บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1467 ท้าทายสวรรค์
บทที่ 1467 ท้าทายสวรรค์
……………………………………………………………………..
บทที่ 1467 ท้าทายสวรรค์
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ นอกจากเที่ยอวิ๋นไห่และปราชญ์เฒ่า เหมิงซิงเหอ หลียาง จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย ฉือฉางเซิง หยวนเชอ คงหลิน อวี่ฉือว่าน อวิ๋นซู่ สืออวี๋ และเซียงหลิวหลีต่างก็บรรลุถึงขอบเขตเทวา
มีทั้งหมดสิบสามคน
คนอื่น ๆ ล้วนอยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทวา
ตามที่หลียางกล่าวไว้ เมื่อภัยพิบัตินี้ปะทุขึ้น ผู้ที่บรรลุขอบเขตเทวาจะเป็นคนแรกที่ต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น เว้นเสียแต่ว่าตัวตนที่ขอบเขตเทวาในสามภพทั้งหมดจะถูกทำลายล้าง มิเช่นนั้น ภัยพิบัตินี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ที่ต่ำกว่าขอบเขตเทวาเป็นการชั่วคราว
ดังนั้นทันทีที่เที่ยอวิ๋นไห่กล่าวจบ สีหน้าของเหล่าผู้ที่บรรลุขอบเขตเทวาก็กลายเป็นเคร่งขรึม พวกเขาต่างโคจรพลังบ่มเพาะ ควักสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วสะสมพลังพลางเฝ้ารอ
“แดนโลกาวินาศอยู่หลังประตูบานนั้นบนท้องฟ้า หากเราสามารถผ่านมันไปได้ เราก็จะมีโอกาสเข้าสู่แดนเทพโบราณ แต่ถ้าเราไม่สามารถผ่านมันไปได้ เราก็จะพินาศหรืออาจถูกคุมขังอยู่ภายในนั้นไปชั่วนิรันดร์” เที่ยอวิ๋นไห่ควบคุมค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เพื่อต้านทานโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ถล่มลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พลางกล่าวผ่านกระแสปราณเพื่อเตือนทุกคนว่าต้องระวัง
“ส่วนศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าตอนนี้” ขณะที่กล่าว เที่ยอวิ๋นไห่ดูเหมือนจะตระหนักถึงบางเรื่อง จึงกล่าวกับเฉินซีผ่านกระแสปราณเพียงผู้เดียว “ศิษย์น้องเล็ก แม้ว่าคุกเนตรเซียนจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็มีสถานที่ที่ปลอดภัยอยู่ภายในนั้น เจ้าสามารถไปที่นั่นได้หากภัยพิบัติยังคงอยู่ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว พลันพยักหน้ารับ
“ศิษย์น้องเล็ก นี่คือจานหยกวิญญาณดาราแห่งเขาเทพพยากรณ์ของเรา เจ้าจะสามารถไปถึงที่ตั้งของนิกายได้โดยอาศัยสมบัติชิ้นนี้ หลังจากที่เราแยกทางกันในวันนี้ ข้าไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อไร ดังนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” ทันใดนั้น หลียางกล่าวพลางส่งจานหยกที่เต็มไปด้วยแสงของดวงดาวอันเย็นเฉียบให้กับเฉินซี จากนั้นก็เผยสีหน้าเศร้าสลดและไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับศิษย์น้องของตน
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว พลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านก็จะจากไปเช่นกันหรือ?”
