บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1461 ชักนำเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมา
บทที่ 1461 ชักนำเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมา
……………………………………………………………………..
บทที่ 1461 ชักนำเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมา
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
กระบี่แสงโชติช่วงทั้งสี่เล่มทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และปลดปล่อยปราณกระบี่แห่งแสงอันไร้ขอบเขตออกมา อานุภาพของพวกมันช่างน่าสะพรึง ทั้งยังแผดเผาและทำลายโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์สีดำที่อยู่ในรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้จนหมดสิ้น
ดั่งคำกล่าวว่า ที่ใดมีแสงสว่าง ความชั่วร้ายก็จะมลายสิ้น!
ภายใต้การควบคุมของหยวนเชอ คงหลิน อวี่ฉือว่าน และอวิ๋นซู่ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่ได้ระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผดเผาโลกาได้
ฟิ่ว!
คัมภีร์สีเลือดกวาดไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่คำโบราณสีเลือดก็พุ่งออกมาจากภายในมัน ‘ฆ่า’ ‘ฟัน’ ‘บดขยี้’ ‘สังหาร’ ‘ทำลายล้าง’ ‘ท้าทาย’ ‘ทำลาย’ … ทุก ๆ คำล้วนเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายสังหาร และอานุภาพทำลายล้างโลก!
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ทุก ๆ ตัวอักษรได้แผ่จิตสังหารออกมา ในขณะที่แสงสีเลือดก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ผืนฟ้า ทุกที่ที่มันผ่านไป สรรพสิ่งล้วนถูกทำลายล้าง เวลาและมิติถูกทำลายจนตกสู่สภาวะไร้ชีวิต!
นี่คือคัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋าและครอบครองเต๋าแห่งการล้างโลกาที่ท้าทายสวรรค์!
ครืน!
ภายใต้การนำของเหมิงซิงเหอ หยวนเชอ และคนอื่น ๆ ทุกคนต่างพุ่งตัวออกไป และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาระเบิดออกมา ก็ทำให้ค่ายกลขจัดเทพทั้งหมดสั่นไหวและแกว่งไปมาอย่างรุนแรง
พลังทำลายดังกล่าวได้กวาดไปทั่วทะเลทรายเนตรสวรรค์ โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำขนาดใหญ่ซึ่งเปี่ยมด้วยพลังทำลายล้างอันไร้ขอบเขตได้ถูกทำลายจนแหลกลาญ บังเกิดเป็นฝนแสงที่โปรยปราย ทั้งยังรุนแรงและวุ่นวายอย่างยิ่ง
โชคดีที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในค่ายกลขจัดเทพ มิฉะนั้น เพียงการโจมตีดังกล่าว อาจทำลายทั้งทวีปเนตรสวรรค์ได้ในทันที!
นี่ไม่ได้กล่าวเกินจริง ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าคนที่กำลังโจมตีอยู่คือตัวตนที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา พวกเขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ก้าวข้ามภพทั้งสาม และทุก ๆ คนก็ครอบครองพลังที่สามารถทำลายโลกได้
ในปัจจุบัน พวกเขากำลังใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เช่นกระบี่แสงโชติช่วง และคัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋า โดยทั้งคณะต่างร่วมกันโจมตี สิ่งดังกล่าวจึงอธิบายได้เพียงว่า ไม่ธรรมดาและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
เนื่องจากอานุภาพของค่ายกลขจัดเทพได้อ่อนลงด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ จึงบังเอิญทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ มีโอกาส ดังนั้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็เขย่ารากฐานของค่ายกล และเกือบจะฝ่าออกจากค่ายกลนี้ได้!
