บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1452 บนหลังมังกร
บทที่ 1,452 บนหลังมังกร
บทที่ 1,452 บนหลังมังกร
จั่วชิวหวงหลินฟื้นคืนชีพแล้ว!
ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หากมองไปรอบ ๆ อย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าทั้งเว่ยซิง จั่วชิวเฟิง และหมากของนิกายอำนาจเทวะต่างก็ไม่ได้รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย คล้ายว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
มีเพียงหัวเจี้ยนคง ราชันเซียนรัตติกาล เซวียนหยวนเส้า และคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ประหลาดใจอย่างมากต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดลงถนัดตา
ราชันเซียนที่ถูกสังหารสามารถฟื้นคืนชีพได้แทบจะในทันที สิ่งนี้ทำให้พวกเขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างเดียวกัน นั่นคือโอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติ!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ได้ในทันที โดยไม่จำต้องพึ่งคำเตือนจากเฉินซีเลยแม้แต่น้อย
ใช่แล้ว หากคู่ต่อสู้มีโอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติอยู่ในการครอบครอง มันก็กลายเป็นการต่อสู้อันอยุติธรรมที่ไม่อาจมองเห็นหนทางไปสู่ชัยชนะ!
เพราะแม้ว่าฝ่ายศัตรูจะถูกฆ่า แต่ก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ในทันที แล้วอย่างนี้จะฝืนต่อสู้ไปให้ได้อะไรขึ้นมา?
แต่ไม่ว่าการต่อสู้นี้จะเป็นไปดังที่พวกเขาคาดหวังหรือไม่ พวกเขาก็ทำได้เพียงแต่ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเท่านั้น
บัดนี้ บรรยากาศโดยรอบถูกทาบทับไว้ด้วยความกดดันอันมหาศาล
…
เฉินซีไม่คิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการสังหารคู่ต่อสู้ของเขาให้รวดเร็วที่สุด และคว้าโอกาสนี้ไปกับการเข้าช่วยเหลือคนอื่น ๆ
อย่างไรแล้วก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ตระหนักอย่างชัดเจนว่าพลังแห่งจุดจบซึ่งอยู่ในการครอบครองของตนสามารถนำไปใช้จัดการกับสหายเต๋าที่มีโอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติได้
ถึงอย่างนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้แผนของเฉินซีซวนเซไปพอสมควร นี่มันเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของใครหลาย ๆ คนไปแล้วด้วยซ้ำ
หลังจากที่จั่วชิวหวงหลินฟื้นคืนชีพแล้ว เขาไม่ได้ต่อสู้กับราชันเซียนรัตติกาลร่วมกับจั่วชิวเฟิง หากแต่เปลี่ยนเป้าหมายไปยังเฉินซีแทน!
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่เว่ยซิงและราชันเซียนครึ่งขั้นคนอื่น ๆ จะสามารถต่อกรกับเฉินซีได้
ดังนั้นทันทีที่ฟื้นคืนชีพ เขาจึงตั้งใจที่จะจัดการกับเฉินซีเป็นคนแรก!
ผัวะ!
แรงกดดันของราชันเซียนนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ฝ่ามือของจั่วชิวหวงหลินนั้นรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด มันฟาดลงมายังเฉินซีจากระยะไกล ปิดกั้นเส้นทางในการล่าถอยทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
เฉินซีไม่มีแม้เวลาจะตอบโต้ เขาพลันสังเกตว่าทั้งฟ้าดิน ห้วงเวลา และพื้นที่มิติโดยรอบถูกแช่แข็ง ชายหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแมลงตัวจ้อยที่ตกลงไปยังใจกลางของใยแมงมุม กับดักเหล่านั้นพันรัดไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่แม้จะเคลื่อนไหวหรือขยับย่างได้เลย!
สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมลงในทันที ความรู้สึกหวาดกลัวต่อภยันตรายผุดขึ้นมาฉับพลัน มันเป็นกลิ่นอายแห่งความตายที่เขาเคยสัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ที่เริ่มบ่มเพาะจนถึงตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์ทั้งหลายที่เขาเคยสัมผัสก็หาได้แข็งแกร่งอย่างเช่นตอนนี้ มันถึงขนาดที่กลิ่นของความตายนั้นติดตรึงในโพรงจมูกไม่สร่างซา!
