บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1451 การร่วงหล่นของราชันเซียน
บทที่ 1451 การร่วงหล่นของราชันเซียน
บทที่ 1451 การร่วงหล่นของราชันเซียน
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
เฉินซีผู้สงบเงียบไล่สังหารอย่างว่องไวและดุร้าย ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป ไม่เพียงแต่รัศมีอันสง่างามจะไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แผ่ขยายกวาดไปทั่วสวรรค์และปฐพี
หากพวกเขาไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการว่า ตอนนี้เฉินซีนั้นน่าเกรงขาม และทรงพลังมากจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบ
ในสนามรบ ฝนเลือดหลั่งรินจากฟากฟ้า เสียงร้องโหยหวนสั่นสะเทือนสวรรค์
ราวกับนรกเลือดได้ผุดขึ้นมาสู่พื้นโลกอีกครา
ในท้ายที่สุด หัวใจของเว่ยซิงพลันรู้สึกเย็นเยียบ จนไม่กล้าลังเลอีกต่อไป และสั่งให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จากกลุ่มของจั่วชิวเฟิงเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเสียงอันเคร่งขรึม
มีผู้อาวุโสมากกว่าสามสิบคนอยู่ในกลุ่มของจั่วชิวเฟิง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น เดิมทีพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้นี้ แต่ก็ตระหนักดีว่า หากยังปล่อยให้เฉินซีสังหารคนอื่น ๆ เช่นนี้ต่อไป หลังจากที่เหล่าสุนัขของนิกายอำนาจเทวะตายกันหมด เมื่อนั้นมันก็จะถึงคราวของพวกตน
ทันใดนั้น คู่ต่อสู้ของเฉินซีก็เพิ่มขึ้นกว่าสามสิบคน การเพิ่มผู้อาวุโสจากตระกูลจั่วชิวเหล่านี้ลงมาในสนาม นับว่าเพิ่มความกดดันให้กับเฉินซีอย่างมาก
“ไอ้สารเลวพวกนี้! ถึงกลับกล้าร่วมมือกับสุนัขของนิกายอำนาจเทวะโจมตีลูกชายของอาเสวี่ย!”
“ไร้ยางอายเป็นที่สุด!”
“ข้าอยากจะสังหารไอ้สารเลวเหล่านี้ซะตอนนี้เลยจริง ๆ!”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ก็โกรธจนตัวสั่นไปหมด หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธและความโศกเศร้า เพราะเดิมทีพวกเขาล้วนเป็นคนในตระกูลที่มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ แต่ตอนนี้กลับต้องหันมาเข่นฆ่ากันเอง…
ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!
ถึงขนาดที่เพื่อสังหารคนในตระกูลเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งของนิกายอำนาจเทวะ หากบรรพบุรุษของตระกูลจั่วชิวได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงจะโกรธจนตาย
…
ทุกสิ่งในตอนนี้ ได้เพิ่มความกดดันให้กับเฉินซีเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะบอกว่าหวาดกลัว เขากลับรู้สึกยินดีมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับหมากที่สำคัญเหล่านี้ของนิกายอำนาจเทวะ เขาหวังที่จะฆ่าไอ้สารเลวของตระกูลจั่วชิวด้วยมือของตนเองมากกว่า!
ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ แม่ของเขา จั่วชิวเสวี่ย จะถูกคุมขังได้อย่างไร? และสมาชิกทั้งหมดของตระกูลเฉินก็คงไม่ถูกสังหารจนหมดสิ้นเช่นนี้หรอกจริงหรือไม่?
เฉินซีมาที่นี่เพื่อแก้แค้นตระกูลจั่วชิว ตอนนี้ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นฝ่ายมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เขาจะปฏิเสธโอกาสอันยอดเยี่ยมในการแก้แค้นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
ฆ่า!
พริบตาต่อมา เฉินซีมุ่งความสนใจไปที่ผู้อาวุโสจากตระกูลจั่วชิวเหล่านี้ การโจมตีทั้งโหดเหี้ยมและไร้ปรานี ทำให้คู่ต่อสู้ไม่มีโอกาสรอดเลย!
โครม!
ผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวที่ไม่สามารถหลบได้ทันเวลา ถูกการโจมตีด้วยฝ่ามือเฉินซี ทำให้คอขาดสะบั้น กลายเป็นศพไร้หัวกระเด็นออกไปและเสียชีวิตทันที
“บัดซบ! ถ้าข้ารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อหลายปีก่อนข้าไม่น่าไว้ชีวิตเจ้าเลย!” ชายชราชุดดำอีกคนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเหยียดแขนออก และใช้งานความลึกล้ำแห่งมิติ สร้างเงาฝ่ามือไร้รูปร่างนับพันขึ้นฟาดลงมาที่เฉินซี
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ ไม่แยแส เย็นชาและอาฆาตแค้น เขาก้าวไปข้างหน้า ทำให้ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปจากจุดนั้นในทันที
ครู่ต่อมา ร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชายชราชุดดำ และยื่นมือออกไปคว้าคอของอีกฝ่ายไว้ หลังจากนั้น เขาก็บิดและกระชากศีรษะของชายชราอย่างรุนแรง
พรูด!
น้ำพุเลือดเส้นหนาไหลทะลักออกมาจากศพชายชรา ชโลมไปทั่วร่างของเฉินซี ทำให้เสื้อผ้าของเขากลายเป็นสีแดงฉาน ทว่าใบหน้ากลับดูเฉยเมยและเย็นชามากยิ่งขึ้น เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและไร้ปรานี
โครม!
เฉินซีบดหัวจนแหลกเหลว จากนั้นร่างของเขาก็หายวับ ทิ้งภาพติดตาไว้บนอากาศและพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวอีกคนที่อยู่ด้านข้าง
ความเกลียดชังที่สะสมอยู่ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟ ไหลท่วมไปทั่วร่าง
เขาจำเป็นต้องระบาย!
เพราะเขาอดทนกับมันมาหลายปีเกินไป ยอมเสียเลือดเสียเหงื่อ ผ่านการสังหารและการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนเพื่อสิ่งนี้!
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง แล้วจะควบคุมตัวเองได้อย่างไร?
หากเขาไม่ระบายออกไป ความเกลียดชังทั้งหมดนี้จะไม่อาจปล่อยวาง และอาจกลายเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางเส้นทางสู่เต๋า!
ฆ่า!
ฆ่า!
ฆ่า!
ในตอนนี้ เฉินซีลืมแม้กระทั่งการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนที่กำลังปะทุอยู่เหนือท้องฟ้า ลืมแม้กระทั่งจำนวนคู่ต่อสู้ตรงหน้า ความคิดเดียวในใจยามนี้คือ ระบาย!
ระบายความเกลียดชังออกไปให้หมด!
มีเพียงเลือดและความตายของศัตรูเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาความเกลียดชังในใจได้!
ฝนเลือดโปรยปรายลงพร้อมแขนขาที่ฉีกขาด ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนราวกับบทเพลงแห่งความตายกลับดังก้องอย่างต่อเนื่องไปทั่วสนามรบ กระตุ้นความตั้งใจในการต่อสู้ของเฉินซีให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับหินหลอมเหลวที่กำลังลุกไหม้ แผดเผาท้องฟ้า!
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเว่ยซิงหรือคนอื่น ๆ จากนิกายอำนาจเทวะ หรือผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิว ต่างก็ตกใจเมื่อเห็นเฉินซีดูราวกับกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาแดงก่ำราวกับเลือด ผมสีดำสนิทปลิวไสว และรัศมีที่สง่างามก็แข็งแกร่งขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับว่าสัตว์อสูรบรรพกาลฟื้นคืนชีพขึ้นมาประทับร่าง และตั้งใจจะกลืนกินศัตรูให้สิ้น!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาล่าถอยอย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยความพ่ายแพ้ ในขณะที่ความตายคืบคลานอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะต่อสู้หรือต่อต้านอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางเฉินซีได้เลยแม้แต่นิดเดียว
นี่มันน่ากลัวเกินไป!
มันน่ากลัวมาก!
