บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1456 มหาเต๋าเป็นดั่งกรงขัง
บทที่ 1456 มหาเต๋าเป็นดั่งกรงขัง
บทที่ 1456 มหาเต๋าเป็นดั่งกรงขัง
เมื่อซุ่ยเหรินถิง จั่วชิวเป่ยหยง และจั่วชิวเหลิงฮวามาถึง ทุกอย่างจึงกระจ่าง
มันเป็นแผนร้ายที่ถูกวางไว้นานแล้ว!
หลังนิกายอำนาจเทวะเข้ามายุ่งกับความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิว ความหมายเบื้องหลังของมันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ทำให้หัวเจี้ยนคงนึกถึงบทสนทนากับอาจารย์ของตน เหมิงซิงเหอ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากสำนักศึกษาไป
นิกายอำนาจเทวะแอบวางแผนลับมาตลอดหลายปี คิดฉวยโอกาสของความวิบัติครั้งนี้ทำลายล้างใต้หล้าแล้วเสริมนิกายอำนาจเทวะในสามภพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ตอนนี้กลิ่นอายเบญจนิมิตแห่งอาสัญมาถึง เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานเงาของนิกายอำนาจเทวะคงคืบคลานไปทั่วภพเซียน…
ตอนนั้นหัวเจี้ยนคงสงสัยว่านิกายอำนาจเทวะคิดใช้ความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิวเป็นก้าวแรกในการกวาดล้างใต้หล้าอีกครั้ง พอลองเทียบกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้
ตอนนี้วังวนโลกาวินาศปรากฏขึ้นแล้ว เต๋าแห่งสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นกรงขัง อีกทั้งซุ่ยเหรินถิงปรากฏตัวขึ้นตอนกำลังคุมประกาศิตอำนาจเทวะ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิวเป็นเพียงแผนการขั้นแรกของนิกายอำนาจเทวะเท่านั้น
ไม่ใช่เพียงหัวเจี้ยนคง คนอื่น ๆ ก็คาดเดาได้โดยคร่าวแล้วเช่นกัน บนใบหน้าจึงมีความเคร่งขรึมเจืออยู่ไม่น้อย
เป้าหมายที่แท้จริงนิกายอำนาจเทวะคืออะไรกันแน่?
เป็นเรื่องที่เด่นชัดไม่น้อย นับตั้งแต่ที่วังวนโลกาวินาศปรากฏขึ้น ก็เป็นลางสังหรณ์ว่าความวิบัติกำลังจะส่งผลกระทบไปทั่วสามภพ
อีกทั้งทั้งหมดนี้ยังเป็นฝีมือนิกายอำนาจเทวะ!
แน่นอนว่าความวิบัติถูกทำนายไว้นานแล้ว ซึ่งมันมาจากพลังของเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นนิกายอำนาจเทวะจึงไม่มีอำนาจควบคุมมันได้ แต่ถึงกระนั้นก็สามารถเร่งให้ความวิบัติเกิดเร็วขึ้นได้!
