บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1475 ระดับสมบัติศักดิ์สิทธิ์
1475 ระดับสมบัติศักดิ์สิทธิ์
……………………………………………………………………..
บทที่ 1475 ระดับสมบัติศักดิ์สิทธิ์
หลังจากอูถิงถูกกระทืบลงไป เขาก็คิดจะดื้อดึงพยายามบินขึ้นอีก ร่างรุดหน้าขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว หมายจะต่อสู้ต่อ
ตู้ม!
ครั้งนี้ เฉินซีเพียงแต่ผลักฝ่ามือออกไปตรงหน้า พลังไร้รูปพุ่งออกไปล้อมกายอูถิงดั่งเมฆครึ้ม
ตู้ม!
ครั้งนี้มันซัดเข้าร่างอีกฝ่ายเต็ม ๆ อูถิงถูกซัดกระแทกพื้นอีกครั้ง กระดูกทั่วร่างแตกละเอียด กระอักเลือดคำใหญ่ออกมา ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง!
ราชันเซียนพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
“เฉินซี เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก! นิกายอำนาจเทวะแผ่ขยายอำนาจไปทั่วสามภพแล้ว เจ้ากล้าหือกับพวกข้า อย่างไรก็ต้องไม่ตายดี!” อูถิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดที่เจือทั้งแววโกรธและเกลียดชัง
ฉัวะ!
เฉินซีไม่เสียเวลากับอูถิงแม้สักนิด ชายหนุ่มตวัดกระบี่ในมือสะบั้นศีรษะอูถิงทันที เลือดสีทองของราชันเซียนกระฉูดออกมา ดูเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวแต่ก็งดงามไปพร้อมกัน
แต่ถึงกระนั้น อูถิงก็ยังไม่ได้ตายสนิท ยังคงก่นด่าออกมาได้ “ไอ้มดปลวกบัดซบ! เจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างไร? หากความวิบัติยังอยู่ แก่นของมันก็ยังอยู่!”
เสียงแหลมดังก้องไปทั่วฟ้า ศพไร้หัวเริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัว
“โอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติ? หึ!” เฉินซีไม่ได้ประหลาดใจ เขาเดินเข้าไปคว้าร่างของอูถิงขึ้นมา จากนั้นกระแสพลังเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ทะลวงเข้าไปในซากศพนั้น
ตู้ม!
ทันใดนั้น ซากร่างของอูถิงก็ราวกับถูกจุดไฟเผา ทั้งพลัง แก่น จิตวิญญาณ พลังชีวิต ภายในนั้นถูกทำลายล้าง เหลือไว้เพียงกองเถ้าธุลี จากนั้นก็ปลิวหายไป
“จ… จุดจบ… เจ้า…” คำสั่งเสียสุดท้ายของอูถิงดังก้องฟ้า มันเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความหวาดกลัว สุดท้ายก็โดนลมพัดพาหายไป
“เป็นราชันเซียนแล้วอย่างไร? ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย”
เคร้ง!
