บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1455 วังวนโลกาวินาศ
บทที่ 1455 วังวนโลกาวินาศ
บทที่ 1455 วังวนโลกาวินาศ
ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเนตรสวรรค์ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน และพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยความรกร้าง
หลังจากประสบกับการต่อสู้ที่สะท้านปฐพี ราชันเซียนมากมายล้มตาย ทำให้เลือดสีทองย้อมท้องฟ้า ซากศพที่แขนขาฉีกขาดกระจัดกระจายไปทั่วผืนทราย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสมบัติอมตะอันทรงพลังมากมายถูกทิ้งไว้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเจ้าของ
หากเฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ พื้นที่เช่นนี้คงดึงดูดผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนจากทั่วภพเซียน ให้ออกตามหาสมบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อแสวงหา ‘โชค’ จากผู้ยิ่งใหญ่ที่ล่วงลับเหล่านี้
ดินแดนเร้นลับส่วนใหญ่ที่กระจายทั่วทั้งสามภพ ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นเช่นนี้
ไม่ว่าการต่อสู้จะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เมื่อม่านถูกรูดปิดลง สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือซากศพ ซากปรักหักพัง เลือด และสมบัติที่เสียหาย ทำให้ที่นี่กลายเป็น ‘สถานที่ฝังสมบัติ’ ในสายตาของคนภายนอก
แต่เห็นได้ชัดว่าม่านของเรื่องนี้ยังไม่ได้รูดปิดลงอย่างสมบูรณ์
หลังจากที่เขาฆ่าจั่วชิวเฟิง และเก็บเชือกที่มัดศีรษะเปื้อนเลือดไปแล้ว สายตาของเฉินซีก็จ้องมองไปที่สมบัติที่เหลืออยู่
การล้างแค้นได้จบลงแล้ว ดังนั้นมันถึงเวลาที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไร
แน่นอนว่า หากเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรทั้งหมดนี้ได้ มันคงเหนือจินตนาการเป็นแน่แท้
ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้อันดุเดือดได้กินเวลานานหลายวัน ผู้ยิ่งใหญ่ต่างเสียชีวิตไปมากมาย ในแง่ของราชันเซียนก็มีมากกว่าสิบคนที่ทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่ ส่วนราชันเซียนครึ่งขั้นก็มีมากกว่าร้อยคน
สมบัติที่ครอบครองโดยผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ จะมีจำนวนน้อยได้อย่างไร?
ไม่เพียงแต่จะมีมากมายเท่านั้น หากพวกมันปรากฏในโลกภายนอก สมบัติทุกชิ้นสามารถดลบันดาลให้ผู้คนต่อสู้เพื่อแย่งชิงพวกมันได้อย่างแน่นอน!
“ระวัง!” ทว่า ก่อนที่เฉินซีจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับ จากนั้นเขาก็มายืนอยู่เคียงข้างจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้
ทันทีที่ตั้งสติได้ กระแสวังวนแห่งกาลเวลาที่ลึกและมืดมนก็ปรากฏบนท้องฟ้าเหนือจุดที่ตนยืนอยู่เมื่อครู่!
“วังวนโลกาวินาศ! ตามที่คาดไว้ ข้ารู้ว่านิกายอำนาจเทวะจะไม่วางมือแค่นี้!” เมื่อนางเห็นกระแสวังวนอันมืดมิด ดวงตาของจ้าวไท่ฉือที่ขอบเขตเทวาก็หรี่ลง พลางเผยสีหน้าตกตะลึง “รีบถอยเร็ว!”
ฟิ่ว!