ในตอนนี้ เฉินซีเห็นว่าเว่ยซิงและคนอื่น ๆ ต่างก็มีท่าทีโล่งใจมากขึ้น พวกเขามองมาทางเฉินซีด้วยแววตาดุร้ายและเหยียดหยันประหนึ่งกำลังมองดูซากศพ
อีกฟากหนึ่ง ทั้งหัวเจี้ยนคง เตียนเตี้ยน เซวียนหยวนเส้า และคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าโกรธจัด พวกเขาพยายามสลัดคู่ต่อสู้ของตนออกเพื่อเข้าไปช่วยเฉินซี…
จั่วชิวหวงหลินโจมตีด้วยความรวดเร็วเกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้ ชายชราทุ่มสุดพละกำลังที่มีด้วยตั้งใจจะกำจัดเฉินซีโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้น เขาไม่มีทางที่จะเปิดช่องว่างใด ๆ ให้คนอื่นได้คว้าโอกาสขัดขวางอย่างแน่นอน
หากราชันเซียนตั้งใจจะสังหารราชันเซียนครึ่งขั้นด้วยความแกร่งทั้งหมดที่มีแล้วละก็ มันก็หาได้ต่างอะไรกับการบดขยี้มดปลวกตัวหนึ่ง ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ตอนนี้เอง เฉินซีสังเกตเห็นร่องรอยแห่งความสมเพชเวทนาในแววตาของจั่วชิวหวงหลิน…
เขากำลังเวทนาในเรื่องใดกัน?
เขากำลังหัวเราะเยาะที่ประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป หรือกำลังเยาะเย้ยที่สิ่งที่ข้าพยายามทำไปมันไร้ผล?
เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน! ในช่วงเวลาสำคัญแห่งความเป็นความตายนั้น ฉับพลันเฉินซีสังเกตเห็นว่ากระแสแห่งความเวทนาในดวงตาของจั่วชิวหวงหลินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มันเจือซึ่งความประหวั่น ความตระหนก ก่อนจะกลายเป็นความหวาดผวาอย่างถึงขีดสุด…
เขากำลังกลัวอะไรอยู่?
บัดนั้น เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังสั่นสะท้าน แรงกดดันและพันธนาการใด ๆ ที่ทับทาบบนเรือนกายผ่อนลงประหนึ่งกระแสน้ำไหลเอื่อย อิสรภาพที่กลับคืนมาเกิดขึ้นพร้อมกับร่างที่ถูกยกขึ้น มันหอบพาร่างของเขาให้หายไปจากที่แห่งนั้น
ตึง!
ตอนนั้นเอง เฉินซีรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเคลื่อนที่ผ่านจักรวาล เดินทางท่ามกลางหมู่เมฆ ปล่อยเสียงให้เคลื่อนคล้อยไปตามแผ่นสวรรค์ ทว่ากลับไม่อาจลืมตามองบรรยากาศรอบข้างได้เลย
“กรร!!!” เสียงคำรามของมังกรดังกึกก้องไปทั้งแผ่นดิน เฉินซีซึ่งร่างกายสั่นเทาค่อย ๆ ฟื้นสติขึ้น เมื่อลืมตามองไปเบื้องหน้า ชายหนุ่มพลันรู้ตัวว่าตนได้มาถึงสรวงสวรรค์ทั้งเก้าชั้นแล้ว
ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือเขากำลังยืนอยู่บนหลังมังกร!
มังกรฟ้าในตำนาน!
ร่างกายที่คดเคี้ยวของมันทอดยาวไปไกลกว่าแสนลี้ประหนึ่งเทือกเขาซึ่งทอดยาวข้ามสวรรค์ หนวดกวัดแกว่งไปมาราวแม่น้ำสีเงินสองสายที่ไหลลงมาจากเบื้องบน หัวที่ใหญ่โตนั้นกว้างใหญ่ดังขุนเขา แม้แต่เกล็ดที่ปกคลุมร่างกายของมันก็ใหญ่โตและอัดแน่นไปด้วยอักขระเต๋าจำนวนมาก
มังกรตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก มันอาศัยอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้าชั้น เนื่องด้วยมีเพียงสถานที่เช่นนั้นเท่านั้นที่จะรองรับความยิ่งใหญ่ของมันได้!
ตู้ม!
ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีรู้สึกว่ามีแรงสั่นสะเทือนที่ใต้ฝ่าเท้าของตน ร่างมโหฬารของมังกรฟ้าแปลงเป็นชายชราในชุดคลุมสีทองผู้มีความสูงกว่าสิบจั้ง รูปโฉมดูโบราณหากเปี่ยมไปด้วยท่าทางที่สูงส่งและผ่าเผย
ไม่ต้องสงสัยเลย ชายชราที่สวมชุดคลุมสีทองนี้คืออ๋าวจิ่วหุย บรรพชนแห่งภพมังกรไม่ผิดแน่ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวที่มีชีวิตอยู่ในวิถีแห่งการบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน
เห็นได้ชัดว่าที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเฉินซีจากเงื้อมมือของจั่วชิวหวงหลิน
“ดีเหลือเกินที่ทันเวลา” อ๋าวจิ่วหุยเหลือบมองไปยังเฉินซีก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไป”
ขณะที่พูด ร่างพลันกะพริบพร่างเป็นลำแสง พาเฉินซีลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้าชั้นก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวลงเหนือท้องฟ้าของทะเลทรายเนตรสวรรค์
ตอนนี้เอง เฉินซีสังเกตว่าผู้ที่มาถึงที่นี่ไม่ได้มีเพียงอ๋าวจิ่วหุยเท่านั้น แม้แต่จ้าวไท่ฉือและฉือฉางเซิงก็ยืนอยู่อย่างองอาจ
เส้นผมสีขาวราวหิมะของจ้าวไท่ฉือที่ม้วนมวยเผยให้เห็นถึงดวงหน้าที่งดงามราวสตรีแรกรุ่นผู้ไม่มีใครเทียบได้ แม้ท่าทางของนางจะดูไม่ได้เอาจริงเอาจังมากนัก ทว่ากลับเปล่งประกายด้วยรัศมีอันสง่างามที่ผ่าเผยจรดฟ้าแดนสวรรค์ ราวกับนางเป็นผู้สูงส่งเหนือใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดจะเหนือกว่าหรือมองข้ามนางไปได้
ในส่วนของฉือฉางเซิงร่างผอมเพรียวผู้นั้น เขายังคงแสดงสีหน้าหงุดหงิดอันไร้เหตุผลอยู่ตลอดเวลาเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้น รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวกลับแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ซึ่งมีที่มาจากต่างพิภพ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่จ้าวไท่ฉือและอ๋าวจิ่วหุยบัดนี้ก็ล้วนแต่เอ่อล้นไปด้วยพลังเทวะอันศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสามได้บรรลุถึงขอบเขตเทวาแล้ว!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งสามคนได้กลายเป็น ‘เทพเซียน’ ในตำนานที่ก้าวข้ามภพทั้งสาม และไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของธาตุทั้งห้าอีกต่อไป!
“ศิษย์เฉินซีคารวะผู้อาวุโส” เฉินซีระงับความตื่นเต้นในใจและค้อมตัวเป็นการคำนับ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี อย่างแรก เราต้องจัดการกับเรื่องตรงหน้าเสียก่อน” จ้าวไท่ฉือยิ้มขณะมองไปยังสมรภูมิ
…
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสามจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าซึ่งอยู่ในขอบเขตเทวามาถึงโดยพร้อมเพรียง สถานการณ์ก็พลันผันเปลี่ยนไปในทันที
บรรดาราชันเซียนที่แต่เดิมกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดต่างก็หยุดการเคลื่อนไหว พวกเขาแยกตัวจากคู่ต่อสู้ทันที
กลุ่มคนลึกลับทั้งหลายกลับมาสมทบกับจั่วชิวเฟิง จั่วชิวหวงหลิน เว่ยซิง และคนอื่น ๆ พวกเขามองไปยังข้างกายของเฉินซีทั้งสีหน้าตึงเครียด สายตาจดจ่อไปที่จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงอย่างไม่มีลดละ
ยิ่งจ้องมองอีกฝ่ายนานเท่าไร ความหวาดกลัวก็ยิ่งก่อตัวในใจมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขาบัดนี้มีเพียงความเคร่งขรึมที่ทวีคูณทุกขณะ
หัวเจี้ยนคง ราชันเซียนรัตติกาล เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย และคนอื่น ๆ กลับมารวมตัวกันที่ฝั่งของเฉินซี พวกเขาจ้องมองจ้าวไท่ฉือ ฉือฉางเซิง และอ๋าวจิ่วหุยด้วยพินิจเช่นเดียวกัน
สีหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ และความปีติยินดี
สวรรค์ทรงโปรด!
หากกล่าวว่าราชันเซียนนั้นยืนอยู่จุดที่สูงสุดของภพทั้งสามแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตเทวาก็นับว่าเหนือไปยิ่งกว่านั้น พวกเขาสามารถเอาชนะข้อจำกัดของภพทั้งสามและหลุดพ้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของธาตุทั้งห้า กล่าวคือ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ชีวิตยาวนานนิรันดร์ตามเท่าที่เพลิงเทวะในกายยังคงสว่างไสว!