“มันไม่ใช่แค่ข้า เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาเทพพยากรณ์ทั้งหมดก็กำลังจะจากไป สุดท้ายแล้วไม่มีใครสามารถหลีกหนีภัยพิบัตินี้ได้…” หลียางถอนหายใจเบา ๆ และรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
จู่ ๆ ความรู้สึกที่ซับซ้อนก็ผุดขึ้นในใจของเฉินซี ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ พลางเก็บจานหยกวิญญาณดาราไป “ศิษย์พี่อย่าได้เป็นห่วง ข้าจะดูแลนิกายเอง”
หลียางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งหมดนี้เป็นเพียงของภายนอกเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป สักวันหนึ่ง ภัยพิบัตินี้จะส่งผลต่อเจ้าในที่สุด บางทีเราอาจจะได้พบกันอีกครั้งในแดนเทพโบราณ”
“ศิษย์น้องเล็ก ครั้งนี้ข้าจากนิกายไปอย่างกะทันหัน และมีตำราของข้าหลายเล่มยังคงอยู่ในนิกาย หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็ช่วยดูแลรักษาพวกมันและอย่าปล่อยให้พวกมันถูกทำลายในภัยพิบัตินี้” ปราชญ์เฒ่ากล่าวกำชับ
“ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” เฉินซีพยักหน้าและตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ศิษย์น้องเล็ก ในนิกายยังมีอักขระกระดูกต้นกำเนิดที่ข้ารวบรวมมาจากสามภพในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และมีเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามมากมายในหมู่พวกมัน เจ้าจงรับมันไว้ทั้งหมดและไปศึกษาดู ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เที่ยอวิ๋นไห่ระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วกำชับเฉินซีเช่นกัน
“ศิษย์น้องเฉินซี เจ้าต้องดูแลสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าให้ดีหลังจากที่ข้าจากไป มันเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเต๋าก่อตั้งขึ้นมาอย่างอุตสาหะ ซึ่งเจ้าห้ามให้ผู้อื่นล่วงล้ำมันเป็นอันขาด และเมื่อใดเจ้าจะมุ่งหน้าสู่แดนโลกาวินาศ เจ้าควรหาผู้สืบทอดที่เชื่อถือได้ เพื่อรับตำแหน่งเจ้าสำนักแทนเจ้า ด้วยวิธีนี้ มันจะถูกสืบทอดไปตลอดกาล และเราจะไม่ผิดต่อจักรพรรดิเต๋าที่ได้ก่อตั้งสำนัก” ในขณะนี้ เหมิงซิงเหอก็กล่าวเช่นกัน และเขาได้ส่งตราประทับหยกสัมฤทธิ์ที่เก่าแก่มากให้กับเฉินซี
ตราประทับหยกนี้มีขนาดเพียงกำปั้น มันถูกแกะสลักด้วยภาพขนาดใหญ่ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แผ่นดิน และอื่น ๆ มันเปล่งพลังงานของชะตากรรมอันไร้ขอบเขต
นี่คือสุดยอดสมบัติของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ตราประทับหยกนพกระแสเป็นสมบัติสำคัญที่สยบชะตากรรม และสืบทอดมานานนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ตราประทับหยกนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงมาเป็นเวลานาน โดยชะตากรรมของเต๋าสวรรค์ให้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ และมันลึกซึ้งอย่างไม่อาจหยั่งถึงได้
มีเพียงเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่สามารถครอบครองตราประทับหยกนี้ได้
เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์นี้ หัวเจี้ยนคง จั่วชิวเฟยหมิง เซวียนหยวนเส้า และคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึง สายตาที่จ้องมองเฉินซีทอประกายสับสน เนื่องจากการที่เหมิงซิงเหอได้มอบตราประทับหยกนี้ให้กับเฉินซี นั่นเทียบเท่ากับบอกภพเซียนทั้งหมด ว่าเฉินซีจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
เฉินซีไม่รู้ว่าตราประทับหยกนพกระแสนั่นคือสิ่งใด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหมิงซิงเหอจะไม่ทำเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงทำทั้งหมดนี้เพื่อเหมิงซิงเหอ เพราะจักรพรรดิเต๋าจี้อวี๋เป็นอาจารย์ลุงของเขาเอง
“เฉินซี ตอนนี้เจ้าได้บรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว นี่คือประสบการณ์และความเข้าใจทั้งหมดที่ข้าได้รับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียน ข้าก็ไม่ได้รับลูกศิษย์คนใดเลย ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์ถ้าข้าจะเก็บมันไว้ ฉะนั้นเจ้าก็รับมันไปเถิด” ราชันเซียนรัตติกาลก็กล่าวในเวลานี้เช่นกัน และนางก็ส่งแผ่นหยกสีม่วงอ่อนให้เฉินซี
“เจ้า… ก็จะจากไปเช่นกันหรือ?” คราวนี้ เฉินซีกลับต้องตกลึง เพราะเขาทราบดีว่าราชันเซียนรัตติกาลยังไม่บรรลุขอบเขตเทวา
“ข้าเหลือเพียงอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขอบเขตแล้ว และข้ารู้สึกว่าวังวนโลกาวินาศนั่นเป็นโอกาสที่ข้ากำลังแสวงหาอยู่” ราชันเซียนรัตติกาลแย้มยิ้มพลางกล่าว
เฉินซีมองไปที่เที่ยอวิ๋นไห่อย่างอดไม่ได้
เที่ยอวิ๋นไห่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “หากใครเข้าสู่แดนโลกาวินาศด้วยตัวเอง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกก็สามารถไปยังที่นั่นได้ อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติที่ใคร ๆ ก็ต้องเผชิญเมื่อเข้าไปนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาจะสามารถทนได้”
ขณะที่กล่าว เขาจ้องมองราชันเซียนรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้ามีรากฐานที่จะกลายเป็นเทพอยู่แล้ว หากเจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้เส้นทาง ก็มากับข้าเถิด”
“ขอบคุณท่านนักพรตที่ช่วยให้ข้าได้บรรลุความปรารถนา!” ราชันเซียนรัตติกาลโค้งคำนับด้วยความยินดี
ในขณะนี้ แม้แต่หัวเจี้ยนคง เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย และจั่วชิวเฟยหมิงก็ถูกล่อลวงอย่างมากเช่นกัน
แม้ว่าภัยพิบัตินี้จะน่ากลัวอย่างยิ่ง และมีโอกาสรอดชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อพบร่องรอยของโอกาส หากสามารถติดตามเที่ยอวิ๋นไห่และคนอื่น ๆ ได้ พวกเขาจะปลอดภัยมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และโอกาสจะที่ได้รับโชคลาภก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!
