้ว ข้างใต้นั่นล้วนเป็นพื้นโล่งว่าง
ทั้งสองคนกลิ้งลงไปเช่นนี้ ก็แทบจะตกลงไปถึงด้านล่างสุด จากนั้นก็กระแทกลงบนพื้น ยังดีที่ข้างล่างเป็นโคลนนิ่ม และทั้งสองก็ไม่ได้ตกลงมาจากที่สูงมาก ดังนั้นนอกจากตกใจแล้ว ก็ยังไม่บาดเจ็บมากเท่าไร
ถาวจวินหลันหน้าผากกระแทกบาดเจ็บ ตอนที่ล้มลงมาก็กระแทกเข้ากับเสาหลักจนเวียนหัว ออกแรงดึงเสื้อของหลี่เย่ไว้ นางพูดแค่สองคำก็สลบไปทันที
หลี่เย่เองก็กลิ้งลงมาจนมึนงงเช่นเดียวกัน แต่ถาวจวินหลันดึงเขาเอาไว้ถึงได้สติทันที พอถาวจวินหลันพูดสองคำนั้นเขาก็แทบจะไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว
“เร็ว ไปตามหมอหลวงมา!” หลี่เย่ตะเบ็งเสียงสั่ง แต่เดิมเขาก็เสียงแหบแห้งอยู่แล้ว พอตะโกนเช่นนี้ก็ยิ่งดูดุร้ายและทิ่มแทงแปลกหู
ทุกคนตกใจนิ่งอึ้งไป แต่หลังจากนั้นก็ได้สติกลับมา สถานการณ์เปลี่ยนเป็นวุ่นวาย อย่างไรทุกปีก็มีการไหว้พระจันทร์ แต่เมื่อไรกันที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น? ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นไม่รู้ว่าจะตายหรือไม่?
บรรดานางกำนัลตกใจไปแล้ว ส่งเสียงร้องออกมาเสียงดัง
ฮ่องเต้นั้นนิ่งอึ้งไป แต่สุดท้ายเขาก็ยังคุมสถานการณ์เอาไว้ ตะโกนออกมาทันที “อย่ามัวแต่เอะอะเสียงดัง! รีบไปช่วยคน!” อย่างไรหลี่เย่ก็ยังเป็นลูกของเขา ตอนนี้หลี่เย่กลิ้งล้มไปใต้เวที แม้แต่ตัวก็ไม่เห็นแล้ว ฮ่องเต้จึงลนลานและกังวลใจ
กลิ่นหล่นลงไปง่ายดายก็จริง แต่พอจะเอาคนออกมากลับไม่ง่าย รูก็แค่นั้นจะพาคนหนึ่งขึ้นมาก็ลำบาก ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ถาวจวินหลันสลบไปแล้ว
วิธีเดียวที่ทำได้คือต้องรีบรื้อเวทีออกให้เร็วที่สุด หรือจะเลาะไม้ออกมาแผ่นหนึ่งเพื่อให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่กว่านี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนต้องใช้เวลาทั้งนั้น
ได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านบน หลี่เย่ก็โอบถาวจวินหลันเอาไว้แน่น ทั้งหงุดหงิดและกังวลใจ อดตะคอกเสียงดังไม่ได้ “หุบปากให้หมด! ห้ามเสียงดัง!”
น้อยครั้งที่หลี่เย่จะโมโห
ตอนนี้ทุกคนหวาดกลัวกันหมดแล้ว บรรยากาศจึงเงียบเป็นเป่าสาก
หลี่เย่พยายามกดความหวาดกลัวและกังวลเอาไว้ในใจ รีบสั่งการออกมาทันที “ไป ให้คนไปรื้อพื้นด้านล่างออกส่วนหนึ่ง ไม่ต้องใหญ่มาก ขนาดคนเดียวผ่านได้ก็พอ! แล้วก็รีบไปตามหมอหลวงมา! ชายารัชทายาทบาดเจ็บ!”
ความจริงแล้ว หลี่เย่สัมผัสได้ถึงเลือดอุ่นร้อนที่ไหลออกมาจากศีรษะของถาวจวินหลันแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่หลี่เย่กำลังสั่งการอย่างสงบนิ่ง ร่างกายของเขากลับสั่นน้อยๆ