ร่างของนางวูบไหวไปพร้อมกับอ๋าวจิ่วหุยและฉือฉางเซิง ซึ่งพาเฉินซีและคนอื่น ๆ ไปด้วย ทันใดนั้น พวกเขาก็เคลื่ยนย้ายผ่านห้วงมิติออกจากพื้นที่นี้ทันที
จู่ ๆ ทะเลทรายเนตรสวรรค์ทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยพลังลึกลับอันน่าสะพรึงกลัว ที่แม้แต่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเทวา ยังไม่สามารถทะลวงผ่านมันไปได้
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขามืดมนเล็กน้อย และหยุดเคลื่อนไหวทันที หันมาสร้างม่านพลังคุ้มกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปกคลุมบริเวณโดยรอบและป้องกันทุกสิ่ง
“เหตุใดวังวนโลกาวินาศจึงปรากฏที่นี่? หรือว่าภัยพิบัติที่จะส่งผลกระทบต่อสามภพกำลังจะปะทุขึ้นจากที่นี่?” อ๋าวจิ่วหุยมีสีหน้าหมองคล้ำ ในขณะที่ดวงตาหลั่งไหลด้วยสองสายธารเย็นเยียบ
“เราเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติไม่ได้ ดูเหมือนจะจริงอย่างคำร่ำลือ เมื่อวังวนโลกาวินาศปรากฏขึ้น มหาเต๋าก็เหมือนกับกรง!” ฉือฉางเซิงขมวดคิ้ว ใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางจริงจังที่หาได้ยาก
หัวใจของคนอื่น ๆ กระตุกวูบ สีหน้าปรากฏร่องรอยเครียดขึง
วังวนแห่งความมืดที่โผล่ออกมานั้น ทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเทวาทั้งสามรู้สึกหวาดกลัวต่อมันมาก แล้วมันจะน่ากลัวถึงเพียงใด?
สิ่งที่น่าตกใจเป็นพิเศษ คือจากสิ่งที่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ กล่าว วังวนโลกาวินาศนี้เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติที่กำลังจะแผ่ขยายไปทั่วสามภพ ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าตกใจอย่างยิ่ง!
“ผู้อาวุโส วังวนโลกาวินาศคือสิ่งใด?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม เขาเพิ่งจะล้างแค้นสำเร็จ แต่ดันประสบเหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิด จึงทั้งประหลาดใจและสับสน ทั้งยังรู้สึกว่าแม้สิ่งนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่แท้จริงแล้ว มันถูกวางแผนโดยใครบางคนมานานแล้ว
“รูปแบบหนึ่งของทัณฑ์สวรรค์ที่มีอานุภาพทำลายล้างโลก และมันมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ เมื่อมันปรากฏแล้ว ก็แสดงว่าภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน ในเวลานั้น มหาเต๋าจะเป็นเหมือนกรง ซึ่งสามารถยับยั้งและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดได้! ในเวลานั้นมันอาจ…” จ้าวไท่ฉืออธิบายอย่างรวดเร็ว แต่คำพูดกลับหยุดชะงัก คล้ายไม่กล้ายืนยันบางสิ่ง
อ๋าวจิ่วหุยเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึม “ทุกคนระวังตัวด้วย เรื่องนี้อาจถูกควบคุมโดยบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวจากเบื้องหลัง”
ทันทีที่สิ้นคำ จิตใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งหมดนี้อาจถูกควบคุมโดยบุคคลที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ หรือ? หรือมันจะเป็นแผนการของนิกายอำนาจเทวะ?
โอม!
ในขณะนี้ กระแสวังวนอันมืดมิดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอันห่างไกล ก็เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง มันเหมือนกับปากที่เปื้อนเลือดกำลังอ้ากว้าง ทั้งยังปลดปล่อยพลังงานอันน่าสะพรึงออกมา ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว คล้ายตั้งใจที่จะกลืนกินโลก และยึดทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
ทันใดนั้น ท้องฟ้าทั้งหมดก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสีดำ ปกคลุมนภา และบดบังดวงอาทิตย์ กลางวันก็ถูกครอบงำด้วยราตรีนิรันดร์ ซึ่งทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิด
หลังจากนั้น แรงกดดันอันใหญ่หลวงได้แผ่ขยายออกไป ทำให้สรรพสิ่งตกอยู่ในความหวาดกลัวและความเงียบงัน มีเพียงวังวนแห่งความมืดเท่านั้นที่ยังคงหมุนอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ซากศพ เลือด และแม้แต่สมบัติที่ถูกทิ้งไว้ ล้วนถูกกระแสวังวนกลืนกินจนหมด!