ทุกคนรวมถึงเว่ยซิงต่างก็สิ้นหวัง รู้สึกราวกับว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง และความตั้งใจในการต่อสู้ก็พังทลายลงทีละนิด จนแทบไม่สามารถทนต่อแรงกดดันโหดร้ายนี้ได้
ใครจะจินตนาการได้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือคนเพียงคนเดียว?
ในความเป็นจริง พวกเขาไม่รู้เลยว่า หากกล่าวในแง่ของการฝึกฝน การฝึกฝนของเฉินซียามนี้ ก้าวหน้ากว่าขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นธรรมดากว่าร้อยเท่า ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับความช่วยเหลือจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ซึ่งช่วยสนับสนุนไม่ให้ปราณเซียนเหือดแห้ง
ในแง่ของการฝึกฝนดวงจิตแห่งเต๋านั้น ตั้งแต่ตอนยังอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ เฉินซีก็ได้บรรลุขอบเขตทารกดวงใจ ซึ่งเทียบได้กับขอบเขตราชันเซียนที่แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ราชันเซียนครึ่งขั้นจะสามารถเทียบได้เลย นอกจากนี้มันยังทำให้มั่นใจได้ว่า เขาจะมีกำลังสำรองเพียงพอต่อการสู้รบที่ยืดเยื้อแน่นอน
ในแง่ของเต๋าแห่งกระบี่ เขาได้บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์ จนแม้แต่ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ก็ยังไม่อาจเทียบเคียง
ในแง่ของเจตจำนงเต๋า เพียงแค่เต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระที่สร้างขึ้นเองเพียงอย่างเดียว ก็เกินพอที่จะบดขยี้เซียนปราชญ์ทั้งหมดในโลกได้แล้ว ยิ่งตอนนี้ได้ก้าวสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเป็นที่เรียบร้อย เต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระก็ได้หลอมรวมกับกฎสูงสุดทั้งสามอย่าง เวลา มิติ ความเป็นและความตาย ดังนั้นจึงจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่า พลังเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของเขาน่ากลัวเพียงใด
ในด้านประสบการณ์การต่อสู้ ความตั้งใจในการต่อสู้ และด้านอื่น ๆ แม้ว่าเฉินซีจะยังไม่ถึงระดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปสามารถเปรียบเทียบได้
และเมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน มันก็กลายเป็นพลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่เฉินซีครอบครองอยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคู่ต่อสู้ที่มีขอบเขตการฝึกฝนระดับเดียวกัน แล้วเฉินซีจะกลัวได้อย่างไร?
แม้จะอยู่ภายใต้การกระตุ้นแห่งความเกลียดชัง แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ กลับแข็งแกร่งกว่าปกติถึงสามเท่า!
ตรงข้ามกับเว่ยซิงและคนอื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นราชันเซียนครึ่งขั้น แต่จะเปรียบเทียบกับเฉินซีได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับเฉินซีเลยด้วยซ้ำ!
เมื่อความตั้งใจที่จะต่อสู้พังทลายลง พวกเขาก็ถูกกำหนดให้ต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีที่ดูเหมือนเทพอสูรจุติลงมายังโลกนี้ ใจของเว่ยซิงกับราชันเซียนครึ่งขั้นคนอื่น ๆ ต่างก็ถูกความหวาดกลัวเข้าถาโถมจนแน่น
เวลานี้ พวกมันเป็นเหมือนอูฐที่ใกล้ขาดใจตาย แค่น้ำหนักของฟางเส้นเดียวก็เพียงพอที่จะถล่มพวกเขาทั้งหมดแล้ว!
“อ๊าก!!!” แต่ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า เสียงที่รุนแรงบาดหูนี้ไม่เพียงทำให้หัวใจของเว่ยซิงและคนอื่น ๆ สั่นไหว ทว่าแม้แต่หัวใจของเฉินซีที่ตกอยู่ในภวังค์โกรธแค้นจนเกือบเป็นบ้า ก็ยังสั่นสะท้านและฟื้นสติขึ้นมาได้
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไปก็ยังจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตกตะลึง
ซ่า!
ฝนสีทองเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ส่องแสงสว่างเจิดจ้าย้อมไปทั่วฟ้าดิน
“บรรพบุรุษหวงหลิน!” เสียงคำรามอันโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวของจั่วชิวเฟิงดังก้อง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าฝนสีทองแวววาวและเจิดจ้านี้ คือเลือดของราชันเซียนจั่วชิวหวงหลิน และตอนนี้ร่างกายของจั่วชิวหวงหลินเอง ก็ได้กลายเป็นศพเปื้อนเลือดลอยอยู่ในอากาศ…
ราชันเซียนร่วงหล่นแล้ว!
ทุกคนต่างหายใจไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าเสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชอย่างยิ่งจากเมื่อครู่นั้น เป็นของจั่วชิวหวงหลิน
ในทางกลับกัน มันก็หมายความว่า ผู้ชนะที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ก็คือราชันเซียนรัตติกาล!
ยามนี้เสื้อผ้าของนางโบกสะบัดขณะที่ร่างยังลอยอยู่ด้านบนนั่น ใบหน้าหยกที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ช่างดูเย่อหยิ่ง ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงอันงดงามศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเทพธิดา
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้จริง ๆ ว่านางใช้ทักษะเช่นใดถึงสังหารจั่วชิวหวงหลิน ในระหว่างเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัวลงได้
“เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่?” เตียนเตี้ยนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ยกยิ้มขึ้นและมองไปทางเฉินซี
“ถ้าเป็นไปได้ก็ไปช่วยเขาก่อน” เฉินซีส่ายหัวแล้วมองไปยังท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง ที่ซึ่งหัวเจี้ยนคงกำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้สามคนด้วยตัวคนเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มแสดงสัญญาณว่าจะพ่ายแพ้ออกมาเลือนราง
ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของหัวเจี้ยนคง การต่อสู้ของเซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ยเอง ก็ยังคงดำเนินอยู่เช่นกัน การตายของจั่วชิวหวงหลินไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเขาเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สถานการณ์ของหัวเจี้ยนคงนั้นค่อนข้างจะแย่เล็กน้อย
นั่นเป็นเหตุผลที่เฉินซีแนะนำให้เตียนเตี้ยนไปช่วยหัวเจี้ยนคงก่อน
“ล้วนแล้วแต่ฟังเจ้า” เตียนเตี้ยนเห็นด้วย จากนั้นนางก็เหลือบมองจั่วชิวเฟิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ก่อนจะพูดว่า “สหายเก่าผู้นี้ช่วยต้านการโจมตีให้เจ้า ก่อนที่เขาจะโดนข้าสังหารลง ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว”
ขณะที่พูด นางก็สะบัดมือออก จากนั้นขวานศึกสีม่วงสองอันก็พุ่งออกไป หนึ่งในนั้นมุ่งตรงไปที่จั่วชิวเฟิง ในขณะที่อีกอันฉีกทะลุความว่างเปล่าตรงเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ของหัวเจี้ยนคง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็มั่นใจว่าสถานการณ์กำลังเอียงไปทางพวกตนแล้ว และสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการคว้าโอกาส เพื่อกำจัดเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้นซาก!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ชายหนุ่มกำลังจะเคลื่อนไหว เขาก็สังเกตเห็นว่าศพของจั่วชิวหวงหลินถูกห่อหุ้มด้วยพลังแปลกประหลาด ราวกับพลังปราณ แก่นแท้ วิญญาณ แม้แต่เนื้อหนัง เลือด และความคิดกำลังถูกควบแน่นและฟื้นคืนชีพขึ้นมาทีละน้อย…
โอสถคืนชีพแห่งภัยพิบัติ!
เฉินซีเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อยามที่สังหารปิงซื่อเทียน แล้วเขาจะไม่รู้ว่าจั่วชิวหวงหลินได้กินยาที่สามารถกลับฟื้นคืนชีพเม็ดนี้ไปในทันทีได้อย่างไร!?
เฉินซีอาศัยสัญชาตญาณพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และใช้พลังแห่งจุดจบเพื่อกำจัดจั่วชิวหวงหลินให้สมบูรณ์ น่าเสียดายที่มันยังสายเกินไปหนึ่งก้าว
เมื่อเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ จั่วชิวหวงหลินก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ชมทั้งหมดตกตะลึงทันที!