แม้นการบ่มเพาะจะอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียน แต่จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาบรรลุขอบเขตเทวาภายในแดนโลกาวินาศล่ะ? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเข้าสู่แดนเทพโบราณ?
บางครั้ง แม้จะทราบดีว่าหนทางข้างหน้านั่นเต็มไปด้วยอุปสรรคและขวากหนาม แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสในการบรรลุเต๋า ย่อมไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธการล่อลวงของโชคลาภดังกล่าวได้
เที่ยอวิ๋นไห่กวาดสายตาไปที่หัวเจี๋ยนคงและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงกล่าวว่า “พวกเจ้าต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย… ไม่ปฏิเสธหรือ?
พวกเขาเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล และสีหน้าก็หนักแน่นมาก ภัยพิบัตินั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แดนโลกาวินาศก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน แต่เพื่อประโยชน์ในการก้าวต่อไปบนเส้นทางสู่มหาเต๋า พวกเขาตั้งใจที่จะต่อสู้เพื่อมันในครั้งนี้!
ภายใต้ภัยพิบัติ เหล่าทวยเทพต้องต่อสู้เพิ่งอำนาจอันสูงสุด และพวกเขาต้องออกเดินทางเพื่อแย่งชิงโอกาสนี้ไว้ เพราะหากใครไม่แย่งชิงเพื่อมัน คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปบนเส้นทางสู่มหาเต๋า ทั้งยังรู้สึกไร้พลังและคับข้องใจ และไม่มีทางที่จะบรรลุความสำเร็จนับตั้งแต่นั้นมา!
ราชันเซียนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นบุคคลที่มีความมุ่งมั่นและปณิธานอันแรงกล้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมที่จะพลาดโอกาสดังกล่าว
“เจ้าทำไม่ได้ รากฐานราชันเซียนของเจ้าเสียหายมากเกินไป การติดตามเราไปจะไม่ต่างกับการรนหาที่ตาย” ทันใดนั้น เที่ยอวิ๋นไห่กล่าวขณะจับจ้องไปที่จั่วชิวเฟยหมิง คำพูดของเขาก็ขวานผ่าซากอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ใบหน้าของจั่วชิวเฟยหมิงก็ซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง เขาพยายามจะระเบิดตัวเองสองครั้งในระหว่างการต่อสู้ที่รุนแรงก่อนหน้านี้ และแม้ว่าสุดท้ายจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่มันก็ทำลายรากฐานของเขาอย่างสาหัส
ตัวเขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อคิดว่ากำลังจะพลาดโอกาสนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโส ท่านยังคงมีโอกาสในภายภาคหน้า” เฉินซีปลอบใจ
จั่วชิวเฟยหมิงพยักหน้าและฝืนยิ้ม แต่ยังคงเศร้าโศกอยู่ในใจ “ข้าจะมีโอกาสในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ในเวลานั้น ข้าจะมีโอกาสได้ติดตามนายท่านสามแห่งเขาเทพพยากรณ์ได้อย่างไร?
ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เที่ยอวิ๋นไห่ก็ต้านทานโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่โจมตีอย่างไม่มีสิ้นสุด จนถึงขณะนี้ พลังของห่วงโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาเริ่มทวีความน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกมันก็สะบัดไปทั่วท้องฟ้า ซึ่งท่วมท้นไปทั้งฟ้าดิน!
โครม โครม โครม!
ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เกิดความผันผวนอย่างรุนแรง และใกล้จะพังทลายลง
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเที่ยอวิ๋นไห่กลายเป็นอาฆาตและเคร่งขรึมในทันที ทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม “น้องสี่ ศิษย์น้องหญิง เจ้าทั้งคู่พร้อมหรือยัง?”
ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว!