“นี่คือพลังแห่งการสังเวยเลือด…” เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้เกิดขึ้น สีหน้าของจ้าวไท่ฉือก็กลายเป็นอำมหิตทันที “ดูเหมือนพวกเราจะตกหลุมพรางของนิกายอำนาจเทวะเสียแล้ว นี่เป็นกับดัก!”
“เช่นนั้น พวกที่เสียชีวิตในทะเลทรายเนตรสวรรค์ก็ไม่เท่ากับถูกหลอกใช้หรอกหรือ?” ดวงตาของอ๋าวจิ่วหุยทอประกายวาวโรจน์
“แน่นอน ฮึ่ม! นิกายอำนาจเทวะ!” ฉือฉางเซิงคำรามเสียงเย็น “มีเพียงนิกายอำนาจเทวะเท่านั้นที่จะทุ่มความพยายามเพื่อเตรียมการทั้งหมดนี้ โดยใช้เลือดและวิญญาณของราชันเซียนที่ล้มตายทั้งหมด เพื่อดึงพลังของวังวนโลกาวินาศออกมาผ่านเคล็ดสังเวยเลือด!”
ครืน ครืนน!
เมื่อเวลาผ่านไป วังวนโลกาวินาศทวีความบ้าคลั่งมากขึ้น มันส่งเสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
พลังงานที่เล็ดลอดออกมา ก็น่าสะพรึงจนแม้แต่เฉินซีก็ยังรู้สึกตื้อชาไปทั้งหนังศีรษะ และรู้สึกว่าหากต้องเผชิญกับมันด้วยตนเอง เขาคงถูกกระแสวังวนบดขยี้เป็นผุยผงทันที
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ดูไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นราชันเซียนครึ่งขั้นหรือขอบเขตเทวา พวกเขายังรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง เมื่อเผชิญกับวังวนโลกาวินาศนี้
“เราควรทำอย่างไรดี? เราไม่อาจนั่งรอความตายมาถึงได้” อ๋าวจิ่วหุยขมวดคิ้ว พลางคิดหาหนทางเอาชนะสถานการณ์นี้อย่างบ้าคลั่ง
“แม้ว่าเราจะอยู่เหนือกว่าสามภพ และไม่ได้ถูกควบคุมโดยเต๋าแห่งสวรรค์ในสามภพ แต่วังวนโลกาวินาศก็ทำให้มหาเต๋ากลายเป็นกรง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เราอยู่ในภพเซียนแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์นี้ได้” จ้าวไท่ฉือถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาที่สุกใสพลุ่งพล่านด้วยความภาคภูมิและหยิ่งผยอง “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวังวนโลกาวินาศนี้จะดึงภัยพิบัติลงมา แต่ก็อาจไม่สามารถทำอะไรต่อเราได้”
“หรือเจ้าทั้งคู่จะลืมสิ่งที่เจ้าสำนักได้กล่าวก่อนที่เราจะมาที่นี่?” ทันใดนั้น ฉือฉางเซิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ดูตื่นเต้น ยินดี และเร่าร้อน “ความโกลาหลในจักรวาลมาถึงแล้ว และโอกาสที่เรารอคอยมานานหลายปีจะต้องมาพร้อมกับมัน!”