พวกเขาแค่เพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีราชันเซียนคนไหนกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
การปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาทั้งสามนั้น ไม่ต่างอันใดกับขุนพลเทวะที่เยื้องย่างลงมาจากสวรรค์ เป็นไพ่ตายที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
“บัดซบ! เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?” จั่วชิวเฟิงมีสีหน้าหม่นหมอง หัวใจบีบรัดคล้ายท่วมไปด้วยเลือด ก่อนหน้าที่พวกเขากำลังอยู่ในจุดที่ได้เปรียบแล้วแท้ ๆ ทั้งที่เกือบจะจัดการกับกลุ่มผู้ทรยศในตระกูลไปได้หมดสิ้น ใครจะคาดคิดเล่าว่าจู่ ๆ หัวเจี้ยนคงและเฉินซีจะปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะสยบคนทั้งสองได้ เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ยก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน แม้แต่ราชันเซียนรัตติกาลก็มาถึงยังที่แห่งนี้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังเป็นต่ออยู่ดี ทว่าใครที่ไหนจะกล้าจินตนาการได้ว่าเฉินซีจะมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ถึงขนาดนี้ว่าราชันเซียนครึ่งขั้นเองก็ยังไม่อาจต้านทานได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในระหว่างที่การต่อสู้ดำเนินไป ราชันเซียนอย่างจั่วชิวหวงหลินก็ถูกสังหารโดยราชันเซียนรัตติกาล หากไม่มีโอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติแล้วละก็ จั่วชิวหวงหลินก็คงจะตายไปแล้วจริง ๆ
โชคดีที่สถานการณ์ในเวลานั้นยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกตน ทว่าในตอนที่จั่วชิวหวงหลินกำลังจะปลิดชีพเฉินซีอยู่นั่นเอง กลับมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียได้!
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาไปมาก ใช่แล้ว ใครจะไปคิดว่าสามเทวะแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเซียนจะโผล่มาท่ามกลางความวุ่นวายนี้!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อได้เปรียบใด ๆ ที่พวกเขามีก็พังครืนลงไปในทันตา กลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในจุดที่เป็นอันตรายเสียเอง
จะให้จั่วชิวเฟิงยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
จริงอยู่ที่จั่วชิวเฟิงโกรธจนแทบสิ้นสติ ทว่าเว่ยซิงนั้นโกรธยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ฟันที่สบกับแทบจะบดตัวเองให้กลายเป็นผุยผง
ทีแรก ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถระดมกำลังของหมากหลักทั้งเก้าที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนและหมากรองทั้งหกสิบเก้าคนมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ แต่จั่วชิวเฟิงกลับไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับตนและไม่ยอมให้เข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิวเป็นอันขาด
มาคราวนี้ ยังไม่ทันที่กลุ่มผู้ทรยศจะถูกกำจัดไปสิ้น ศัตรูตัวใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย แม้แต่สิ่งมีชีวิตน่าเกรงขามซึ่งอยู่ในขอบเขตเทวาทั้งสามคนก็ยังปรากฏตัว แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เว่ยซิงโมโหได้อย่างไร?
“ไอ้บัดซบเอ้ย แกนี่มันไร้ประโยชน์เสียจริง!” เว่ยซิงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แม้ว่าความสิ้นหวังจะกอบกุมภายในจิตใจ ทว่าเขารู้ดี ต่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งสามไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาก็แทบไม่มีโอกาสจะพลิกสถานการณ์อยู่ดี
เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสาม ไม่ใช่แค่เพียงจั่วชิวเฟิงและเว่ยซิงเท่านั้น แม้แต่กลุ่มคนลึกลับและคนของตระกูลจั่วชิวที่อยู่ด้านหลังก็รู้สึกหนักใจไม่ต่างกัน
“หึ! ช่างทนอะไรขนาดนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็คงทำได้แค่จัดการกับคนเหล่านี้ก่อนเท่านั้น” ตอนนั้นเอง จ้าวไท่ฉือพลันแค่นเสียงเย็นด้วยคำพูดที่ไม่อาจเข้าใจได้
แต่ทุกคนที่อยู่โดยรอบก็พอจะเข้าใจคำพูดครึ่งหลังของนาง มันทำให้หัวใจของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ แทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม สีหน้าพลันเครียดขึงขมวดมุ่น
ตอนนี้เอง จั่วชิวเฟิงจมอยู่ภายใต้ความหวาดหวั่น ใจสูญเสียความสงบไปสิ้นเชิง เขาตะโกนก้องขึ้นไปบนฟ้าโดยปราศจากความคาดหวังหรือลังเล “ท่านบรรพบุรุษ โปรดช่วยพวกข้าด้วย!”