หัวใจของทุกคนสั่นไหว และไม่กล้าปล่อยให้ความคิดว้าวุ่นอีกต่อไป ดังนั้นจึงรวบรวมพลังและเฝ้ารอ
“ช้าก่อน!” หลียางดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ นางดึงตาข่ายที่พับไว้ออกมา สมบัติชิ้นนี้มีลักษณะเป็นผลึก โปร่งแสง และเปล่งแสงของดวงดาวอันเย็นเฉียบแหลมออกมา มันดูไร้ตัวตนประหนึ่งความฝัน มันเบาจนดูเหมือนไม่มีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้จิตใจหลงใหล
“ศิษย์น้องเล็ก รับตาข่ายครอบคลุมสวรรค์นี้ไป ในสักวันหนึ่ง เมื่อเรามุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ จงใช้สมบัตินี้เพื่อจับโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่พังทลาย…” หลียางส่งสมบัติไปให้เฉินซี ขณะที่กล่าวผ่านกระแสปราณ “จำไว้ว่า เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ นี่เป็นภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสามภพ และเป็นชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน บางทีเจ้าอาจสามารถพึ่งพาโอกาสนี้ในการก่อตั้งรากฐานราชันเซียนของเจ้าได้ มิฉะนั้นหากเจ้าพลาดโอกาสนี้ เจ้าจะต้องรออย่างขมขื่นเพื่อให้ชะตากรรมลงมาอีกครั้ง และใครจะรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด”
เฉินซีตกตะลึงในใจ ทั้งยังรู้สึกประทับใจและประหลาดใจมาก
เขาจำสมบัตินี้ได้ มันถูกขัดเกลาจากทรายวิญญาณดาราและศิลาเบญจรงค์โกลาหล ซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ฝูซีทิ้งไว้เบื้องหลัง ดังที่กล่าวกันว่า ตาข่ายแห่งสวรรค์สามารถจับทุกสิ่ง แม้แต่เต๋ารู้แจ้ง กฎ ชะตากรรม และสิ่งที่ไม่มีตัวตนอื่น ๆ ในฟ้าดิน ก็สามารถถูกจับโดยสมบัตินี้!
ย้อนกลับไป เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และไม่คาดคิดเกิดขึ้นในฟ้าดิน ในขณะที่เขาอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ หลียางได้อาศัยตาข่ายนี้เพื่อช่วยให้เขาจับกระแสพลังงานที่แตกสลายของเต๋าสวรรค์ ทำให้สามารถสร้างรากฐานได้อย่างสมบูรณ์เพื่อบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหลียางตั้งใจที่จะให้เฉินซีพึ่งพาสมบัตินี้ เพื่อจับโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา เพื่อจับชะตากรรมภายในพวกมัน และสร้างรากฐานเพื่อบรรลุขอบเขตราชันเซียน!
แล้วเฉินซีจะไม่รู้สึกประทับใจและประหลาดใจกับของขวัญดังกล่าว และความกังวลที่นางมีได้อย่างไร?
“ศิษย์น้องหญิงช่างคิดจริง ๆ เอาละ ทุกคนมาเริ่มกันเถอะ!” เที่ยอวิ๋นไห่คำราม และกำจัดค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ถือค้อนยักษ์เอาไว้ในมือ ขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ครืน!
เมื่อค่ายกลศักดิ์สิทธิ์หายไป โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถาโถมลงมาทันที และมันดูเหมือนกรงเหล็กจำนวนมากที่มีเป้าหมายกักขังทุกคน
“ไสหัวไป!” เที่ยอวิ๋นไห่คำรามเสียงดัง แววตาราวกับสายฟ้า เขาระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาลออกมา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวได้ส่งเสียงดังก้องไปตามผิวหนังสีทองแดง และดูเหมือนจะกลายเป็นเทพที่ท้าทายสวรรค์ขณะเข้าโรมรัน
ด้วยการทุบค้อนเพียงครั้งเดียว โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจำนวนมหาศาลที่ถาโถมและแผดเสียงคำรามก้องก็แตกสลายไปทีละนิด!
เหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่และรุนแรงจนถึงขีดสุด
คนอื่น ๆ ที่ปรารถนาจะเข้าสู่แดนโลกาวินาศ ต่างก็ตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่กล้าลังเลที่จะติดตามอยู่ทางด้านหลังเที่ยอวิ๋นไห่อย่างใกล้ชิด ทั้งยังกลัวอย่างยิ่งว่าจะพลาดโอกาสนี้ หากชักช้าเพียงครึ่งก้าว
“ศิษย์น้องเล็ก ลงมือเลย!” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลียางก็ร้องออกมาด้วยเสียงที่ดังชัดเจน นางเตือนให้เฉินซีลงมือและรวบรวมเศษเสี้ยวที่แตกสลายของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา