บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 660 ตื่นเต้น
เมื่อวันที่นัดกันเอาไว้มาถึง ถาวจวินหลันก็ตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ หลังจากตื่นมาแล้วก็เหม่อมองออกไปทางประตูบ่อยครั้ง คิดว่าอีกครู่หนึ่งจะมีคนเดินเข้ามารายงานเรื่องที่ถาวจิ้งผิงไปตีกลองร้องทุกข์
ตราบจนถาวจวินหลันกินข้าวเช้าเสร็จ เตรียมตัวจะลุกไปทำความเคารพไทเฮา หวังหรูก็รีบเข้ามาในวังตวนเปิ่น พูดกับถาวจวินหลันอย่างยินดี “ใต้เท้าถาวตีกลองร้องทุกข์แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่องเต้ถามเรื่องนี้ด้วยตนเอง! พระชายาองค์รัชทายาท เกรงว่าคำใส่ร้ายของตระกูลถาวจะกระจ่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
การกระทำเอะอะตึงตังของหวังหรูทำให้ทั่วทั้งวังตวนเปิ่นรู้เรื่องนี้ในทันใด เพียงไม่นาน คนส่วนใหญ่ก็ดีอกดีใจมาแสดงความยินดีกับถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันดีใจจนน้ำตาไหล อดพูดพึมพำไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอยู่บนสวรรค์มองเห็นหรือไม่เจ้าคะ? สุดท้ายก็มีวันนี้! สุดท้ายก็มาถึงเจ้าค่ะ!”
เรื่องนี้เป็นความหวังของนางมาหลายปี ตั้งแต่วันที่ตระกูลถาวเจอเคราะห์ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบปีแล้ว นางเคยคิดว่าต้องรอจนนางแก่ชราผมหงอกไปก่อน และเคยหมดหวังไปมาก คิดว่าหาหลักฐานไม่พบ ชาตินี้ก็ไม่มีหวังกอบกู้ตระกูลได้อีก แต่วันนี้วันที่นางรอคอยมาถึงแล้ว
ความรู้สึกซาบซึ่งเช่นนี้ไม่อาจใช้คำพูดมาพรรณนาได้
ความยินดีเช่นนี้ แม้แต่ตอนที่นางได้แต่งตั้งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังไม่อาจเทียบได้
หลายปีผ่านไป สุดท้ายวันที่นางรอคอยก็มาถึง สุดท้ายนางก็ไปจุดธูปหนึ่งดอกต่อหน้าหลุมศพพ่อแม่ ปลอบประโลมดวงวิญญาณของพวกเขาบนสวรรค์ได้แล้ว
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือนางไม่อาจไปยื่นคำร้องแทนท่านพ่อพร้อมกับถาวจิ้งผิงได้ ทำได้แค่อยู่ในวังหลวงรอคอยข่าวดีที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถาวจวินหลันรีบถามหวังหรูว่า “ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ได้แต่งตั้งคนสืบเรื่องนี้แล้วหรือยัง?”
หวังหรูยิ้มตอบว่า “ตอนนี้เพิ่งเข้าไป ยังไม่ทราบอะไร พระชายาองค์รัชทายาทอดทนรออีกครู่ ขอให้บ่าวได้ไปสืบอีกครั้ง หากมีข่าวดี บ่าวจะต้องรีบกลับมารายงานพระชายาองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
คราวนี้ถาวจวินหลันจึงพูดเร่งหวังหรู “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไป อย่าได้เสียเวลา”
เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ถาวจวินหลันจึงไม่ได้ไปทำความเคารพไทเฮา เพียงให้คนไปบอกว่าตนเองจะไปช้าหน่อย จากนั้นก็รอฟังข่าวอยู่ที่วังตวนเปิ่นด้วยจิตใจสงบ
ในขณะเดียวกัน ทางด้านฮองเฮาก็ได้รับข่าวเช่นเดียวกัน นางไม่ได้ยินดีเหมือนฝั่งของถาวจวินหลัน แต่ลนลานทำอะไรไม่ถูก “อยู่ดีๆ ทำไมถึงพลิกคดีนี้ขึ้นมาอีก?”