หัวใจของจ้าวไท่ฉือและอ๋าวจิ่วหุยสั่นสะท้าน ทำให้เกิดความคาดหวังอันเร่าร้อนเช่นเดียวกับฉือฉางเซิง
ในขณะนี้ แววตาทอดมองกระแสวังวนได้เปลี่ยนไป มันไร้ซึ่งความกลัว ทั้งยังไม่แปลกใจ และไม่สับสนอีกต่อไป
คนอื่น ๆ ได้แต่สับสน ไม่เข้าใจว่าผู้ยิ่งใหญ่กำลังพูดถึงอะไรอยู่กันแน่
มีเพียงดวงตาของราชันเซียนรัตติกาลที่อยู่ห่างจากการบรรลุสู่ขอบเขตเทวาเท่านั้นที่สว่างขึ้นทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ “โอกาส… โอกาสโดยบังเอิญ…”
“ฮ่า ๆ ๆ! ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอ!”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่สะท้านสวรรค์ก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เสียงนี้เผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งและอหังการ ซึ่งฟังดูเหมือนเสียงฟ้าคำราม
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
พร้อมกับเสียงนี้ ร่างทั้งสามได้ฉีกทะยานผ่านผืนฟ้าเข้ามา คนที่เป็นผู้นำมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ร่างกายเต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชน ท่าทางเย่อหยิ่งและอิสระ ประหนึ่งราชาที่ควบคุมเปลวเพลิงทั้งหมดในโลก
น่าแปลกที่มันคือซุ่ยเหรินถิง!
ในขณะนี้ ประกาศิตสีม่วงลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขาสี่ฉื่อ มันเปล่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วนิรันดร์ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะมีการเชื่อมโยงกับวังวนโลกาวินาศอยู่จาง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะตอบสนองและร่วมมือกับมันจากระยะไกล!
เมื่อเห็นบุคคลนี้ นัยน์ตาของเฉินซีก็หดตัวลงทันที เขาเข้าใจทันทีว่ามันเป็นไปตามที่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ คาดการณ์ไว้ ทั้งหมดนี้ถูกวางแผนโดยนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ
มีชายชราไว้หนวดเคราในชุดคลุมสีเหลืองกับสตรีที่สวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ และมีสีหน้าไม่แยแสยืนอยู่เคียงข้างซุ่ยเหรินถิง ความคล้ายคลึงเพียงอย่างเดียวของพวกเขา ก็คือร่างกายทั้งสองถูกปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และมีกลิ่นอายน่าเกรงขามสูงสุด
แน่นอนว่าทั้งสองคือการดำรงอยู่ที่ขอบเขตเทวา!
“ท่านบรรพบุรุษ!?”
เมื่อเห็นบุคคลสองคนนี้ สีหน้าของจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งยังเผยสีหน้าที่เหลือเชื่อ
ทั้งสองคนนี้ คือตัวตนขอบเขตเทวาที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลจั่วชิว จั่วชิวเป่ยหยง และจั่วชิวเหลิงฮวา!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกจั่วชิวเฟยหมิง เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็เดาตัวตนของสองคนนี้ได้ทันที และสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อตระกูลจั่วชิวร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งสองไม่ได้ปรากฏตัว แต่กลับปรากฏตัวพร้อมกันกับซุ่ยเหรินถิง ซึ่งอยู่อันดับสองในบรรดาศิษย์ชั้นสูงทั้งเจ็ดของนิกายอำนาจเทวะ แม้แต่คนตาบอดก็ยังรู้ว่า พวกเขาได้ร่วมมือกันมานานแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือการปรากฏตัวของวังวนโลกาวินาศ มันมีความเกี่ยวข้องกับซุ่ยเหรินถิงและคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นประกาศิตสีม่วงที่ลอยอยู่เหนือซุ่ยเหรินถิง จ้าวไท่ฉือและคนอื่นที่ขอบเขตเทวาก็ยืนยันเรื่องนี้ได้ทันที
เพราะประกาศิตสีม่วงนั้น เป็นประกาศิตอำนาจเทวะที่ครอบครองโดยเจ้านิกายคนปัจจุบัน!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้านิกายอำนาจเทวะอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้!
ประมุขนิกายอำนาจเทวะนั่นเป็นการดำรงอยู่อันสูงสุดที่เทียบได้กับปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ฝูซี และปรมาจารย์แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวามาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงตอนนี้ เขาวางแผนสร้างภัยพิบัติที่สั่นคลอนสามภพมานับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนอื่น ๆ หวาดกลัวและเคารพ!
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นอะไรเลย เพราะถ้าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเจ้านิกายอำนาจเทวะ แล้วจะมีกี่คนในสามภพที่สามารถสังเกตเห็นมันได้?