บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1439 ปราการไร้แดน
บทที่ 1439 ปราการไร้แดน
บทที่ 1439 ปราการไร้แดน
มหาเต๋าแห่งเวลาก็เหมือนกับมหาเต๋าแห่งมิติ รวมถึงมหาเต๋าแห่งความเป็นและความตาย พวกมันถูกแบ่งออกเป็นกิ่งก้านมากมายนับไม่ถ้วน
เช่นการพยากรณ์กาลเวลาที่สามารถอนุมานอนาคตได้ หรือการย้อนเวลาที่สามารถคืนบางสิ่งบางอย่างให้กลับสู่สภาพเดิมได้ หรือเงาแห่งกาลเวลา ชั้นห้วงเวลา ผนึกเวลา เร่งเวลา และอื่น ๆ เป็นต้น
เพียงดูจากชื่อของพวกมันอย่างเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าเหตุใดพลังแห่งกาลเวลาถึงควรได้รับการกล่าวขานว่า เป็นหนึ่งในสามมหาเต๋าสูงสุดในบรรดากฎมหาเต๋า
ตราบใดที่เซียนปราชญ์ทั่วไปเข้าใจความลึกลับของเวลา มิติหรือความเป็นและความตายแค่เล็กน้อย พวกเขาก็สามารถบุกทะลวงและก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นได้แล้ว
ในทางกลับกัน หากใครปรารถนาที่จะก้าวไปสู่ขอบเขตราชันเซียน เงื่อนไขเบื้องต้นย่อมเป็นการเข้าใจกฎมหาเต๋าทั้งสามนี้อย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเฉินซีเพียงตั้งใจที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น เขาก็จะต้องเชี่ยวชาญสายใดสายหนึ่งของมหาเต๋าแห่งเวลาเท่านั้น
มหาเต๋าสูงสุดอีกสองอย่างก็เป็นเช่นเดียวกัน
ภายในดินแดนกาลเวลา กระแสน้ำวนแห่งกาลเวลาเต็มไปด้วยแสงแวววาวราวกับแก้วโปร่งใส หมุนวนเป็นลูกคลื่นเหนือศีรษะของเฉินซี กระจายคลื่นพลังแห่งกาลเวลาอันมหาศาลออกมา
ในเวลานี้ ร่างกายของชายหนุ่มเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน
ผมสีขาวราวหิมะค่อย ๆ กลายเป็นสีดำสนิท
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยความแก่ชราและประสบการณ์ชีวิต เริ่มเผยให้เห็นความอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง และกระจ่างใส
แม้แต่พลังชีวิตและอายุขัยที่เสียไปเกือบกว่าครึ่ง ก็เริ่มฟื้นตัวด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
เพียงไม่กี่ลมหายใจ รูปลักษณ์ของเฉินซีก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เลือดไหลเวียนอย่างอบอุ่น พลังชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และแก่นแท้ก็กู่ร้องดุจมังกร!
พรึ่บ!
เฉินซีซึ่งแต่เดิมยืนนิ่งอยู่อย่างเงียบงัน ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี สายตาราวกับสายฟ้าฉีกผ่านความว่างเปล่า และเต็มไปด้วยพลังอันน่าหวั่นเกรง
ตอนนี้แม้รูปร่างหน้าตาจะดูเหมือนกาลก่อน แต่ท่าทีนั้นกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มเป็นดั่งก้อนหินในมหาสมุทรแห่งกาลเวลา ไม่ว่าคลื่นเวลาอันทรงพลังและไร้ขอบเขตจะพัดเข้ามากระทบมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้แม้แต่น้อย
เวลาไม่สามารถทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูชราได้อีกต่อไป
เวลาไม่ใช่เรื่องโหดร้ายอีกต่อไป
เวลาเป็นเช่นเดียวกับรอยแผลบนฝ่ามือของเขา ที่ผสานตัวกันไปนานแล้ว
เวลาไม่สามารถจำกัดอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเขาได้อีกต่อไป!
“เวลา!” เฉินซีพึมพำด้วยสีหน้าสงบ ไม่โศกเศร้าหรือมีความสุข แสงและเงาในดวงตาจางลง ในขณะที่ประกายแห่งปัญญาอันล้ำลึกไหลวนอยู่ภายใน ราวกับว่ามันสามารถทลายกำแพงแห่งกาลเวลา เพื่อมองไปยังต้นกำเนิดของสวรรค์และปฐพีได้
ควับ!