ย่อมไม่มีใครตอบฮองเฮา
สุดท้ายฮองเฮาก็เรียกพบหวังฮูหยิน
“ในเมื่อคนตระกูลถาวตีกลองร้องทุกข์ คิดว่าต้องมีหลักฐานแล้วเป็นแน่” ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังความกังวลบนใบหน้าไม่ได้ “เจ้าคิดว่าตอนนี้ควรทำเช่นไร?”
หวังฮูหยินก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นเดียวกัน คิ้วขมวดเป็นปม แต่เมื่อได้ยินคำถามของฮองเฮา นางก็ทำได้แค่หัวเราะขมขื่น “จะทำอย่างไรได้อีกเพคะ? ตอนนี้ทำได้แค่เดินหนึ่งก้าวดูหนึ่งก้าวแล้วเพคะ ตอนนี้พวกเรายังถูกกักอยู่ในวัง ไม่อาจช่วยได้…”
ฮองเฮาสูดหายใจลึก หลับตาสนิท ก่อนลืมตาอีกครั้งด้วยแววตาประกายความโหดเ**้ยม “พวกเขาบีบให้ข้าต้องลงมือ ลองดูสิว่า สู้กันจนพินาศไปทั้งสองฝ่ายแล้วจะทำไม?”
หวังฮูหยินเห็นฮองเฮามีท่าทีเช่นนี้ก็ตกใจยิ่ง รีบก้มหน้าลงไปไม่กล้าให้ฮองเฮาเห็นความหวาดหวั่นของตัวเอง
ฮองเอาคิดและเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา กระซิบกระซาบพูดเสียงเบาสองสามคำ ให้เขาออกไปส่งข่าวให้ตระกูลหวัง สุดท้ายก็หันมากระซิบข้างหูหวังฮูหยินอีกเล็กน้อย
แต่ที่ฮองเฮาไม่รู้ก็คือความเคลื่อนไหวทุกอย่างของนางล้วนมีคนจับจ้อง ทางด้านหวังฮูหยินเพิ่งเข้าไปในวังของนาง ถาวจวินหลันก็ได้รับข่าวแล้ว
ได้ยินนางกำนัลมารายงาน ถาวจวินหลันก็ยิ้มบางๆ “อย่าให้คนของฮองเฮาออกจากวังหลวง ทางด้านหวังฮูหยินด้วย อย่าให้ข่าวไหลออกไปนอกวัง”
ฮองเฮาคิดช่วยตระกูลหวัง คิดจะใช้แรงน้อยนิดขวางทางน้ำเชี่ยว แต่นางไม่อาจเปิดโอกาสนี้ให้ฮองเฮา และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงต้องเอาสิทธิ์ดูแลกิจในวังมา ก็เพื่อใช้งานวันนี้
ขอแค่สิทธิ์ดูแลกิจในวังอยู่ในมือนาง ฮองเฮาก็อย่าหวังจะได้แจ้งข่าวกับด้านนอกโดยง่ายเลย และยิ่งไม่ต้องคิดจะดิ้นรนเพื่อตระกูลหวัง
หากฮองเฮารู้เรื่องเหล่านี้ คิดว่าคงโกรธจนเป็นบ้าไปกระมัง?
ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาคงร้อนใจเหมือนโดนมดร้อยตัวกัด ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ และสบายใจมากยิ่งขึ้น
ภารกิจสืบคดีนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้ตกมาที่หลี่เย่ แต่มอบให้กับใต้เท้าเฉิน แม้ใต้เท้าเฉินเป็นตระกูลดองกับตระกูลถาว แต่ก็ไม่มีคนสงสัยความเที่ยงตรงไม่ทุจริตของใต้เท้าเฉิน
อย่างไรภาพพจน์ของใต้เท้าเฉินก็เป็นที่ประจักษ์ ใครจะกล้าสงสัย?