…
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงคาดเดาเรื่องได้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่น่าเสียดายที่สายไปหน่อย ตอนนี้วังวนโลกาวินาศมาถึงแล้ว เราไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับได้อีก แม้แต่ทวยเทพก็ทำไม่ได้” หลังจากมาถึงที่นี่ ซุ่ยเหรินถิงก็พูดไปยิ้มไป เหมือนว่าตนมีอำนาจทั่วใต้หล้า ควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ
ประกาศิตสีม่วงเหนือศีรษะเปล่งแสงสว่างดูสูงส่ง คล้ายตอบสนองกับวังวนโลกาวินาศที่อยู่ไกลตรงนั้น ทำให้เกิดเป็นกลิ่นอายดุดันเฉพาะตัว ถึงเขาจะอยู่ขอบเขตราชันเซียน แต่ก็ไม่ได้กลัวจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ เลย
“ทั้งหมดนี้เป็นแผนของนิกายอำนาจเทวะมาตั้งแต่ต้น?” จ้าวไท่ฉือถามเสียงเย็น
“ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นมีหรือที่พวกเราจะใช้พวกเจ้ากำจัดราชันเซียนไปได้ตั้งหลายคน ทั้งยังให้เสียเลือดเสียเนื้อไปจัดการวังวนโลกาวินาศได้อีก?” ซุ่ยเหรินถิงตอบตามตรง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจยิ่ง
“ในหมู่คนพวกนั้นมีเก้าราชันเซียนและเจ็ดสิบขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นที่มาจากนิกายอำนาจเทวะ นิกายอำนาจเทวะของเจ้านี่ช่างกล้าเสียจริง!” จ้าวไท่ฉือพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เจ้าพูดผิดแล้ว” ซุ่ยเหรินถิงส่ายหน้า ยังคงรอยยิ้มไว้ “พวกนั้นเป็นเพียงหมากของนิกายอำนาจเทวะเท่านั้น ชะตาของพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วนับตั้งแต่ที่ท่านเจ้านิกายวางคนพวกนั้นไว้ในภพเซียนเมื่อหลายปีก่อน”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “มีเพียงความตายของเว่ยซิงเท่านั้นที่ออกจากน่าเสียดายไปสักหน่อย เพราะเขาก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง แต่เพื่ออนาคตที่สดใสของนิกายอำนาจเทวะ อย่างไรเขาก็ต้องเสียสละ”
ใช้คำพูดไม่กี่คำก็หาข้ออ้างมากล่าวได้แล้ว ดูเลือดเย็นอย่างถึงที่สุด
นี่คือวิถีของคนนิกายอำนาจเทวะ ผู้อยู่เหนือใต้หล้าย่อมต้องไร้ความรู้สึก ดังนั้นจะมีอารมณ์ใดไม่ได้!
“จั่วชิวเป่ยหยง จั่วชิวเหลิงฮวา พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว อยู่กับนิกายอำนาจเทวะสุดท้ายก็เป็นได้แค่เบี้ยหมาก แต่เจ้ากลับเต็มใจไปเป็นหมาพวกมัน น่าสมเพชยิ่งนัก!”ทันใดนั้น จั่วชิวเฟยหมิงก็ตะโกนเสียงเข้มด้วยความโกรธ แฝงแววความเกลียดชังฝังแน่น
ทว่าจั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวากลับมีสีหน้านิ่งสงบ ยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น
“นานแล้วก่อนที่ผู้นำตระกูลจั่วชิวจะสิ้นลม พวกเราเองก็เป็นผู้อาวุโสนิกายอำนาจเทวะอยู่แล้ว นำไปเทียบกับหมากพวกนั้นไม่ได้ เหตุผลที่เราเก็บตัวเงียบอยู่ในตระกูลจั่วชิวมาตลอดก็เพื่อนิกายอำนาจเทวะ” จั่วชิวเป่ยหยงเอ่ยเสียงเรียบด้วยท่าทีสุขุม
พูดจบ คนอื่นก็รู้สึกเย็นวาบถึงขั้วหัวใจ ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าทั้งสองคนที่อยู่ขอบเขตเทวาจะถูกนิกายอำนาจเทวะซื้อตัวไปนานแล้ว!
“เช่นนี้แล้ว ความตายของท่านพี่ก็เป็นพวกเจ้าสองคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นหรือ?” จั่วชิวเฟยหมิงใจสั่นสะท้าน เผยทั้งความเศร้าและความโกรธออกมา
“มันช่วยไม่ได้ เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่แน่วแน่และไม่เต็มใจเข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ! เราจึงต้องกำจัดเขาและสนับสนุนผู้นำที่ยอมสยบแก่นิกายอำนาจเทวะ” ครั้งนี้เป็นจั่วชิวเหลิงฮวาที่เอ่ยขึ้น
เฉินซีมีใบหน้าเครียดขึ้ง เท่าที่เขารู้มา ผู้นำคนก่อนของตระกูลจั่วชิวคือบิดาของท่านแม่ หรือก็คือท่านตาของเขา
ตอนนี้พอได้รู้ว่าท่านตาต้องตายไปเพราะไม่ยอมสยบให้นิกายอำนาจเทวะ ในใจก็เกิดความโกรธขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกสงสารท่านแม่ขึ้นมาจับใจ
เพราะในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านแม่ที่ควรรับตำแหน่งผู้นำตระกูลจั่วชิว สุดท้ายถึงถูกจั่วชิวเฟิงแย่งตำแหน่งไปได้ เป็นเพราะจั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวานี่เอง!