…
ในขณะนี้ ที่ด้านของค่ายกลขจัดเทพ บรรยากาศเริ่มหนักอึ้ง
“ท่านอาจารย์ลุงฉือเหลียน เกิดเหตุอันใดหรือ?” ซุ่ยเหรินถิงรู้สึกประหลาดใจและงุนงง ทั้งมีสีหน้าหนักใจ ในทันทีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คิดขึ้นในค่ายกล เขาสังเกตเห็นมัน แต่ไม่อาจระบุเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังได้
เมื่อประกอบกับความจริงที่ว่า หลียางและคนอื่น ๆ ได้คว้าโอกาสนี้ เพื่อเริ่มฝ่าค่ายกล มันทำให้เกิดลางร้ายในใจของเขาทันที
“ข้อจำกัดในคุกเนตรเซียนถูกทำลายไปก่อนหน้านี้” ฉือเหลียนมีสีหน้าไม่แยแส ดวงตาวูบวาบด้วยแสงเยียบเย็นอันน่าสะพรึงกลัว “เจ้าควรตระหนักไว้ว่า คุกเนตรเซียนเป็นรากฐานหลักของค่ายกล ตอนนี้มันถูกทำลายไปแล้ว หมายความว่าการเชื่อมโยงระหว่างวังวนโลกาวินาศกับค่ายกลขจัดเทพได้ถูกตัดขาดลง ทำให้อานุภาพของค่ายกลได้รับผลกระทบ”
แม้สถานการณ์จะคับขัน แต่แท้จริงแล้ว เขายังสงบสติอารมณ์เอาไว้ได้ ทว่ากลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยมก็ได้แผ่ออกมาจากน้ำเสียงของเขาเช่นกัน
“ฮึ่ม! มีคนกล้าสร้างปัญหาใต้จมูกเราจริง ๆ หากข้ารู้ว่าใครเป็นผู้ทำสิ่งนี้ ข้าจะฆ่ามัน แล้วเผากระดูกโปรยขี้เถ้าทิ้ง ไม่ให้มันได้กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างแน่นอน!” สีหน้าของซุ่ยเหรินถิงทรุดลงทันทีที่รู้เรื่องนี้ ทั้งยังกัดฟันแน่นและสาปแช่งอย่างไม่มีสิ้นสุด
“ไม่จำเป็นต้องใจร้อน ชิงโม่และหวงจงได้ไปสืบสวนแล้ว ดังนั้นเราแค่ต้องรออย่างใจเย็น” ฉือเหลียนจ้องมองค่ายกลที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่แยแส “พวกมันไม่มีวันหลบหนีได้ ภัยพิบัตินี้ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้!”
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ในขณะนี้ คลื่นพลังผันผวนเกิดขึ้นในอากาศ ก่อนที่ร่างสองร่างจะปรากฏขึ้น น่าตกใจที่พวกเขาคือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ชิงโม่และขุนพลศักดิ์สิทธิ์หวงจง ทว่าการแสดงออกของพวกเขากลับเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก
“อันใดกัน? นี่เจ้าล้มเหลวรึ?” ฉือเหลียนขมวดคิ้วพลางสักถาม
“เมื่อเราไปถึงคนผู้นั้นได้หลบหนีไปแล้ว และไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือข้อจำกัดภายในคุกเนตรเซียนได้ถูกทำลายลงทั้งหมด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแซมในช่วงเวลาสั้น ๆ” ชิงโม่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกล่าว เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและสวมหน้ากากสีทองสัมฤทธิ์ที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่งดงามคู่หนึ่งเท่านั้น ทำให้คนผู้นี้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ สีหน้าของทุกคนพลันดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ด ต่างก็ครอบครองพลังสูงสุด และทุก ๆ คนล้วนสามารถท่องไปในสามภพได้อย่างอิสระ ทั้งยังสามารถดูแคลนสรรพชีวิตได้ทั้งปวง!
ทว่าบัดนี้ ไม่เพียงแต่มีคนทำลายคุกเนตรเซียนใต้จมูกของพวกเขาเท่านั้น อีกทั้งทุกคนยังไม่อาจสังเกตเห็นคนร้ายได้เลย ความสามารถดังกล่าวจึงนับได้ว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
“มันเป็นใครกัน?”
ในขณะนี้ ร่องรอยของความประหลาดใจและความสงสัยก็บังเกิดขึ้นในใจของฉือเหลียน เขาใช้จิตสัมผัสเพื่อกวาดออกไปในรัศมีสิบล้านลี้ และใช้เคล็ดวิชาลับของเทพเพื่อตรวจสอบ แต่กลับคว้าน้ำเหลวเช่นกัน!
“ท่านอาจารย์ลุง คนผู้นั้นอาจซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่?” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม ขณะที่จั่วชิวเหลิงฮวาและจั่วชิวเป่ยหยงที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกหวาดกลัวในใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้น ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความสงสัยได้
“ไม่ คนผู้นั้นได้จากไปแล้วเป็นแน่” ชิงโม่ส่ายศีรษะ “ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าฝูซีหรือหนี่หวาจะมาเอง พวกมันก็ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเราพี่น้องได้อย่างแน่นอน!