ถาวจวินหลันย่อมพอใจผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก
หลังจากนี้ก็เพียงแค่รอ ยังไงก็รอมาเป็นสิบปีแล้ว จะรออีกแค่ไม่กี่วันแล้วนับว่าเป็นอะไร? อย่างน้อยตอนนี้ก็มองเห็นความหวัง แต่ก่อนหน้านี้นั้นริบหรี่เหลือเกิน
ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องขององค์หญิงเก้าขึ้นมา จึงถามหลี่เย่ว่า “สืบพบแล้วหรือว่าใครลงมือกับองค์หญิงเก้า?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “คนที่อยู่เบื้องหลังยังสืบไม่พบ แต่จากไล่ไปตามเบาะแสที่มีก็พอจะพบเรื่องที่น่าสนใจ”
“เพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย แสดงท่าทีให้หลี่เย่รีบพูด แต่ก็ยังไม่หยุดมือใช้ไม้จิ้มแตงหวานจากถาดใสให้หลี่เย่ทาน แตงหวานเหล่านี้ล้วนถูกส่งมาจากโหลวหลาน เดินทางผ่านเส้นทางหลายพันลี้มาถึงเมืองหลวง มีเพียงในวังหลวงเท่านั้นที่จะได้ทาน แต่ก็อร่อยมากจริงๆ หวานจนเหมือนใช้น้ำตาลเคลือบเอาไว้ นางไม่ค่อยชอบกิน แต่หลี่เย่กับซวนเอ๋อร์ชอบมาก
หลี่เย่กินแตงหวานเข้าปากไปทั้งชิ้น เคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงได้งึมๆ งำๆ พูดต่อไป “ญาติผู้น้องของข้าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปทันที ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่หยุดมือ หลี่เย่ทานแตงหวานทั้งจานโดยเร็ว แล้วถึงได้มีโอกาสเอ่ยปากพูด หลังจากดึงไม้จิ้มออกจากมือของถาวจวินหลันที่กำลังเหม่อลอย เขาก็พูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่คาดว่านางคงร่วมมือกับคนอื่น และได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้”
“เพคะ นางคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว นางรู้ว่าหม่อมฉันต้องมัวแต่เป็นห่วงองค์หญิงเก้า ถึงได้ฉวยโอกาสลงมือกับองค์ชายเก้า เพราะตอนนี้หม่อมฉันคงไม่มีเวลาไปดูองค์ชายเก้า…” ถาวจวินหลันพูดออกมาช้าๆ ในใจนั้นหนาวเหน็บ “เรื่องนี้คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคงเป็นนาง แต่ท่านมั่นใจหรือว่านางไม่ได้วางแผนเอง แต่เป็นคนอื่น”
“นางไม่เก่งขนาดนั้น” หลี่เย่พูดออกมาเรียบๆ พลางยื่นมือไปจิ้มหว่างคิ้วของถาวจวินหลัน เอ่ยเตือนด้วยความจนปัญญา “เอาแต่ขมวดคิ้วตลอด ตรงนี้มีรอยย่นแล้ว”
ถาวจวินหลันตกใจ รีบลูบหว่างคิ้วทันที จับไปจับมาก็พบว่ายังคงเรียบเนียนเหมือนเดิม จึงถลึงตาใส่หลี่เย่ไปทีหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าขมวดคิ้วเช่นนั้นอีก อย่างไรนางก็ยังใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ ใต้หล้านี้มีสตรีคนไหนไม่ชอบความสวยงามเล่า?
หลี่เย่ถึงได้พูดต่อด้วยความพอใจ “ตระกูลกู้ไม่มีทางสนับสนุนให้นางทำเรื่องเช่นนั้น ต่อให้หลิ่วฮูหยินสนับสนุน แต่หลิ่วฮูหยินก็ไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่กู้ซีทำได้ ก็แค่เพียงขั้นตอนการลอบแจ้งข่าวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น นางไม่มีความสามารถทำได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสงสัยนางเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้นท่านคิดว่าใครเพคะ?” ถาวจวินหลันเค้นถามต่อไป คิดว่าหลี่เย่น่าจะรู้อยู่แล้ว ตัวนางเองยังไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องนี้ นางแอบชื่นชมหลี่เย่อยู่ในใจเสียมากมาย คิดว่าหลี่เย่ทำได้ทุกอย่าง สิ่งที่นางไม่รู้ หลี่เย่ก็รู้หมดทุกอย่าง
หลี่เย่ถูกสายตาปลาบปลื้มของถาวจวินหลันมองจนรู้สึกจนอึ้งและดีใจ สุดท้ายก็ทำให้นางผิดหวังไม่ได้ จึงพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา “ตระกูลมีอำนาจและมีความแค้นกับพวกเรา ตระกูลหวัง จวงอ๋อง อู่อ๋อง และเฝินหยางโหว”
ถาวจวินหลันคิดการคาดเดาของหลี่เย่อย่างละเอียด ก็คิดว่าต้องเป็นแผนการของบรรดาคนเหล่านั้น อย่างไรคนที่กล้าลงมือกับองค์หญิงเก้าก็ไม่ได้มีมากนัก และคนที่ทำเรื่องนี้ได้อย่างไร้ร่องรอยก็ไม่เยอะเช่นกัน
พอเป็นเช่นนี้ขอบเขตก็ลดลงขึ้นเยอะ แต่นางยังไม่พอใจ ถามหลี่เย่ต่อไป “ถ้าเช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นตระกูลไหนได้มากที่สุดเพคะ?”