ครั้งนี้ เฉินซีสังหารอูถิงและราชันเซียนครึ่งขั้นอีกสองคนจากนิกายอำนาจเทวะไป น่าเสียดายที่สมบัติของพวกเขาไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่ เพราะนอกจากหอกทลายวิญญาณเขียวที่มีมูลค่าสูงแล้ว ก็มีเพียงวัตถุดิบเซียน สมุนไพรอมตะ และสมบัติอย่างอื่นเท่านั้น
ก็ไม่ใช่ว่าสมบัติเหล่านี้จะไม่มีค่าเสียทีเดียว แค่พวกมันไม่น่าสนใจในสายตาของเฉินซีก็เท่านั้น
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเป็นตอนที่เพิ่งมาถึงภพเซียน สมบัติทุกชิ้นที่ได้มาในวันนี้คงทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งราชันเซียนแล้ว เขาจะมองไกลไปมากกว่าสามภพ สมบัติธรรมดาจนไม่สามารถต้องตาต้องใจอีกต่อไป
หอกทลายวิญญาณเขียวไม่เลวเลย มันเป็นสมบัติระดับว่างเปล่าขั้นสุดยอด ขาดอีกนิดก็มีอำนาจเทียบเท่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์แล้ว สามารถนำไปทำเป็นยันต์ศัสตราได้… เฉินซีถือหอกของอูถิงไว้ในมือ มองสังเกตมันครู่หนึ่ง จากนั้นเก็บไป
เขาบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งยันต์อักขระกับเต๋าแห่งกระบี่ ไม่ได้บ่มเพาะเต๋าแห่งหอก ดังนั้นแม้ว่าหอกเล่มนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าหายากเพียงใด แต่ในสายตาของเขามันก็เป็นแค่ของหายากที่เอามาทำยันต์ศัสตราได้ก็เท่านั้น
…
ตอนนี้เฉินซีรู้แล้วว่าสมบัติอมตะนั้นแบ่งออกเป็นระดับธรรมดา ระดับวิญญาณทมิฬ ระดับจักรวาล ระดับวีรบุรุษ และระดับว่างเปล่า เทียบเท่าได้กับขอบเขตเซียนสวรรค์ เซียนลึกลับ เซียนทองคำ เซียนปราชญ์ และราชันเซียนตามลำดับ
แต่ในด้านการใช้ประโยชน์สมบัติอมตะนั้น ไม่ได้มีข้อจำกัดเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่น ราชันเซียนที่มีทรัพยากรมากอาจมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ส่วนพวกที่ไม่ค่อยมีก็อาจใช้แค่สมบัติอมตะระดับว่างเปล่าเท่านั้น
แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์นั้นแยกออกเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์และสมบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติ
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์นั้นถูกสร้างขึ้นจากฝีมือทวยเทพ มีความสามารถหลากหลายแตกต่างกัน ส่วนสมบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นจากความวิบัติตามธรรมชาติ จะมีอยู่จำนวนไม่มาก แต่ละชิ้นมีแต่ต้องได้มาเพราะโชคเท่านั้น
หากเทียบกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติแล้ว สมบัติศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์ดูจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป อำนาจของมันขึ้นอยู่กับตัวสมบัติศักดิ์สิทธิ์เอง ควบรวมกับพลังของผู้ใช้
ตัวอย่างเช่น หม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์ที่จักรพรรดิอวี่ยุคบรรพกาลสร้างขึ้นมา มันอาจด้อยกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติ แต่ก็เป็นสิ่งที่กักเก็บชะตากรรมของทั้งโลกบรรพกาลเอาไว้ได้!
ยกตัวอย่าง ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ของเฉินซีเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความวิบัติ เดิมที่เป็นสมบัติที่ส่งต่อกันจากนายท่านเขาเทพพยากรณ์ฝูซีมาถึงมือศิษย์พี่หญิงหลียาง เพิ่งส่งต่อมาถึงมือเฉินซีเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อนำหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาเทียบกับตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ ก็ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้เลยว่าชิ้นไหนเหนือกว่ากัน
แน่นอนว่าด้วยพลังของเฉินซีในปัจจุบัน แม้จะไม่อาจดึงอำนาจสูงสุดของตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ใช้มันช่วงชิงจังหวะได้เปรียบในการต่อสู้ได้
ที่สำคัญคือ ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ไม่ใช่เพียงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ได้ทั้งป้องกันและโจมตีเท่านั้น แต่ยังสามารถกักชะตากรรมแห่งสวรรค์ เต๋ารู้แจ้ง พลังมงคล และสิ่งของจับต้องไม่ได้อีกหลายอย่าง จุดนี้เป็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
เท่าที่เขารู้มา ระดับและอำนาจของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แยกง่ายขนาดนั้น ตัวอย่างเช่นศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่กับจ้าวไท่ฉือเป็นเทพ แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็มีอยู่มากโข สุดท้ายแล้ว อย่างแรกก็เป็นเพราะความต่างของพลังบ่มเพาะ แล้วก็คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาใช้ด้วยเช่นกัน
คงจะมีแต่ตอนที่เฉินซีไปถึงขอบเขตเทวาแล้วถึงจะเข้าใจอำนาจของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแท้จริง
“เฉินซี… เจ้า… เมื่อครู่เจ้าสังหารราชันเซียนไปหรือ?” ทันใดนั้น ข้างหูของเฉินซีก็ได้ยินเสียงหนึ่ง เขาหันไปมองก็เห็นจั่วชิวเฟยหมิงกำลังมองมาด้วยความประหลาดใจและตกตะลึง
เห็นได้ชัดว่าศึกเมื่อครู่ทำให้จั่วชิวเฟยหมิงมาถึงที่นี่
ยังไม่ใช่เท่านั้น เหล่าผู้อาวุโสขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นตระกูลจั่วชิวก็ถูกปลุกสะดุ้งเช่นกัน พวกเขายืนอยู่ด้านข้างจั่วชิวเฟยหมิงแล้วใช้สายตาประหลาดมองเฉินซี เหมือนไม่เคยรู้จักคนคนนี้มาก่อน
“ใช่แล้ว” เฉินซีไม่ปิดบัง อย่างไรพวกเขาก็เห็นไปแล้ว จะเลี่ยงไปก็เปล่าประโยชน์
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ได้ยินก็อึ้งไป ในใจบังเกิดอารมณ์ดั่งคลื่นพายุ ราชันเซียนครึ่งขั้นสังหารราชันเซียนได้ในศึกปะทะกันตัวต่อตัวหรือ? หากคนอื่นรู้เข้า จะมีใครในสามภพเชื่อบ้าง?