“เขาไปแล้วเหรอ? หรือคนผู้นั้นไม่ใช่พันธมิตรของเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวา แล้วเหตุใดเขาถึงทำลายคุกเนตรเซียนเล่า?” ซุ่ยเหรินถิงขมวดคิ้ว
นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจของคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องเหล่านี้ หลียางและคนอื่น ๆ กำลังจะฝ่าออกจากค่ายกลแล้ว เรื่องเร่งด่วนที่สุด คือเราต้องทำลายล้างพวกมันภายในค่ายกล” ฉือเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจโต้แย้ง
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? นั่นคือค่ายกลขจัดเทพที่ได้รับการเกื้อหนุนจากพลังแห่งวังวนโลกาวินาศ แล้วพวกมันจะถูกทำลายได้อย่างไร?” ซุ่ยเหรินถิงอุทานด้วยความประหลาดใจ แม้เขาจะเป็นราชันเซียน แต่เขาก็ตระหนักดีว่าค่ายกลนี้น่ากลัวเพียงใด พอเขาได้ยินว่าหลียางและคนอื่น ๆ กำลังฝ่าออกจากค่ายกลแล้ว เขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“ชุดกระบี่แสงโชติช่วงที่สืบทอดมาภายในตำหนักเต๋าหนี่หวา ควบคู่ไปกับคัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋า ที่อาชญากรของสามภพทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อรวมกับจุดแข็งของพวกมัน เจ้าคิดว่าพวกมันจะไม่สามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้หรอกหรือ”
ฉือเหลียนขมวดคิ้วพลางมองไปที่ซุ่ยเหรินถิง “จำไว้ว่า อย่าประมาทความสามารถของเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวา มิฉะนั้นท่านประมุขคงไม่เตรียมแผนการนี้เป็นการส่วนตัว และส่งพวกเราทั้งเจ็ดมาจัดการหรอก”
เมื่อถูกฉือเหลียนตำหนิ ซุ่ยเหรินถิงกลับเงียบสนิทเหมือนจักจั่นในฤดูหนาวทันที
“ตอนนี้ ดูเหมือนเราจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้วิธีการนองเลือดและชักนำเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมาล่วงหน้า เพื่อทำลายล้างพวกมันภายในค่ายกลให้หมดสิ้น” ชิงโม่กล่าวจากทางด้านข้างอย่างเฉยเมย
ขุนพลคนอื่น ๆ ไม่ได้กล่าวอะไร และดูเหมือนจะเห็นด้วยโดยปริยาย
“ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น เรามาลงมือกันเถอะ” ฉือเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปลก ๆ และดูเหมือนมีเลศนัย
ซุ่ยเหรินถิงยังคงสับสน แต่เสี้ยวของความหนาวเย็นและความสยดสยองกลับผุดขึ้นในใจจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวาอย่างไร้เหตุผล
ทั้งสองจึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน และเห็นว่าขุนพลสังหารเทพทั้งหมดล้วนจ้องมองไปที่ทั้งสองอยู่ในขณะนี้
ในทันทีที่พวกเขาสบตากัน หัวใจของจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวาก็กระตุกวูบทันที ทั้งยังร่ำร้องในใจ ‘ซวยแล้ว!’
โครม!
ร่างกายของพวกเขาระเบิดพลังมหาศาลออกมาโดยสัญชาตญาณ และทั้งคู่ก็ดึงสมบัติที่ดีที่สุดออกมา พลางจ้องมองขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดอย่างระแวดระวัง
“ศิษย์พี่ นี่หมายความว่ากระไร? หรือเจ้าคิดจะสังเวยเราสองคน? เมื่อหลายปีก่อน ท่านประมุขได้สัญญาว่า ถ้าเราทุ่มเททำงานเพื่อนิกายอำนาจเทวะอย่างสุดใจ เขารับประกันว่าเราจะสามารถเข้าสู่แดนเทพโบราณ และหลีกเลี่ยงภัยพิบัติไปตลอดกาล!” จั่วชิวเป่ยหยงกล่าวอย่างเย็นชา
เหตุการณ์กะทันหันและไม่คาดคิดนี้ ทำให้ซุ่ยเหรินถิงตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจทุกอย่างทันที ดังนั้นจึงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ
“ในฐานะผู้อาวุโสของนิกายอำนาจเทวะ เจ้าทั้งสองควรทราบว่า ตามกฎของนิกาย ทุกคนจะต้องเตรียมพร้อมที่จะถูกสังเวยเพื่อประโยชน์ของนิกายตลอดเวลา” ฉือเหลียนและคนอื่น ๆ ยังคงเฉยเมยต่อท่าทีที่ตื่นตัวของจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวา ซึ่งพวกเขาก็ไม่แยแสและไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ “กับดักครั้งนี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เมื่อมันประสบความสำเร็จ นิกายอำนาจเทวะจะกลายเป็นผู้ปกครองของทั้งสามภพได้อย่างราบรื่น และเมื่อล้มเหลว ผลที่ตามมาก็ไม่ใช่สิ่งที่เราคนใดคนหนึ่งจะรับผิดชอบได้”