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อออก ทันใดนั้น ปราณกระบี่นับพันก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศ พวกมันถูกซัดออกไปคนละทิศคนละทาง
ราวกับว่าเฉินซีหลายพันคน ลงมือโจมตีจากทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน
“เงาแห่งกาลเวลา!” นอกดินแดนกาลเวลา ดวงตาของหัวเจี้ยนคงทอประกายด้วยความประหลาดใจ
เมื่อใดที่สามารถเชี่ยวชาญกิ่งก้านของมหาเต๋าแห่งเวลา ก็จะสามารถควบคุมเวลาและสร้างเงาแห่งกาลเวลาขึ้นได้ ดังนั้นการซ้อนทับของปราณกระบี่นับพันที่โจมตีจากทุกทิศทาง ทรงพลังและถูกปล่อยออกมาราวกับเงาทับซ้อนในเวลาเดียวกัน จึงถือว่าเหลือเชื่อและน่าประหลาดใจยิ่ง
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้อวิ๋นฝูเซิงมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน
ฟุ่บ!
เฉินซีเอื้อมมือออกไป ปราณกระบี่นับพันที่เพิ่งปล่อยออกไป ก็เร่งความเร็วขึ้นกลางอากาศ จนเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย จนชวนให้ผู้อื่นประหลาดใจอย่างยิ่ง
“การเร่งเวลา!” หัวเจี้ยนคงรู้สึกตกใจอีกครั้ง เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่า ช่วงเวลายี่สิบปีของเฉินซีไม่ได้สูญเปล่า แต่กลับเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาถึงสองรูปแบบ!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หัวเจี้ยนคงจะฟื้นคืนสติ เขาก็เห็นเฉินซีเคลื่อนไหวอีกครั้ง และลงมือใช้รูปแบบของเวลาอีกสองอย่าง การเปลี่ยนแปลงเวลาและกงล้อแห่งเวลา!
“สหายผู้นี้…” หัวเจี้ยนคงผู้ไม่แยแสสิ่งใด ในยามนี้ยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในเวลายี่สิบปี เฉินซีสามารถเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาที่ต่างกันสี่รูปแบบ! เมื่อเทียบจากทั้งสามภพแล้ว เกรงว่าจะคงจะมีสหายเช่นนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบเคียงได้
โดยเฉพาะกงล้อแห่งเวลา ท่ามกลางกิ่งก้านของกฎแห่งเวลา มันนับเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
เมื่อมันถูกใช้งาน เวลาก็เหมือนวงล้อ ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใด คนผู้นั้นก็จะหายไปในกงล้อแห่งเวลา ชีวิตและความตายจะถูกควบคุมโดยผู้อื่นโดยสมบูรณ์!
ฟุ่บ!
ในขณะเดียวกัน คลื่นแห่งความผันผวนก็เกิดขึ้นในดินแดนกาลเวลา ก่อนที่ร่างของเฉินซีจะก้าวออกมา ทำให้หัวเจี้ยนคงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“ผู้อาวุโส” เฉินซีประสานมือ
หัวเจี้ยนคงรวบรวมความคิดของตนอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดถามไม่ได้ “เจ้า… เข้าใจมหาเต๋าแห่งเวลามากเพียงใด?”
เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบตามความจริง “ที่ข้าเข้าใจถือได้ว่าเป็นเพียงพื้นฐานของมันเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะอายุขัยของข้าหมดลงเร็วเกินไป บางทีข้าอาจจะยังสามารถเข้าใจได้มากกว่านี้”
เมื่อพูดจบ เขาก็แสดงสีหน้าเสียดายเล็กน้อย
เป็นอย่างเฉินซีกล่าว ในสภาวะแห่งความเข้าใจที่แปลกประหลาดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกาลเวลาทุกประเภท อัดแน่นไปด้วยรูปแบบหนาแน่นกว่าพันชนิด
น่าเสียดาย เนื่องจากอายุขัยถูกดึงออกไปมากจนน่ากลัว ในท้ายที่สุดเขาจึงสามารถเข้าใจแขนงย่อยได้เพียงสี่รูปแบบเท่านั้น นั่นคือเงาแห่งกาลเวลา การเร่งเวลา การเปลี่ยนแปลงเวลา และกงล้อแห่งเวลา
แม้ว่าอายุขัยและพลังชีวิตของเขาจะฟื้นกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว แต่หากต้องการที่จะทำความเข้าใจมันอีกครั้ง เขาก็จะไม่อาจกลับไปสู่สภาวะแห่งความเข้าใจที่แปลกประหลาดนั้นได้อีก
“วิเศษยิ่ง” เมื่อหัวเจี้ยนคงได้ยินเช่นนั้น เขาก็มอบคำชมที่หายากให้กับเฉินซี
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่พาข้าเข้าสู่ดินแดนกาลเวลา ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่สามารถเข้าใจถึงพลังดังกล่าวได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้เป็นแน่” เฉินซีตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“มันก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว เจ้าจะทำความเข้าใจมหาเต๋าแห่งเวลาต่อไป หรือจะเริ่มทำความเข้าใจมหาเต๋าแห่งความเป็นและความตาย?” หัวเจี้ยนคงถาม
“ยี่สิบปี?” เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเพียงบรรลุความเข้าใจเต๋าแห่งเวลาครั้งเดียว เมื่อลืมตาอีกครั้ง มันจะผ่านไปยี่สิบปีอย่างรวดเร็วเช่นนี้!
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มตึงเครียด ยี่สิบปี! โลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?
“นี่คือแผ่นหยกที่เด็กสาวตัวน้อยจากตระกูลเซวียนหยวนส่งมาที่นี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ราวกับสัมผัสได้ถึงความคิดของอีกฝ่าย หัวเจี้ยนคงพลิกฝ่ามือ ก่อนที่แผ่นหยกนับสิบแผ่นจะปรากฏขึ้น แล้วส่งต่อให้เฉินซี
ชายหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ปิดบังอะไรและเริ่มอ่านมันทันที
เนื้อหาในแผ่นหยกนั้นเรียบง่ายมาก มันบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลจั่วชิวในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือฝ่ายของจั่วชิวเฟยหมิง ถูกกวาดล้างอย่างโหดโดยประมุขตระกูลคนปัจจุบัน จั่วชิวเฟิง
ยิ่งไปกว่านั้น การปราบปรามนี้ยังคงดำเนินอยู่ ตามข้อมูลที่อาซิ่วได้รับมา หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ในเวลาหนึ่งร้อยปีจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ จะต้องถูกจั่วชิวเฟิงกำจัดได้อย่างแน่นอน!
เฉินซีตระหนักดีอยู่แล้วว่าเหตุผลที่มารดาของเขา จั่วชิวเสวี่ย สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยจนถึงตอนนี้ก็เพราะนางได้รับการสนับสนุนจากจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ในตระกูลจั่วชิว
ทว่าตอนนี้ คนเหล่านั้นกำลังตกอยู่ภายใต้การปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมของจั่วชิวเฟิง และทำให้หัวใจของเฉินซีรู้สึกหนักอึ้งในทันใด เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่จั่วชิวเสวี่ยกำลังเผชิญอยู่เริ่มเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
เฉินซีคิดอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะตามข้อมูลในแผ่นหยก มีแนวโน้มมากว่าความช่วยเหลือภายนอกที่จั่วชิวเฟิงได้รับนั้น อาจมาจากนิกายอำนาจเทวะ
ถ้าเป็นกรณีนี้ นั่นหมายความว่าหากเฉินซีต้องการแก้แค้นตระกูลจั่วชิว เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับการคุกคามจากนิกายอำนาจเทวะได้
“นิกายอำนาจเทวะ… จั่วฉิวเฟิง… พวกเขาเริ่มร่วมมือกันจริง ๆ แต่เพราะเหตุใด… เพื่อจัดการกับข้าหรือ?” หลังจากที่อ่านเนื้อหาในแผ่นหยกเสร็จสิ้น เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะจมดิ่งสู่ความคิด
ไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึก ๆ และทิ้งความคิดฟุ้งซ่านที่กวนใจทั้งหมดไป
เฉินซีรู้ดีว่าตนกำลังวางแผนแก้แค้นตระกูลจั่วชิว แต่ในขณะเดียวกัน ตระกูลจั่วชิวเองก็กำลังวางแผนที่จะจัดการกับเขาและมารดา จั่วชิวเสวี่ย
ในปัจจุบัน แม้ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาจะยังดูเหมือนไม่ปะทุ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาต่างแข่งกับเวลาเพื่อเตรียมการต่าง ๆ มากมาย!