จะว่าที่พวกเขาตกตะลึงถึงเพียงนี้ก็ไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าแม้ว่าราชันเซียนครึ่งขั้นจะห่างจากราชันเซียนเพียงครึ่งขั้น แต่ช่องว่างนี้ก็เหมือนหุบเหวกว้างที่ขวางระหว่างสองฝั่ง ตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ นอกจากยอดฝีมืออันน่าเกรงขามที่กำเนิดขึ้นมาจากความวิบัติแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามหุบเหวนี้ได้อีกเลย
นับเป็นปาฏิหาริย์ยิ่ง!
“ผู้อาวุโส พวกท่านกลั่นและซึมซับพลังชิ้นส่วนโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาสำเร็จแล้วหรือ?” เฉินซีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ต่อให้ผ่านสถานการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ชายหนุ่มไม่ชินกับการถูกมองเช่นนี้สักที มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเป็นตัวประหลาด
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ สะดุ้งคล้ายตื่นจากฝัน เผยสีหน้าซาบซึ้งแล้วพยักหน้าให้
“ที่สามารถคว้าชะตากรรมแห่งสวรรค์มาได้ในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าแท้ ๆ”
“ใช่แล้ว ได้โชคดีมาในโชคร้าย ต่อไปย่อมขึ้นขอบเขตราชันเซียนได้ไม่ยาก เป็นเพราะเจ้าเลยเฉินซีที่เราโชคดีเช่นนี้!”
ตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายจากตระกูลจั่วชิวหายตกใจแล้ว พากันกล่าวขอบคุณเฉินซีแทน ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
เฉินซีจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้ออีกครั้ง “ก่อนหน้านี้มีคนสามคนจากนิกายอำนาจเทวะปรากฏตัวที่นี่ ต้องมาเพื่อสังหารพวกเราเป็นแน่ เช่นนี้แล้วสถานการณ์ในภพเซียนคงจะไม่ปลอดภัย พวกท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
เฉินซีไม่ได้พูดไปโดยไร้เหตุผล ประตูนั้นยังตั้งเด่นอยู่บนท้องฟ้า เหนือโลกทั้งหลายในจักรวาล หมายความว่าความวิบัติครั้งนี้ยังไม่จบ
แต่การปรากฏตัวของพวกอูถิงหมายความว่านิกายอำนาจเทวะเริ่มฉวยโอกาสกระจายอำนาจตนแล้ว นับเป็นความวิบัติของทุกชีวิตในสามภพเลยทีเดียว
เขาเดาว่าเมื่อนิกายอำนาจเทวะที่วางแผนลับมาตลอดหลายปีเริ่มกระจายอำนาจลงมาที่โลกนี้เมื่อไหร่ คงได้มีฝนโลหิตนับครั้งไม่ถ้วนเจิ่งนองเป็นแน่
ถึงตอนนั้น ไม่ใช่แค่กองกำลังในภพเซียนเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ กระทั่งยมโลกและภพมนุษย์ก็อาจถูกนิกายอำนาจเทวะรุกล้ำเข้าไปได้
แน่นอนว่าเมื่อเขาถามเช่นนี้ออกไป จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ จึงตกใจอยู่บ้าง ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ไอ้หยา ตระกูลจั่วชิวกลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อดึงความวิบัติสู่สามภพไปเสียแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลล้วนล้มหายตายจาก ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คน มีหรือจะรอดความวิบัติครั้งนี้ไปได้?” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งถอนหายใจออกมาด้วยความกังวล
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เองก็เงียบไป ผู้นำตระกูลจั่วชิวคนปัจจุบัน จั่วชิวเฟิง ก็ถูกสังหาร จั่วชิวหวงหลินก็ตาย ส่วนคนที่อยู่ขอบเขตเทวาอีกสองคนอย่างจั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวาก็ไม่อยู่แล้ว…
อาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลจั่วชิวได้หายไปมากหลังจากเกิดความวิบัติขึ้น ถึงขนาดที่รากฐานของตระกูลสั่นคลอนเลยทีเดียว!