ครั้งนี้หลี่เย่กลับไม่ยอมพูด เพียงแค่ใช้นิ้วเรียวยาวหยิบองุ่นสีม่วงเข้มขึ้นมา จัดการปอกเปลือกส่งไปข้างปากถาวจวินหลัน รอจนถาวจวินหลันกินไปแล้ว เขาถึงพูดช้าๆ “พอแล้ว ไม่ถามแล้ว เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน อย่าพูดออกไปมั่วๆ จะดีกว่า หากใส่ร้ายคนอื่นคงไม่ดี” ต่อให้ใส่ร้ายคนก็ไม่เป็นอะไร แต่หากทำให้ความคิดของตนเองต้องผิดพลาดนั่นไม่ดีแน่
ถาวจวินหลันย่อมไม่พอใจกับคำตอบเช่นนี้ แต่เดิมยังคิดจะถามอีก แต่ปากยังไม่ว่าง รอจนนางกลืนองุ่นลงไปแล้ว อีกลูกหนึ่งก็ถูกส่งมาอีก พอเป็นเช่นนี้นางก็ไม่มีโอกาสได้ถามอีก
รอจนกินองุ่นพวงหนึ่งหมดแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ถามอีก เพียงแค่ยิ้มพูดถึงเรื่องที่วันนี้นางให้คนปิดประตูวังให้หลี่เย่ฟัง เล่าเรื่องที่กักคำพูดของฮองเฮาเอาไว้ภายในวัง
ได้ยินถาวจวินหลันพูดแฝงความสะใจเบาๆ หลี่เย่ก็ตามน้ำเอ่ยชื่นชมนางไป “มิน่าเล่า ตอนนั้นเจ้าถึงอยากได้สิทธิ์จัดการกิจในวัง คราวนี้ไทเฮารู้เข้าก็คงชมเจ้าเช่นกัน”
ถาวจวินหลันพอใจจนเหลิง ก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้น พูดยิ้มๆ ว่า “วันนี้ท่านต้องดื่มกับข้าสักสองแก้วนะเพคะ ดูสิ มีแต่เรื่องดีทั้งนั้น”
หลี่เย่ยิ้มรับ “ข้าจำได้ว่าในห้องเก็บของยังมีเหล้าดอกเหมยอีกไหหนึ่ง ไม่สู้เอามาชิมวันนี้เถิด” เหล้าดอกเหมย ไม่เพียงแค่สีเหมือนดอกเหมย แม้แต่กลิ่นก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกเหมย พอเข้าปากไปแล้วรู้สึกหอมหวาน แต่เพราะใช้เวลานานเกินไป ดังนั้นจึงมีผลิตน้อย
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เพคะ วันนั้นพวกเราไม่เมาไม่เลิกเพคะ!”
ถาวจวินหลันไม่ได้คิดว่าวันนี้นางยินดีจนผิดปกติไปเล็กน้อย การกระทำ การพูดจาก็ต่างไปจากเดิม รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่มีที่เปรียบ และหลี่เย่ไม่เพียงแค่ไม่ห้าม แล้วยังเอ็นดูคล้อยตาม นี่ก็เป็นเหตุทำให้วันนี้นางดื่มจนเมา