“ผู้อาวุโส ข้าอยากทำความเข้าใจพลังแห่งความเป็นและความตาย” ในที่สุด เฉินซีก็ตัดสินใจ สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำคือการเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองโดยเร็วที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังต้องรอสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้มาถึงก่อน เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบรรลุความปรารถนาที่จะแก้แค้นตระกูลจั่วชิวด้วยตัวเอง
นั่นหมายความว่าชายหนุ่มต้องรอให้สืออวี๋ เซียงหลิวหลี ต้าวเหยา ซุนอู๋เหิ่น ผางตู่ และราชาเซียนคนอื่น ๆ ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะเสียก่อน และยังต้องรออาจารย์ใหญ่สายใน ฉือฉางเซิง บรรพบุรุษของเผ่าวิหคอมตะ จ้าวไท่ฉือ และบรรพบุรุษของภพมังกร อ๋าวจิ่วหุย ปรากฏตัวในโลกอีกครั้งเช่นกัน…
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจึงจะสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เพื่อโจมตีตระกูลจั่วชิวในรวดเดียว!
“การทำความเข้าใจพลังแห่งความเป็นและความตายนั้นไม่ง่ายเลย ทว่ามันก็มีวิธีอยู่ ที่จะทำให้เจ้าได้สัมผัสถึงความหมายที่แท้จริงของมัน แต่กระบวนการนี้อาจโหดร้ายไปสักหน่อย เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเริ่มทำความเข้าใจมันตอนนี้?” หัวเจี้ยนคงถามด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“เป็นวิธีแบบใด?” เฉินซีชะงักและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย มันน่ากลัวขนาดที่แม้แต่หัวเจี้ยนคงก็รู้สึกว่ามันเป็นวิธีการที่โหดร้ายเลยหรือ?
หัวเจี้ยนคงตอบ “ความเป็นและความตาย ถ้าเจ้าไม่มีประสบการณ์ระหว่างความเป็นความตาย เจ้าจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของมันได้อย่างไร? เจ้าจำประสบการณ์ในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ได้หรือไม่? หากเจ้าต้องการเข้าใจความเป็นความตาย มันก็คล้ายกับการท้าทายจอมกระบี่บรรพกาล แต่มันจะนองเลือดและโหดร้ายยิ่งกว่า”
เขาไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่ แต่เป็นเพราะกฎแห่งชีวิตและความตายเป็นหนึ่งในสามกฎสูงสุด การจะเข้าใจมัน ย่อมยากและอันตรายยิ่งกว่าการเข้าใจกฎแห่งเวลาและมิติ
เฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มในที่สุด “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะข้าด้วย”
หัวเจี้ยนคงเหลือบมองเฉินซี จากนั้นก็กล่าวอย่างเชื่องช้า “ตามมา”
สิ้นเสียงพูด เขาก็สะบัดแขนเสื้อพาเฉินซีหายตัวไปทันที
เมื่อขอบเขตการมองเห็นของเฉินซีฟื้นตัว เขาก็อยู่ในโลกที่แปลกประหลาดและวุ่นวายแล้ว ทุกที่ที่มองเห็นเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้เลย
“นี่คือปราการไร้แดน ซึ่งมีปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปด อุปสรรคทุกประการเปรียบเสมือนประสบการณ์วงจรชีวิตและความตาย หากเจ้าสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุด บางทีเจ้าอาจจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้”
หัวเจี้ยนคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่งจากด้านข้าง “จงจำไว้ว่า ทั้งชีวิตและความตายเป็นสิ่งไม่เที่ยง เจ้าต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับมันโดยเด็ดขาด!”
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น หัวเจี้ยนคงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาขยับนิ้วเพียงครั้งเดียว ก่อนที่จะฉีกช่องว่างของโลกที่วุ่นวาย ราวกับปากเปื้อนเลือดของสัตว์ดุร้ายโบราณได้เปิดออก ทันใดนั้นเฉินซีก็ถูกกลืนกินเข้าไปทั้งตัว…