“เรื่องด่วนในมือตอนนี้คือการกลับตระกูลไปปลอบประโลมจิตใจของคนในตระกูลเสียก่อน จากนั้นเลือกยอดฝีมือสักคนมารับช่วงต่อหน้าที่สำคัญชั่วคราว เช่นนี้เราก็จะสามารถรักษาตระกูลไว้ได้!” จั่วชิวเฟยหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะปล่อยให้มรดกของตระกูลจั่วชิว ซึ่งส่งต่อกันมานานนับชั่วอายุคนถูกทำลายไปไม่ได้!”
ผู้อาวุโสทุกคนใจสั่น ใบหน้าปรากฏความมุ่งมั่นขึ้นมาเช่นกัน
“เฉินซี…” จั่วชิวเฟยหมิงพลันหันมามองเขา นัยน์ตาเจือแววความหวัง “เจ้า… อยากกลับตระกูลจั่วชิวไปกับพวกเราหรือไม่?”
ฟึบ!
ทันใดนั้น สายตาของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็จ้องไปทางเฉินซี ล้วนเป็นสายตาคาดหวังเช่นกัน
ตอนนี้ตระกูลจั่วชิวยังขาดผู้นำ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เฉินซีก็เหมาะจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลอย่างยิ่ง! ถึงเขาจะสกุลเฉิน แต่สายเลือดครึ่งหนึ่งของตระกูลจั่วชิวก็ไหลเวียนอยู่ในร่าง อีกทั้งเขายังเป็นหลานของผู้นำคนก่อนหน้า รวมทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากผู้อาวุโสเหล่านี้ ก็มากพอจะดันเฉินซีขึ้นสู่ตำแหน่งได้แล้ว
เฉินซีชะงักไป จากนั้นส่ายหน้า “ตอนนี้สถานการณ์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเองก็ยังไม่สงบ ข้ารับคำสั่งมาจากศิษย์พี่เหมิงซิงเหอ คงต้องกลับไปที่สำนักก่อน”
ชายหนุ่มรู้เจตนาของจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ดี แต่เขาคงไม่อาจขึ้นคุมอำนาจตระกูลจั่วชิวได้ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยมองตระกูลจั่วชิวดีเลย
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ได้ยินก็ได้แต่รู้สึกเสียดาย
“แต่หากพวกท่านพบปัญหาอะไร ก็มาหาข้าที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้” เฉินซีเอ่ยเสียงจริงจัง
“เอาละ ก็เอาตามนั้น” จั่วชิวเฟยหมิงสูดลมหายใจแล้วกดความเศร้าไว้ในหัวใจ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
แม้ว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะรู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่ก็รู้ว่าเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว อย่างไรเฉินซีในตอนนี้ก็เอาไปเทียบกับแต่ก่อนไม่ได้ คนผู้นี้ไม่เพียงกำลังจะขึ้นเป็นเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น แต่ยังเป็นถึงศิษย์เอกแห่งเขาเทพพยากรณ์ด้วย!
มีหรือตระกูลจั่วชิวจะสามารถรั้งยอดฝีมือเช่นนี้ไว้ในตระกูลได้?