“ไฉนเราสองคนถึงต้องถูกสังเวยด้วย?” สีหน้าของจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวายิ่งเย็นลงเรื่อย ๆ ร่างกายก็รู้สึกเหน็บหนาวราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง พวกเขาเข้าร่วมนิกายอำนาจเทวะเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นจึงตระหนักดีถึงวิธีการและการกระทำของนิกายอำนาจเทวะอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่พวกเขาเคยเห็นศิษย์และเบี้ยจำนวนมากถูกสังเวยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ตัวอย่างเช่นเว่ยซิง เบี้ยสำคัญเก้าตัวที่ขอบเขตราชันเซียน และเบี้ยหลักหกสิบเก้าตัวที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น แต่ทั้งจั่วชิวเหลิงฮวาและจั่วชิวเป่ยหยงล้วนไม่สนใจเรื่องนี้เลย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าการที่เป็นตัวตนขอบเขตเทวาซึ่งอยู่เหนือสามภพ และยังรับตำแหน่งผู้อาวุโสในนิกายอำนาจเทวะ กลับต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้เช่นกัน!
“เพราะว่ามีเพียงพลังงานจากโลหิตเทพของเจ้าเท่านั้น ที่สามารถชักนำเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้ อ๊อ แน่นอนว่าเจ้าทั้งคู่ อาจถือว่าสถานะของเจ้าด้อยกว่าเราทั้งเจ็ดคน ดังนั้นเราได้แต่ต้องสังเวยพวกเจ้าทั้งสอง แม้ว่าท่านประมุขจะทราบเรื่องนี้ เขาก็คงจะยอมรับมันอย่างแน่นอน” ฉือเหลียนกล่าวอย่างเฉยเมยและไร้อารมณ์
สีหน้าของจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวาเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุม ในท้ายที่สุด ร่างของพวกเขาก็วูบวาบ และเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติออกไป
“ในเมื่อเจ้าต้องถูกสังเวย เหตุใดจึงต้องดิ้นรนด้วย?” ฉือเหลียนยังคงไม่สะทกสะท้านเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ และดูเหมือนเขาจะสงบมาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เสียงจะหายไป ขุนพลทั้งหกก็พุ่งตัวออกไปพร้อมกัน ๆ โดยไล่ตามจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวา
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ เสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชก็ได้ดังก้องไปทั่วฟ้าดินในระยะไกล!
ร่างกายของซุ่ยเหรินถิงสั่นสะท้านเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ เขารู้สึกโชคดีที่การบ่มเพาะเขาอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียน มิฉะนั้นอาจเป็นตัวเขาที่ถูกสังเวยในวันนี้…
“ข้าได้โลหิตเทพของพวกมันมาแล้ว” ชิงโม่ทะยานอยู่บนท้องฟ้า และเมื่อเขากลับมา ก็มีขวดหยกอยู่ในมือ
“ลงมือซะ!” ฉือเหลียนโบกมือแล้วจ้องมองไปที่วังวนโลกาวินาศในระยะไกล “โลหิตเทพของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาสองคน ย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมด…”
ฟิ่ว!
ชิงโม่รับคำสั่ง จากนั้นโลหิตเทพก็พุ่งออกมาจากภายในขวดหยก มันเหมือนกับกระแสน้ำสีแดงเลือดที่ไหลทะลักเข้าสู่วังวนโลกาวินาศที่หมุนอย่างเงียบ ๆ
ครืน!
ทันใดนั้น แสงคลุมเครือซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาก็สว่างขึ้นจากภายในวังวนโลกาวินาศ ก่อนที่มันจะเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับมีบางสิ่งกำลังพุ่งออกมาจากภายในส่วนลึกของกระแสวังวน
ทุกครั้งที่มันสั่นสะเทือน มันจะสะท้านฟ้าดิน ในขณะที่เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังกึกก้อง ในท้ายที่สุด เสียงฟ้าร้องก็ดังถี่ขึ้น ในขณะที่แรงผลักดันของมันก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่ทำท้องฟ้าเริ่มแตกสลายและพังทลายลงทีละนิด ทำให้ทั้งฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่!