อีกทั้งมือมืดหลังม่านที่แท้จริงคือนิกายอำนาจเทวะ!
“พวกเจ้า… โหดเหี้ยมนัก!” จั่วชิวเฟยหมิงเบิกกว้างจนแทบถลนด้วยความโกรธ เคี้ยวฟันจนแทบป่นเป็นผง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสนับสนุนจั่วชิวเฟิงเป็นผู้นำ แล้วเหตุใดถึงไม่ช่วยพวกเขาเล่า? พวกเขาเองก็เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะแล้วนี่! ทำไมกัน?”
ไม่ใช่ว่าเขาพูดเพื่อจั่วชิวเฟิงและคนอื่น ๆ เพียงแต่เขายอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้
ครั้งนี้ จั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวาไม่พูดอะไร เพียงมองจั่วชิวเฟยหมิงด้วยความสมเพช เหมือนมองคนโง่คนหนึ่ง
“พวกเขาใฝ่หาเต๋าแห่งไร้ความรู้สึก ในเมื่อไร้ความรู้สึก การที่พวกเขาทำเรื่องให้คนโกรธเคืองไม่พอใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ คาดเดาเรื่องนี้ได้นานแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงได้
แค่คำว่า ‘ไร้อารมณ์’ ก็สามารถตัดความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทรยศตระกูลเดียวกันได้แล้ว! นี่ไม่ใช่แค่การทรยศธรรมดา แต่พวกเขาสมควรตาย!
คงไม่มีใครสามารถยอมรับความจริงเช่นนี้ได้หรอก!
พริบตานั้น สีหน้าจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ก็เคร่งขรึมยิ่ง ทั้งยังมีความโกรธขึ้งและเกลียดชัง เพราะความขัดแย้งภายในตระกูลสุดท้ายกลายเป็นเล่ห์กลที่นิกายอำนาจเทวะจัดฉาก ทำให้พวกเขาโกรธเกลียดจนแทบเสียสติ
“ฮ่า ๆ ! เฉินซี จริง ๆ แล้วเจ้าต้องขอบคุณนิกายอำนาจเทวะด้วย” ซุ่ยเหรินถิงพลันมองไปทางเฉินซี จากนั้นคลี่ยิ้มกว้าง “หากตอนนั้นเราไม่นิ่งเฉย มีหรือเจ้าจะแก้แค้นได้ง่ายเช่นนี้? เป็นอย่างไร? รู้สึกสะใจมากเลยหรือไม่?”
เฉินซีเอ่ยเสียงสงบ “เป็นเช่นนี้นี่ อย่างนี้ข้าก็ต้องขอบคุณพวกเจ้าสินะ?”
ซุ่ยเหรินถิงหัวเราะลั่น “ไม่จำเป็นหรอก แค่ส่งกระบี่เต๋าวิบัติกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมาให้ข้าก็พอ”
กระบี่เต๋าวิบัติ!
ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก!
หลายคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครรู้ พอได้ยินคำจึงได้แต่ตกใจ ไม่คิดว่าเฉินซีจะมีสมบัติชั้นยอดแห่งสามภพเช่นนั้น
กระทั่งจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงยังตะลึงยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เต๋าวิบัติหรือชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเขาทั้งสามไม่กล้าฝันว่าจะได้มาครอง!
“หากเจ้ายอมให้ข้าสังหารทั้งนิกายอำนาจเทวะเหมือนที่ฆ่าจั่วชิวเฟิงและคนอื่น ๆ เช่นนั้นไม่ใช่เพียงแค่สมบัติสองชิ้นนี้หรอก ขอมากกว่านี้ข้าก็ไม่แม้แต่จะมุ่นคิ้วเลย” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ
ซุ่ยเหรินถิงหน้าคว่ำทันใด จากนั้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “สหายน้อย อย่าลืมว่ามารดาเจ้ายังถูกขังอยู่ในคุกเนตรเซียน หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง… เจ้าเองก็คงรับไม่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่?”
นัยน์ตาเฉินซีแผ่ประกายเยือกเย็นเจือจิตสังหารที่พุ่งขึ้นจากจิตใจ
“อย่าไปสนคำพูดเกินจริงพวกนั้น ข้ายังสัมผัสได้ว่าคุกเนตรเซียนยังอยู่ ไม่ได้ถูกพลังอื่นใดกระทบ” จ้าวไท่ฉือเอ่ยผ่านกระแสปราณ ช่วยยับยั้งอารมณ์ในใจเฉินซีได้ชะงัก
คุยกันมาจนถึงตอนนี้ วังวนโลกาวินาศก็ยังคงหมุนไปไม่รู้จบ ดึงเอาห้วงมิติและเวลาระยะแสนลี้เข้าไป ทำให้เกิดรอยแยกหลุมดำน่าหวาดกลัว
อีกทั้งพลังทำลายล้างนี้ยังคงขยายออกไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานก็คงกลืนทะเลทรายเนตรสวรรค์เข้าไปทั้งผืน
“คนผู้นี้ได้แต่ซื้อเวลา เราจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว” อ๋าวจิ่วหุยมุ่นคิ้วเอ่ยผ่านกระแสปราณ
“เขามีประกาศิตอำนาจเทวะที่เชื่อมกับวังวนโลกาวินาศแล้วจะรวมเป็นหนึ่งได้ ขืนเขาก็เหมือนขืนวังวนโลกาวินาศ จะสังหารเขาคงไม่ได้” ฉือฉางเซิงถอนหายใจเอ่ยเสียงหนักหน่วง หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เขาก็คงลงมือกำจัดซุ่ยเหรินถิงทันทีที่ปรากฏกายแล้ว มีหรือจะฟังคำพูดไร้สาระมาจนถึงตอนนี้?
“ใจเย็นก่อน แม้ว่าวังวนโลกาวินาศจะแกร่งกล้า แต่ตอนนี้มันก็ยังทำอะไรเราไม่ได้ ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจจะดีขึ้นก็ได้” จ้าวไท่ฉือพลันเอ่ย “อย่าลืมว่านิกายอำนาจเทวะเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ท่านเจ้าสำนักก็สั่งไว้ก่อนออกมาว่าอาจมีบางอย่างซ่อนไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ต้องทำให้มั่นใจว่าจะต้องรอดไว้ก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
อ๋าวจิ่วหุยกับฉือฉางเซิงเงียบไปยามได้ยิน
แน่นอนว่าตอนนี้คงได้แต่รอ รอให้เราได้จังหวะได้เปรียบ แต่มันจะมีโอกาสนั้นหรือ?
ไม่มีใครมั่นใจได้!
“ฮ่า ๆ! อะไรกัน? หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าวันนี้จะหนีออกไปจากที่นี่ได้?” ซุ่ยเหรินถิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สีหน้ากลายเป็นโหดเหี้ยมเย็นชายิ่ง “เมื่อความวิบัติมาถึง มหาเต๋าเป็นดั่งกรงขัง ไม่มีใครหลีกหนีไปได้ พวกเจ้าเป็นเทพแล้วอย่างไร? สุดท้ายก็เป็นนักโทษ!”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วมองจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “แต่พวกเจ้าคงคิดว่าคงฉวยโอกาสนี้เข้าแดนเทพโบราณไปได้ ข้าจะขอบอกตรงนี้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
สีหน้าจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ เคร่งขรึมลงทันทีเพราะถูกอ่านออก
สุดท้ายแล้วคนอื่น ๆ ก็เกิดอารมณ์ปั่นป่วนขึ้นมาในใจยามได้ยิน หรือความวิบัตินี้จะเกี่ยวกับแดนเทพโบราณในตำนาน?
แดนเทพโบราณ!
ตามตำนานเล่าไว้ว่า ที่นั่นเป็นอาณาจักรที่เทพอาศัยอยู่ ข้อมูลนี้มีอยู่แต่ในคัมภีร์โบราณเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ในสามภพ อีกทั้งมันยังตั้งอยู่มานานก่อนความโกลาหลจะแยกออกเมื่อครั้งต้นกำเนิดโลกเสียอีก!
แต่นับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีข่าวคราวของคนที่สามารถไปถึงแดนเทพโบราณมาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นตำนานที่เลือนหายไปนานแล้ว
มีแต่ยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของสามภพจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะรู้ว่าการมีอยู่ของแดนเทพโบราณไม่ใช่แค่ในตำนาน แต่มันเป็นเรื่องจริง!